ภายในเรือนหยกฟ้า
ขณะที่ชิงหลินนั่งร่างแบบโรงทานอย่างตั้งอกตั้งใจอยู่นั้น ก็พลันต้องอารมณ์เสีย เมื่อมีเสียงคล้ายกำลังพูดคุยโต้ตอบกัน นางเงยหน้าเตรียมต่อว่าผู้ที่สร้างความรำคาญให้ โดยนางคิดว่าคงเป็นบ่าวในเรือน
หญิงสาวกวาดตามองหาที่มาของเสียง ลุกขึ้นเดินหาทั้งในและนอกเรือนก็ไม่เห็นใครนอกจากสาวใช้ทั้งสองที่กำลังง่วนจัดโน่นจัดนี่ไม่ได้หยุดมือ และที่สำคัญ พวกนางไม่ได้ขยับริมฝีปากเลย มันอย่างไรกัน แล้วเสียงที่ได้ยินมาจากไหน หรือว่า...ดวงตากลมเบิกกว้างเมื่อนึกอะไรขึ้นมาได้ ร่างเล็กรีบมาที่หน้าต่างห้องนอนมองต้นเหมยสอดส่ายสายตามองนกตัวเล็กๆ สองตัวเกาะกิ่งเหมย กำลังขยับจะงอยปากสีออกส้มโต้ตอบกันไปมา
'ขุ่นพระ! ข้าเข้าใจภาษานก!'
เสี่ยวอี้ชะงักมือเมื่อเห็นคุณหนูยืนนิ่ง สายตาจับจ้องต้นเหมยเขม็ง "คุณหนู...คุณหนูเป็นอันใดไปเจ้าคะ" นางถามอย่างห่วงใย
"ไม่มีอะไรหรอก จริงสิ ข้าอยากไปเดินเที่ยวตลาด เจ้าเตรียมตัวให้พร้อมด้วยล่ะ" ผู้เป็นคุณหนูผละกลับมากระซิบบอกเสี่ยวอี้เบาๆ
ตลาดเมืองหลวงฉางอาน
"คุณหนู เหตุใดจึงแอบหนีมาเที่ยวอย่างนี้ล่ะเจ้าคะ ถ้าเกิดอันใดกับคุณหนู ข้าจะกล้าสู้หน้านายท่านทั้งสองได้อย่างไร อย่างน้อยน่าจะให้ท่านเฟิ่งอิงตามมาด้วย" เสี่ยวอี้ทำหน้างอ มองคุณหนูในคราบบุรุษน่ารักแล้วถอนหายใจแรงด้วยความกังวล
"เจ้ากังวลเกินไปแล้ว ไม่มีอะไรหรอกน่า" ชิงหลินยิ้มหวาน ไม่ใส่ใจอาการห่วงเกินเหตุของสาวใช้ ขณะเพลิดเพลินกับพรที่ได้รับมา มีบุรุษฉกรรจ์สองนายสะกดรอยตามนางและสาวใช้โดยที่ทั้งคู่ไม่รู้ตัว
แววตาของเสี่ยวอี้ที่เดินตามหลังเต็มไปด้วยความสงสัยระคนไม่สบายใจ เริ่มตั้งแต่หลบออกมาผ่านรูสุนัขลอดที่ตนไม่เคยรู้ว่ามี หยุดเล่นกับม้าอย่างสนิทสนมดั่งคุ้นเคยกันมานาน ไม่เพียงเท่านั้นคุณหนูของนางยังส่งเสียงร้องฮี้ๆ กับเจ้าม้าตัวนั้น 'ประหลาดเกินไปแล้ว! ทั้งยังออกมาโดยไร้คนคุ้มกัน หากเกิดเรื่องเลวร้ายกับคุณหนู สาวใช้ต่ำต้อยเช่นนางจะทำเช่นใด' เสี่ยวอี้ครุ่นคิดอย่างกังวล
ผ่านไปราวหนึ่งชั่วยาม สองนายบ่าวจึงได้ว่าจ้างรถม้าคันหนึ่งกับคนขับสองคนให้ไปส่งที่จวน ครั้นรถม้าเริ่มเคลื่อนที่ หนึ่งในนั้นกลับเปิดผ้าม่านด้านหน้าแล้วแทรกตัวเข้ามานั่งฝั่งตรงข้าม พร้อมกับชักมีดออกมาข่มขู่หญิงสาวทั้งสอง
สองนายบ่าวหน้าซีดตัวสั่นด้วยความตื่นตระหนก เสี่ยวอี้กอดนางไว้แน่นจนแทบหายใจไม่ออก แม้จะตกใจกับเหตุไม่คาดฝัน แต่ชิงหลินก็ไม่ได้ร้องไห้ฟูมฟาย เพียงนั่งนิ่งๆ แล้วตั้งสติ คิดหาทางเอาตัวรอดตลอดเวลา
เมืองหลวงกว้างใหญ่ เส้นทางหลากหลาย มีทั้งส่วนที่เจริญมากไปจนถึงแหล่งเสื่อมโทรมที่สุด รถม้าเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสุดฝีเท้าม้า หากคิดจะกระโดดออกไป...ไม่บาดเจ็บสาหัสก็ต้องแข้งขาหักกันบ้าง นางจึงตัดวิธีหนีเช่นนี้ทิ้งไป ตลอดทางเสี่ยวอี้ตัวสั่นไม่หยุดด้วยความหวาดกลัว แต่ก็ยังมีแก่ใจปกป้องนางสุดชีวิต
'ขอบใจนะเสี่ยวอี้' นางเอ่ยขึ้นในใจขณะที่มือเรียวก็ตบหลังสาวใช้เบาๆ
ทันใดนั้นรถม้าที่วิ่งมาราวครึ่งชั่วยามก็หยุดลง ได้ยินเสียงฝีเท้าเดินเข้ามาใกล้ตัวรถม้า ทั้งสองกอดกันแน่นขึ้น ยามนี้ชิงหลินยอมรับว่ารู้สึกกลัวขึ้นมาจับจิต ใจเจ้ากรรมเต้นแรงและรัวถี่ประหนึ่งดูภาพยนตร์สยองขวัญ นางไม่เคยต้องเผชิญอันตรายอย่างนี้มาก่อน ก็ใครจะไปคิดเล่าว่าลูกสาวพ่อค้าอย่างนางจะโดนลักพาตัว
"ลงไป!"
ไอ้หน้าปลาจวดที่นางแอบตั้งให้ตะคอกสั่ง เสี่ยวอี้มองหน้าคุณหนูด้วยสีหน้าซีดเผือด ชิงหลินจึงพยักหน้าเป็นเชิงว่าให้ทำตามมันไปก่อน
"เจ้าเป็นใคร ต้องการอะไร" เมื่อลงมายืนเผชิญหน้ากับพวกมันทั้งสองคน ชิงหลินก็พยายามปรับน้ำเสียงให้มั่นคง ถามกลับด้วยสีหน้าเรียบเฉย ไม่แสดงความหวาดกลัวให้พวกมันเห็น ทั้งที่ในใจกลัวจนแทบจะปัสสาวะราด!
"ไม่ใช่เรื่องที่เจ้าต้องรู้! เข้าไป!"
ไอ้หน้าปลากระโห้ที่นางแอบตั้งให้อีกคนผลักนางและเสี่ยวอี้เข้าไปในกระท่อมร้างโกโรโกโสจะพังมิพังแหล่อย่างแรง จนทั้งสองเซไปหลายก้าว
"ข้าพานางมาแล้วขอรับหัวหน้า" ไอ้หน้าปลาจวดรายงานบุรุษร่างใหญ่ที่นั่งจังก้าอยู่กลางห้อง ด้านหลังมีชายอีกสองคนยืนคุมเชิงอยู่ นอกจากจะสวมชุดดำเหมือนกันแล้ว ทั้งสามยังปิดบังใบหน้าอีกด้วย ยกเว้นสองคนซึ่งลักพาตัวหญิงสาวมาไม่ได้ปิดบังหน้าตาแต่อย่างใด
"ดี! รูปโฉมงดงามมิใช่เล่น" เจ้าตัวหัวหน้าสาวเท้าเข้าหาหญิงสาวช้าๆ สายตาดุดันแฝงความอำมหิตจ้องเขม็ง ก่อนจะใช้มือหยาบหนาบีบคางมนจนชิงหลินรู้สึกเจ็บแต่ไม่ได้ร้องออกมา นางได้แต่กัดฟันข่มความเจ็บไว้
"เจ้าโจรชั่ว! เอามือสกปรกของเจ้าออกไป! อย่ามาแตะต้องคุณหนูของข้า!" เสี่ยวอี้โกรธจนลืมตัว ออกแรงผลักคนที่กล้าล่วงเกินคุณหนูจนมันผงะไปเล็กน้อย
เจ้าตัวหัวหน้าแสยะยิ้มอย่างน่าเกลียดภายใต้ผ้าคลุมหน้า หรี่ตามองเสี่ยวอี้ที่เอาตัวมายืนขวางหน้า สองแขนเรียวเล็กวาดไปด้านหลัง จ้องมองมันอย่างเดือดดาล ชายชุดดำที่ยืนอยู่ด้านหลังชักดาบออกมาทันที แต่เจ้าตัวหัวหน้ากลับยกมือห้าม เจ้าคนนั้นจึงเก็บดาบเข้าฝักตามเดิม
"หึๆ กล้าหาญไม่เบา ทั้งนายทั้งบ่าว นับถือๆ แต่น่าเสียดายที่ต้องเอาชีวิตมาทิ้งไว้ที่นี่"
น้ำเสียงราบเรียบแต่คนฟังถึงกับตัวแข็งทื่อ ตาเบิกโตด้วยความตื่นตระหนก พวกมันต้องการสังหารนางทำไม สมองประมวลเหตุการณ์เร็วจี๋ ต้องถ่วงเวลาคือบทสรุปที่นางคิดได้ในยามนี้ จึงสูดลมหายใจเข้าแรงๆ แล้วเอ่ย
"ท่านโจรผู้ใจกว้างขวางดั่งมหาสมุทร ก่อนท่านจะลงมือ ข้าขอถามท่านสักเล็กน้อยได้หรือไม่"
"ฮ่าๆๆ ได้ ว่ามา!" มันหัวเราะชอบใจที่ได้รับคำชมจากหญิงงาม
เมื่อเห็นมันไปเดินกลับไปนั่งที่เดิมจึงเอ่ย "เหตุผลที่ท่านต้องการสังหารข้า?"
"ย่อมมีแน่ เจ้าตรองดูให้ดีว่าเจ้าได้สร้างความเจ็บแค้นแก่ผู้ใดไว้ ถึงขั้นจ้างข้ามาสังหารเจ้าเช่นนี้!"
ชิงหลินคิดตาม 'คนที่ข้ามีเรื่องด้วยก็มีคนเดียว หรือว่าจะเป็นนางจริงๆ'
"หานหนิงอัน" พึมพำออกมาเบาๆ แต่ผู้มีวรยุทธ์ย่อมได้ยินชัดเจน มันยกยิ้มมุมปากภายใต้ผ้าสีดำ โดยที่นางไม่ทันสังเกตเห็น หึๆ ฉลาดพอตัวทีเดียว แม้จะเป็นมือสังหารที่โหดเหี้ยม แต่กลุ่มของมันก็ยึดหลักฆ่าอย่างเดียว ห้ามทรมานเหยื่อหรือข่มเหงเหยื่อโดยเด็ดขาด ซึ่งนับว่ายังพอมีคุณธรรมอยู่บ้าง
"หัวหน้า! มีกลุ่มคนควบม้ามุ่งหน้ามาทางนี้ ราวสิบคนเห็นจะได้ขอรับ" ไอ้หน้าปลากระโห้ที่คุมเชิงอยู่นอกกระท่อมรีบเข้ามารายงาน หนึ่งในนั้นรีบหาผ้ากับเชือกมาปิดปากและมัดทั้งสองคนติดกับเสาในกระท่อมเพื่อไม่ให้หลบหนี ก่อนจะออกไปสมทบกับหัวหน้าและพรรคพวกที่อยู่ด้านนอก
ไม่นานเสียงพูดคุยโต้ตอบก็ถูกกลบด้วยเสียงเคร้งๆ ปึก! ปัก! พลั่ก! อ๊ากกก!
ระหว่างนั้นหญิงสาวทั้งสองก็ไม่ได้อยู่เฉย พยายามขยับตัวเพื่อให้เชือกที่มัดอยู่คลายออก แต่ดูเหมือนว่าพวกมันจะมัดแน่นเกินไป จนทั้งสองมีอาการเหนื่อยหอบ
ปัง!
เสียงประตูไม้เปิดออกด้วยแรงถีบ แล้วตามด้วยร่างสูงคุ้นตาที่ตรงดิ่งเข้ามาหานาง
"คุณหนู ท่านปลอดภัยดีหรือไม่" น้ำเสียงทุ้มติดหอบถามด้วยความห่วงใย ขณะที่สองมือก็แกะเชือกอย่างว่องไว
"เฟิ่งอิง ข้ากลัวแทบตาย ฮือๆๆ" ทันทีที่เป็นอิสระชิงหลินก็โผเข้าหาร่างสูงที่นั่งชันเข่าข้างหนึ่งจนเกือบหงายหลัง เขาต้องรีบโอบกอดนางตามสัญชาตญาณ ภายในใจหนักอึ้ง ยิ่งเห็นนางร่ำไห้ตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว เฟิ่งอิงก็ยิ่งเดือดดาลอยากจะออกไปสับเจ้าพวกโจรชั่วเป็นหมื่นๆ ชิ้น
"คุณหนู...ท่านปลอดภัยแล้ว รีบออกไปจากที่นี่กันเถิดขอรับ" เฟิ่งอิงพยุงหญิงสาวให้ลุกขึ้น ก่อนจะปล่อยมือส่งให้สาวใช้ที่รีบเข้าประคองคุณหนูทันทีอย่างรู้งาน เมื่อเดินออกมาชิงหลินถึงกับผงะ เมื่อเห็นศพโจรที่ลักพาทั้งห้าในสภาพสยดสยอง กองเลือดมากมายส่งกลิ่นคาวคละคลุ้งไปทั่วบริเวณจนนางแทบจะกลั้นอาเจียนไว้ไม่อยู่
"คุณหนูระวัง!"
สวบ! อั่ก อึก
ร่างเล็กตัวแข็งทื่อ มองร่างเสี่ยวอี้ที่รูดตัวลงช้าๆ ดวงตาจ้องมองนางไม่กะพริบ มุมปากมีเลือดไหลซึม ชุดสีเทาหม่นค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีแดง
"เสี่ยวอี้!" ครั้นพอได้สติชิงหลินก็ทรุดตัวลงประคองร่างเสี่ยวอี้ ที่กระอักเลือดครั้งหนึ่งแล้วหมดสติไปไว้แนบอก สองมือสั่นเทาพยายามกดปิดบาดแผลด้านหลังอันเกิดจากดาบยาวที่เลือดไหลรินประหนึ่งน้ำพุเอาไว้แน่น ริมฝีปากอวบอิ่มพร่ำเรียกชื่อนางไม่หยุด สร้างความสะเทือนใจแก่ผู้พบเห็นยิ่งนัก
"ช่วย...ช่วยนางด้วย ได้โปรดเฟิ่งอิง...ช่วยนางที ช่วยนางที ฮึกๆ"
เฟิ่งอิงพยักหน้าน้อยๆ หนึ่งในผู้คุ้มกันเข้ามาอุ้มนางเข้าไปในกระท่อม วางนางลงอย่างเบามือ จากนั้นชายคนเดียวกันก็จับชีพจรนางและสกัดจุดเพื่อห้ามเลือด
"คุณหนูวางใจ นางเพียงเสียเลือดมากจึงหมดสติ ตอนนี้ข้าได้สกัดจุดห้ามเลือดไว้ชั่วคราวแล้วขอรับ อีกไม่นานหมอคงมาถึง"
"ขอบคุณ" กล่าวแล้วก็ถลาเข้ามานั่งข้างเตียง มองซีกหน้าขาวซีดไร้สีเลือดของสาวใช้ซึ่งนอนคว่ำหน้านิ่งหลับตาพริ้มอยู่บนเตียงที่เก็บกวาดลวกๆ ชุดที่เสี่ยวอี้สวมบริเวณชายโครงด้านซ้ายมีรอยขาดกว้างราวหนึ่งนิ้วครึ่งและเปียกชุ่มไปด้วยเลือด แม้ตอนนี้เลือดจะหยุดไหลแล้ว แต่ก็ยังน่าห่วงอยู่ดี
มือเรียวขาวกุมมือหยาบข้างหนึ่งของสาวใช้ไว้ไม่พูดจา ถ้าไม่ได้เสี่ยวอี้มาขวางไว้ นางคงตายไปแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะความเอาแต่ใจของนาง เสี่ยวอี้ก็คงไม่ต้องมาเจ็บตัวแบบนี้ เพราะความดื้อรั้นเอาแต่ใจของนางแท้ๆ เสี่ยวอี้ถึงต้องมาเจ็บตัวอย่างนี้ ชิงหลินได้แต่เฝ้าโทษตัวเองด้วยความเจ็บปวด
เฟิ่งอิงที่ยังยืนอยู่นอกกระท่อมหันไปสั่งการลูกน้องเสียงเข้ม ทุกคนอยู่ในสังกัดหน่วยคุ้มกันภายใต้ชื่อหน่วยพยัคฆ์ดำ กองกำลังคุ้มกันของสกุลชิงที่ชิงหยวนก่อตั้งขึ้นเมื่อหลายปีก่อนด้วยจุดประสงค์เพื่อคุ้มกัน คุ้มครอง และดูแลสอดส่องทุกสิ่งในสกุลชิง มีเฟิ่งอิงเป็นหัวหน้าใหญ่ที่คอยรับคำสั่งจากนายใหญ่อีกที และชิงหยวนคือนายใหญ่แห่งกองกำลังหน่วยพยัคฆ์ดำ
ชายหนุ่มมองสำรวจโดยรอบอีกครั้งอย่างละเอียด กระท่อมร้างหลังนี้ตั้งอยู่ในที่เปลี่ยว ไร้ผู้คนสัญจร ด้านหลังเป็นป่ารกทึบเต็มไปด้วยสัตว์ร้าย แม้ต่อให้หลบหนีจากเงื้อมือของเจ้าโจรชั่วได้ แต่ถ้าคิดจะหลบเข้าไปในป่าแห่งนี้ก็คงไม่พ้นเป็นอาหารของสัตว์ดุร้ายเป็นแน่ ห่างเมืองหลวงเพียงหนึ่งชั่วยามรถม้าวิ่งแต่กลับอันตรายถึงเพียงนี้
ร่างสูงแค่นเสียงฮึในลำคอ หมุนร่างในอาภรณ์สีดำมองดูลูกน้องส่วนหนึ่งที่ขนย้ายศพทั้งห้ามากองรวมกันแล้วจุดไฟเผาทำลายศพ เพราะการขุดฝังต้องใช้เวลามากไม่ค่อยสะดวกนัก โจรกลุ่มนี้นับว่าพอมีฝีมืออยู่บ้าง แต่เมื่อเทียบกับหน่วยพยัคฆ์ดำแล้วยังถือว่าห่างชั้น และกองกำลังที่กระจายตัวแฝงอยู่ตามที่ต่างๆ ทำให้การมาช่วยคุณหนูเป็นเรื่องง่ายเสียยิ่งกว่าถอดรองเท้า
บุรุษร่างสูงยืนกอดอกจ้องมองเปลวไฟที่โหมไหม้นานราวครึ่งเค่อด้วยสายตาว่างเปล่าไร้ซึ่งความรู้สึกใดๆ ก่อนจะหรี่ลงเมื่อเห็นชายผู้หนึ่งควบม้ามุ่งตรงมาทางตน ครั้นพอกระจ่างใจว่าเป็นผู้ใดจึงลอบถอนหายใจเบาๆ
"หัวหน้า ท่านหมอมาถึงแล้วขอรับ"
เฟิ่งอิงส่งเสียงตอบรับ กวาดตามองผู้เข้ามาใหม่สองคนราวกับจะจับผิด ทำเอาชายต่างวัยทั้งสองหนาวเยือก ก่อนที่หมออาวุโสจะรีบรุดเข้าไปในกระท่อม ตามมาด้วยเฟิ่งอิง
สภาพภายในกระท่อมค่อนข้างสกปรกและเหม็นอับ แต่หมออาวุโสไม่ได้ใส่ใจ พาร่างผอมบางหลังงองุ้มเล็กน้อยตรงเข้าไปหาร่างคนเจ็บทันที
"เอ่อ...ช่วยคลายจุดลมปราณทีเถิด เช่นนี้ข้าจึงจะรักษาต่อได้" หมออาวุโสเอ่ยขึ้น ขณะที่นั่งลงแทนหญิงสาวที่ลุกขึ้นมายืนอยู่ด้านหน้าเตียงแทนเพื่อหลีกทางให้
เฟิ่งอิงเข้ามายืนอยู่ข้างๆ ร่างเล็กเงียบๆ ชิงหลินเหลือบมองเขาอย่างอดไม่ได้ และสบเข้ากับตาคมเรียวดุที่มองมาพอดี เฟิ่งอิงคล้ายชะงัก ด้วยคาดไม่ถึงว่านางจะมองตน ใบหน้างามที่บัดนี้ยังคงขาวซีดไร้สีเลือด ตากลมโตเต็มไปด้วยความกังวลและหวาดหวั่น ริมฝีปากอวบอิ่มเม้มเข้าหากันแน่น ร่างบอบบางในคราบบุรุษสีฟ้าอ่อน มีรอยเลือดกระจายเปรอะเปื้อนหลายจุด มือเรียวเล็กยังมีคราบเลือดติดอยู่ตามนิ้วและเล็บ ผมสีน้ำหมึกรวบสูงเป็นหางม้า มีบางส่วนหลุดลุ่ยระใบหน้างามแลดูยุ่งเหยิง ทว่าในสายตาเฟิ่งอิง นางช่างดูเย้ายวนนัก!
ชิงหลินขมวดคิ้วสงสัย เมื่อเห็นเขาขยับตัวออกห่าง 'หือ? อะไรของเขา เมื่อกี้ยังดีๆ อยู่เลย กลับมาเข้าโหมดหน้าตายอีกแล้ว'
ทางด้านหน่วยคุ้มกันคนสนิทนายหนึ่งที่เห็นเหตุการณ์นึกขันท่าทางของหัวหน้ายิ่งนัก ถ้าไม่ได้คลุกคลีหรือเป็นคนแปลกหน้าคงไม่รู้เป็นแน่ถึงความผิดปกติของหัวหน้าหน่วยพยัคฆ์ดำผู้องอาจและมากด้วยฝีมือ ไม่เคยสนใจอิสตรี ใครจะเชื่อว่าบุรุษผู้นี้ยังครองความบริสุทธิ์มาถึงป่านนี้ได้ ทั้งที่อายุอานามก็ปาเข้าไปเกือบสามสิบปี
'หึๆ เห็นทีคงมีเรื่องสนุกให้ข้าได้ชมเสียแล้ว'
"บาดแผลแม้จะกว้าง แต่ไม่ใช่จุดตาย คุณหนูวางใจได้ เพียงแต่อาจต้องใช้เวลามากอยู่สักหน่อยกว่านางจะฟื้น" หมออาวุโสหันมากล่าวกับหญิงสาวในคราบบุรุษ
"ขอบคุณท่านหมอ ไม่ทราบว่านานเพียงใดนางจะฟื้น และสามารถพานางกลับจวนได้เลยหรือไม่"
"ย่อมได้ เพียงแต่ต้องค่อยๆ อย่าให้กระทบกระเทือนมากนัก เดี๋ยวแผลจะอักเสบได้ขอรับ"
ชิงหลินพยักหน้าเข้าใจ ก่อนจะเดินไปนั่งที่เตียง
ตลอดการรักษาไม่ได้มีการถอดชุดของเสี่ยวอี้ออก ท่านหมอเพียงแค่ใช้มีดกรีดชุดให้กว้างขึ้นแล้วทำความสะอาดแผลก่อนจะใส่ยา และใช้ผ้าสีขาวพันทับชุดไว้อีกชั้น ซึ่งเป็นเพียงการรักษาเฉพาะหน้าเท่านั้น
"คุณหนู รถม้าเตรียมพร้อมแล้ว รีบออกเดินทางเถิดขอรับ"
หญิงสาวพยักหน้าให้เฟิ่งอิง
การเดินทางกลับคฤหาสน์เป็นไปอย่างช้าๆ ชิงหลินได้ยินเสียงของสัตว์ต่างๆ มากมาย แต่ในยามนี้นางหาได้ใส่ใจไม่
หน้าประตูคฤหาสน์สกุลชิง
ชิงหยวน ชิงฮูหยิน และบ่าวในคฤหาสน์ต่างยืนรออย่างกระวนกระวายไร้เสียงพูดจา ทันใดนั้นบุรุษร่างสันทัดก็ปรากฏตัวขึ้นก่อนจะตรงเข้ามาหาชิงหยวน
"มะ...มาแล้วขอรับ แฮ่กๆ คุณหนู...กลับมาอย่างปลอดภัยไร้รอยขีดข่วนขอรับนายท่าน" เขารีบรายงานอย่างรวดเร็วพร้อมรอยยิ้มกว้าง แม้จะเหน็ดเหนื่อยอยู่มากที่ต้องรีบนำข่าวดีมาแจ้งให้นายท่านทราบล่วงหน้าตามคำสั่งของหัวหน้าก็ตาม
"ดี! เป็นข่าวดียิ่งนัก แล้วเหตุใดจึงล่าช้านัก" ชิงหยวนสงสัย พอทราบคร่าวๆ จากหน่วยพยัคฆ์ดำว่าสถานที่ที่บุตรีถูกจับตัวไปอยู่ในเขตเมืองหลวง ใช้เวลาโดยรถม้าเพียงครึ่งชั่วยามเท่านั้น และนี่ก็เลยครึ่งชั่วยามมามากแล้ว เหตุใดจึงมาไม่ถึงเสียที
"คือว่า...เรื่องนั้น..." เขาเสมองเสี่ยวสุ่ยแวบหนึ่งจึงตัดสินใจรายงานต่อ "สาวใช้ที่ติดตามคุณหนูไปได้รับบาดเจ็บ จึงทำให้การเดินทางล่าช้าขอรับ"
เสี่ยวสุ่ยเบิกตาโตด้วยความตกใจ อุทานออกมาแผ่วเบา "พี่เสี่ยวอี้"
"แล้วยามนี้นางเป็นเช่นไรบ้าง" แม่นมฝูถามด้วยน้ำเสียงร้อนรน เสี่ยวสุ่ยกลั้นลมหายใจ เงี่ยหูฟังคล้ายกลัวจะพลาดจุดสำคัญไปหากไม่ตั้งใจฟังให้ดี
"นางปลอดภัยดี เพียงแต่ยังไม่ได้สติเท่านั้นขอรับ" เขาหันมามองแม่นมฝู แล้วจึงหันไปรายงานนายท่านที่ยืนไพล่มือไว้ข้างหลัง เห็นนายท่านพยักหน้า จึงได้ขอตัวกลับไปทำงานตามเดิม
ราวครึ่งเค่อ ขบวนรถม้านำโดยเฟิ่งอิงและหน่วยพยัคฆ์ดำอีกเก้าคนก็มาถึง ทันทีที่ชิงหลินลงมาจากรถม้า มองเสี่ยวอี้ถูกหามเข้าไปในคฤหาสน์เรียบร้อย นางก็รีบตรงเข้าไปหามารดาที่ยืนรออยู่ แต่ก่อนจะถึงตัวกลับตัดสินใจคุกเข่าลงกับพื้นจนทุกคนตกใจแม้กระทั่งเฟิ่งอิง
"หลินเอ๋อร์ เจ้าทำอันใด ลุกขึ้นเถิด" ชิงฮูหยินรีบเข้ามาประคองบุตรี แต่นางกลับส่ายหน้าไม่ยอมลุกขึ้น ตากลมโตมองชิงหยวนผู้เป็นบิดา
"ท่านพ่อ..ทุกอย่างเป็นเพราะลูก เพราะความดื้อรั้นเอาแต่ใจของลูก ทำให้ท่านพ่อท่านแม่เป็นห่วง ทำให้ทุกคนต้องเดือดร้อน ทำให้เสี่ยวอี้ต้องได้รับบาดเจ็บ โปรดลงโทษลูกด้วยเจ้าค่ะ" หญิงสาวโขกศีรษะกับพื้นเสียงดัง
"...เจ้าสำนึกผิดแล้ว?" ชิงหยวนยังอยู่ในท่าสองมือไพล่หลัง ยิ้มบางๆ พอใจที่บุตรีรู้ผิดชอบชั่วดี
"เจ้าค่ะ ลูกสำนึกผิดแล้ว ขอท่านพ่อลงโทษด้วย" หญิงสาวยังคงยืนยันคำเดิม
"ท่านพี่ ไหนๆ หลินเอ๋อร์ก็ปลอดภัยแล้ว ท่านก็ให้มันแล้วไปดีหรือไม่เจ้าคะ"
ชิงหยวนยิ้มให้ฮูหยินของตนบางๆ
"ทำเช่นนั้นไม่ได้ เมื่อลูกทำผิด เราผู้เป็นพ่อเป็นแม่จำต้องลงโทษเพื่อให้หลาบจำบ้าง จึงจะได้ชื่อว่ารักลูกอย่างแท้จริง"
ชิงฮูหยินถอนใจทั้งหนักและยาวออกมาหนหนึ่ง พลางปรายตามองบุตรีอย่างเห็นใจ
"เมื่อเจ้ารู้ตัวว่าทำผิด เช่นนั้นนับแต่พรุ่งนี้เจ้าจะถูกกักบริเวณให้อยู่แต่ภายในเรือน ห้ามออกนอกเขตเรือนเด็ดขาดเป็นเวลาสามเดือน ส่วนเรื่องโรงทานก็ขอให้พักไว้ก่อนอย่างไม่มีกำหนด ว่าอย่างไร เจ้ายินยอมหรือไม่" ชิงหยวนกล่าวกับบุตรีที่ยังนั่งคุกเข่าอยู่เช่นเดิม
"ข้ายอมรับการตัดสินใจของท่านพ่อเจ้าค่ะ" เอาเหอะ อย่างน้อยก็ไม่ได้ถูกขังไว้ในห้อง ถึงจะนานไปหน่อยก็ตาม
"อ้อ! แม้ว่าสถานที่กักบริเวณจะเป็นที่อื่น เจ้าก็ยินดีหรือ"
"เอ๊ะ? ท่านพ่อหมายถึง…"
"ถูกต้อง คอกสัตว์ของเราจะเป็นที่กักบริเวณเจ้า"
ชิงหลินดีใจจนเก็บอาการไม่อยู่ โผเข้าไปกอดบิดาแน่น จนชิงหยวนชะงักด้วยคาดไม่ถึงว่าบุตรีที่เรียบร้อยและไว้ตัวจะเสียกิริยาเช่นนี้ได้
"ขอบคุณเจ้าค่ะ แต่ว่า..." เอ่ยขึ้นขณะเดินเข้ามาในเรือนพร้อมบิดามารดา โดยมีพ่อบ้านฝู แม่นมฝู เสี่ยวเอิน และหญิงร่างผอมวัยใกล้เคียงกับแม่นมฝูซึ่งชิงหลินไม่รู้จัก แต่คิดว่าน่าจะเป็นมารดาของเสี่ยวเอิน เพราะนางเคยบอกว่าอาศัยอยู่กับมารดาเพียงลำพัง ส่วนบ่าวที่เหลือต่างก็แยกย้ายไปทำหน้าที่ของตนต่อ ยกเว้นเสี่ยวสุ่ยที่ได้รับคำสั่งให้คอยดูแลพี่สาว
เฟิ่งอิงสั่งการอยู่หน้าจวน เพื่อสืบหาผู้อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้อย่างลับๆ ก่อนจะเดินเข้ามาเป็นคนสุดท้าย
"เจ้าวางใจเถิด นางเสี่ยงชีวิตเพื่อปกป้องลูก แม่จะให้หมอประจำตระกูลดูแลรักษานางอย่างดีที่สุด" ชิงฮูหยินรับปากบุตรี ทำให้ชิงหลินคลายใจ
"จริงสิ ยามที่เจ้าไปอยู่ที่เรือนพสุธา พ่อจะให้เสี่ยวเอินกับมารดาของนางตามไปรับใช้เจ้าก็แล้วกัน แม่ครัวที่นั่นลาออกไปคนหนึ่งพอดี อีกทั้งเสี่ยวสุ่ยต้องอยู่ดูแลพี่สาวของนางที่นี่ ไม่อาจติดตามเจ้าไปได้" ชิงหยวนแจงยืดยาวก่อนจะหยุดฝีเท้าเมื่อถึงเรือนแสงจันทร์
"อาฝู ให้เฟิ่งอิงมาพบข้าที่ห้องหนังสือ" ชิงหยวนหันไปสั่งพ่อบ้านฝู
"หลินเอ๋อร์ ไปดูเสี่ยวอี้กับแม่ดีหรือไม่" ชิงฮูหยินเอ่ยชวนบุตรี เมื่อตระหนักได้ว่าเรื่องที่สามีเรียกเฟิ่งอิงมาปรึกษาเป็นการส่วนตัวย่อมต้องร้ายแรงเป็นแน่
"ดีเจ้าค่ะ บางทีตอนนี้นางอาจจะฟื้นแล้วก็เป็นได้" ชิงหลินเข้าไปกอดแขนข้างหนึ่งของมารดา มุ่งหน้าไปยังเรือนหยกฟ้า เพราะเสี่ยวอี้กับเสี่ยวสุ่ยเป็นสาวใช้คนสนิทจึงได้พักในเรือนนี้เพื่อความสะดวกในการเรียกใช้
"ฮูหยิน คุณหนู พี่เสี่ยวอี้ฟื้นแล้วเจ้าค่ะ" เสี่ยวสุ่ยรีบคุกเข่ากับพื้นพร้อมกับรายงานผู้เป็นนายทั้งสองด้วยสีหน้าคลายความกังวลลงสองส่วน
"เสี่ยวอี้ เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง อย่าเพิ่งขยับ เดี๋ยวแผลจะฉีกเอาได้" ชิงหลินรีบส่งเสียงห้ามเมื่อเห็นนางทำท่าจะขยับลุกขึ้น
"ขอบคุณคุณหนู แล้วท่านบาดเจ็บที่ใดหรือไม่เจ้าคะ" เสี่ยวอี้ที่นอนตะแคงเพราะบาดแผลด้านหลังเอ่ยถามคุณหนูของตนอย่างห่วงใย ทั้งที่หน้าตายังซีดเซียวอยู่มาก ถ้อยคำนั้นทำเอาขอบตาชิงหลินร้อนผ่าว ลำคอตีบตันจนพูดไม่ออก เกิดมายี่สิบเจ็ดปี นางไม่เคยผ่านประสบการณ์แบบนี้มาก่อน อย่าว่าแต่เคย แม้แต่เฉียดก็ไม่มีสักนิด ถ้าเป็นนางคงทำไม่ได้อย่างเสี่ยวอี้แน่ๆ คนเราพอเกิดเรื่องก็ต้องหนีเอาตัวรอดก่อน มันควรจะเป็นอย่างนั้นไม่ใช่หรือ
"ข้าไม่เป็นไร แม้แต่รอยขีดข่วนก็ไม่มี ขอบใจเจ้ามากที่เสี่ยงชีวิตช่วยข้าไว้"
"ไยคุณหนูต้องกล่าวขอบคุณ บ่าวปกป้องนายเป็นสิ่งสมควรแล้ว ข้ากับน้องสาวเป็นบ่าวสกุลชิง ได้มารับใช้คุณหนูนับเป็นวาสนา ชีวิตอันต่ำต้อยนี้ข้ามอบให้คุณหนูนานแล้วเจ้าค่ะ" เสี่ยวอี้กล่าวออกมาตามความสัตย์จริง โดยเสี่ยวสุ่ยก็เห็นดีเห็นงามกับคำกล่าวของพี่สาว
"เอาละๆ หลินเอ๋อร์ ให้นางได้พักผ่อนเถิด" ชิงฮูหยินเอ่ยตัดบท จากนั้นจึงหันไปกำชับหมอประจำตระกูล "ท่านหมอ ข้าฝากนางด้วย เสียเงินเสียทองเท่าไรข้ามิเกี่ยง ขอเพียงเป็นยาที่ดีที่สุดเป็นพอ"
"ฮูหยินโปรดวางใจ ข้าจะทำเต็มความสามารถขอรับ"
ชิงฮูหยินพยักหน้าพอใจ ชิงหลินหันไปพูดคุยกับคนเจ็บอีกสองสามประโยคจึงตามมารดาออกมา โดยมีเสี่ยวเอินและแม่นมฝูเดินตามมาห่างๆ ส่วนมารดาของเสี่ยวเอินก็แยกตัวไปช่วยงานในครัวชั่วคราว
ยามซวี[1] ณ ห้องหนังสือภายในเรือนแสงจันทร์
ชิงหยวนนั่งเคร่งเครียดเรื่องที่บุตรีถูกลักพาตัว มีเฟิ่งอิงยืนเยื้องไปด้านหน้าด้วยสีหน้าเรียบเฉยเช่นทุกคราว
"แมงป่องดำเป็นชื่อของโจรกลุ่มนี้ซึ่งพอมีชื่ออยู่บ้าง จำนวนสมาชิกทั้งหมดยังระบุไม่ได้ แบ่งกลุ่มรับงานห้าถึงสิบคน โดยรับงานผ่านคนกลางขอรับ"
ชิงหยวนลูบเคราพลางพยักหน้าช้าๆ "ผู้ว่าจ้างคือผู้ใด"
"...เป็นสาวใช้คนสนิทของคุณหนูหานหนิงอัน นามว่าเสี่ยวซีขอรับ"
ชิงหยวนชะงัก เลิกคิ้วทรงดาบขึ้นพร้อมกับถามต่อ "...เจ้ากำลังจะบอกข้าว่าเป็นคุณหนูหาน บุตรีของเสนาบดีฝ่ายบุ๋นผู้นั้น?"
"ขอรับ"
เมื่อได้ฟังคำตอบ ชิงหยวนก็เอนหลังพิงพนักเก้าอี้ พลางถอนหายใจยาว ดวงตาคมกริบทอประกายความกังวลอย่างชัดเจน
ล่วงเข้ายามจื่อ ชิงหลินผวาตื่นเพราะฝันร้าย ทั้งที่ไม่ได้ฝันมาหลายวันแล้ว ในฝันนางถูกหญิงสาวคนหนึ่งที่ไม่เห็นใบหน้า ถือมีดปอกผลไม้ยาวประมาณห้านิ้ว เดินเข้ามาหาและพูดอะไรบางอย่าง น้ำเสียงคล้ายจะโกรธแค้นและชิงชัง แต่นางไม่รู้ว่าพูดอะไร จากนั้นหญิงสาวคนนั้นก็เงื้อมีดขึ้นสุดแขน ทำท่าจะแทงหน้าอกนาง ในฝันนางกรีดร้องเสียงดังลั่น จนผวาตื่นขึ้นมากลางดึก
"ฝันน่ากลัวเกินไปแล้ว" นางพึมพำกับตัวเอง ยามที่ฝันร้ายหรือนอนไม่หลับ นางมักจะออกมาสูดอากาศที่เก๋งริมสระบัวเสมอๆ ครั้งนี้ก็เช่นกัน แต่กลับมีสายตาคู่หนึ่งมองอยู่โดยที่นางไม่รู้ตัว
เฟิ่งอิงยืนกอดอกพิงเสาอยู่ในเก๋งริมสระบัว ดวงตาเรียวดุจับจ้องร่างบางในอาภรณ์สีขาวล้วน ยืนอยู่ตรงส่วนปลายของสะพานที่ทอดยาวไปในสระบัว แสงจันทร์ค่อนข้างกระจ่างด้วยใกล้วันจันทร์เต็มดวง ภาพของหญิงสาวยามยืนมองพระจันทร์ช่างงดงามจับใจยิ่งนัก
นับแต่พบนางคืนนั้น เฟิ่งอิงมักจะมาที่เก๋งริมสระบัวในเวลานี้แทบทุกราตรี แต่ก็ต้องพบความผิดหวังอยู่ร่ำไป แต่คืนนี้...ร่างสูงยิ้มบางๆ มันเป็นรอยยิ้มที่อบอุ่นและอ่อนโยนยิ่งนัก ทว่ากลับไม่มีผู้ใดได้เห็น แล้วเขาก็ต้องรีบหุบยิ้ม ขยับยืนตัวตรง เมื่อเห็นหญิงสาวที่ตนมองอยู่หมุนกายกลับมา นางเอียงคอมองพร้อมกับสาวเท้าตรงเข้ามาหาเขาที่ยืนอยู่ในเก๋ง
"เฟิ่งอิงนั่นเอง นึกว่าใคร นอนไม่หลับเหมือนกันหรือ" หญิงสาวเอ่ยทักก่อน
"...ขอรับ" เขาตอบสั้นๆ พลางหลุบตาลงต่ำเมื่อเห็นว่านางจ้องมองอยู่
"อ้อ! ข้ายังไม่ได้ขอบคุณท่านเลยที่ช่วยข้าไว้ แล้วก็ต้องขอโทษที่ทำให้ท่านต้องลำบาก ฝากขอบคุณและขอโทษทุกคนที่ไปช่วยข้าในวันนี้แทนข้าด้วย"
"มันเป็นหน้าที่อยู่แล้วขอรับ คุณหนูมิต้องกล่าวอันใด"
ชิงหลินพินิจร่างสูงตรงหน้า รู้สึกแปลกใจกับคำพูดที่คล้ายจะห่างเหินของเขา
"ถ้าคุณหนูมิมีอันใดจะสั่ง ข้าขอตัวก่อนนะขอรับ"
ชิงหลินรับคำ มองร่างสูงในอาภรณ์สีดำที่ดูลึกลับเดินจากไปแล้วจึงหันกลับมาพลางถอนหายใจยาว โดยไม่รู้เลยว่าร่างสูงที่เดินจากไปแอบยืนมองนางอยู่หลังต้นเหมยด้วยสายตาที่อ่านยาก พร้อมกับความรู้สึกบางอย่างที่เริ่มก่อกำเนิดและดูเหมือนจะเพิ่มขึ้นทุกที
[1] ยามซวี คือเวลาตั้งแต่ 19.00 น. - 20.59 น.