บทที่ 42 เกิดเรื่อง
ซิ่นหยวนเป็นเรือนที่อยู่ห่างออกไปจากเรือนหลักของจวนจวิ้นอ๋อง ประเด็นหลักของการเลือกสถานที่นี้ก็คือเป็นทำเลที่เงียบสงบ
ฮวงจุ้ยเองก็ดีเงียบสงบตั้งอยู่ห่างไกล แสงสว่างส่องไปไม่ถึง…
“องครักษ์เหลย เหตุใดถึงไม่เรียกให้คนของท่านแข่งขันบ้างเล่า” เสียงของคุณชายหยางดึงความคิดที่กระจัดกระจายของหมิงเวยกลับคืนมา นางได้ยินเขาพูดว่า “หรือว่าฝีมือไม่มากพอ”
หมิงเวยชะงัก นางขับร้องหญิงที่ขายตัวไม่ควรเพิกเฉยต่อทรัพย์สิน
นางไม่ต้องการดึงดูดความสนใจของคนเหล่านี้ แค่ต้องการหลอกให้เกิดความสับสน ดีที่สุดคือไม่ต้องได้รับความสนใจจากพวกเขา
ในขณะที่กำลังคิดนางก็ได้ยินคุณชายผู้หนึ่งพูดขึ้นว่า “เห็นเพียงครึ่งหน้ายังงามขนาดนี้ ไม่คิดจะปลดผ้าคลุมออกหน่อยหรือ”
ยังไม่ทันที่หมิงเวยคิดหาวิธีปฏิเสธ เหลยหงก็พูดขึ้นว่า “นางแต่งกายเช่นนี้ก็งามอยู่แล้ว หากถอดออกเกรงว่าจะน่าเบื่อขอรับ”
คุณชายหยางได้ยินเช่นนั้นก็หัวเราะ “องครักษ์เหลยเข้าใจนางเป็นอย่างดี! ข้าคิดว่าหากท่านมาอีกไม่กี่ครั้ง คงรู้จักกับคำว่าความเพลิดเพลิน”
เหลยหงอายมากจนไม่รู้จะตอบอย่างไร หมิงเวยรู้ดีว่าตนเองต้องออกไปจึงก้าวไปข้างหน้าแล้วคารวะให้เหลยหง “ใต้เท้า ได้หรือไม่เจ้าคะ”
เหลยหงถอนหายใจเล็กน้อยแล้วพูดกับนางไปว่า “หากเจ้าสนใจก็ไปเถอะ” เขาหยุดไปชั่วครู่แล้วพูดต่อ “หากแพ้ข้าจะรับการลงโทษแทนเจ้าเอง”
หมิงเวยประหลาดใจ องครักษ์เหลยผู้นี้เป็นคนดีจริงๆ!
คุณชายหยางได้ยินเช่นนั้นก็หัวเราะ “องครักษ์เหลยช่างรักหยกถนอมบุปผา[footnoteRef:1]เสียจริง หากท่านชอบนางให้ข้ามอบนางให้เจ้าดีหรือไม่” [1: รักหยกถนอมบุปผา : บุรุษควรทะนุถนอมอ่อนโยนต่อสตรี]
“ไม่ขอรับ...” เหลยหงพูดปฏิเสธออกไป
“ไม่ชอบงั้นหรือ” คุณชายหยางชำเลืองมองหมิงเวย ยกนิ้วแตะคางราวกับใช้ความคิด “ถึงแม้เสน่ห์จะขาดไป แต่เห็นใบหน้าแค่ครึ่งเดียวก็งามมากแล้ว หากองครักษ์เหลยไม่ต้องการ งั้นข้าจะเก็บนางไว้เอง”
“คุณชาย!” เหลยหงกระวนกระวาย
เขาไม่รู้ว่าทำไมตระกูลหมิงถึงส่งคุณหนูบ้านตนเองมาเช่นนี้ แต่หากถูกคุณชายหยางรับนางไป อนาคตข้างหน้าได้พังพินาศแน่!
ใครจะรู้ว่าพอเห็นสีหน้าไม่ยินดีของคุณชายหยางก็รู้เลยว่าครั้งนี้คุณชายคงไม่เห็นแก่เขาแล้ว “องครักษ์เหลยหมายความว่าอย่างไร ข้ายกให้ท่านท่านก็ไม่รับ แล้วยังไม่ให้ข้ารับนางไว้อีก หรือแม้แต่เรื่องที่ข้าจะรับสตรียังต้องให้ใต้เท้าเจี่ยงจัดการรึ”
เหลยหงสงบลงแล้วประสานมือคารวะ “คุณชายโปรดยกโทษให้ข้าน้อยด้วย ข้าน้อยแค่รู้สึกว่าหากคุณชายออกไปข้างนอกมีเหตุการณ์ยุ่งยากเกิดขึ้นคงไม่ดี”
“หึ! แค่นางขับร้องหญิงคนเดียวจะเกิดเรื่องยุ่งยากอะไรกัน” คุณชายหยางเชิดหน้าขึ้น เผยให้เห็นความภาคภูมิใจของเขา “ข้าต้องการนาง แล้วท่านจะทำอย่างไร”
“คุณชาย...” เหลยหงรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
เขาไม่รู้ว่าแผนของตระกูลหมิงคืออะไร แต่เขากังวลว่าชื่อเสียงของหมิงเวยจะเสื่อมเสีย แต่ก็เกรงว่าตนเองจะยุ่งเรื่องที่ไม่ควรยุ่งเข้า
ในตอนนั้นเองหมิงเวยยิ้มแล้วโค้งกายให้เหลยหงอีกครั้ง “ขอบคุณใต้เท้ามากเจ้าค่ะที่ปกป้องข้าน้อย แต่ข้าน้อยอยู่ที่นี่เพื่อรับใช้ชนชั้นสูง ไม่ว่าคุณชายต้องการหรือไม่ต้องการข้าน้อย ข้าน้อยก็จะรับฟังคำสั่งเจ้าค่ะ”
เหลยหงคิดว่าตนเดาถูกและอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ เนื่องจากเป็นเจตนาของตระกูลหมิง เขาไม่สามารถเข้าไปยุ่งวุ่นวายได้
คุณชายได้ฟังเช่นนั้นก็ปรบมืออย่างชอบใจ “ข้าชอบที่เจ้าพูดมาเมื่อสักครู่ ในเมื่อเจ้าเข้าใจเป็นอย่างดี ข้าเองก็รู้สึกเห็นใจเจ้าไม่ว่าเจ้าจะแข่งแพ้หรือชนะ ข้าจะตบรางวัลให้”
หมิงเวยก้มหน้าลงแสร้งทำเป็นเขิน “ขอบคุณคุณชายที่ให้ความเมตตาเจ้าค่ะ”
พอนางหันกลับไปแล้วก็ขบฟันแน่น ตอนแรกคิดจะทำให้สับสน แต่ก็ช่างมันแล้ว เพราะคุณชายหยางผู้นี้ได้สร้างปัญหาขึ้นแล้ว
ก็ดี ในเมื่อไม่ให้ไปคิดว่านางจะไม่สร้างปัญหาหรือไง หมิงเวยก้าวออกไปเพื่อเลือกเครื่องดนตรี เนื่องจากเครื่องดนตรีที่นางลองเล่นก่อนหน้านี้คือกู่ฉิน บ่าวรับใช้จึงยกมันขึ้นมา
หมิงเวยยื่นมือออกไปหยิบขลุ่ยเลาหนึ่งขึ้นมา สัมผัสรูขลุ่ยที่คุ้นเคย นางรู้สึกทอดถอนใจเล็กน้อย ตอนที่นางเรียนรู้ในช่วงแรกๆ ท่านอาจารย์ให้นางเลือกอาวุธ ซึ่งนางได้เลือกขลุ่ย
ท่านอาจารย์ได้มอบขลุ่ยที่ทำจากไม้ที่ถูกฟ้าฝ่าโดยฝีมือของท่านให้แก่นาง
ซึ่งขลุ่ยเลานั้นนางติดตัวไว้ไม่เคยห่างกาย
จนถึงตอนที่นางขึ้นเขาหมางซาน หมิงเวยเช็ดขลุ่ยอย่างระมัดระวัง จากนั้นจึงทดลองเสียงแล้วหันไปพูดกับเด็กรับใช้ “ข้าเลือกสิ่งนี้”
นางกลับไปที่ลานแสดงแล้วโค้งให้กับนางระบำที่เป็นคู่ต่อสู้ของนาง ต่างคนต่างพูดบางอย่างเพื่อขอคำแนะนำ จากนั้นคนหนึ่งเริ่มเล่นอีกคนเริ่มเต้นรำ
สัญชาตญาณที่หลงเหลือจากความทรงจำนั้นทรงพลังมาก ทันทีที่นางเริ่มเป่า ก็มีเสียงเพลงบรรเลงลื่นไหลตามธรรมชาติ
เพลงที่คุ้นเคยทำให้นางรู้สึกราวกับย้อนกลับไปในอดีต ขลุ่ยในมือของนางนั้นใช้จิตวิญาณมากมายอีกทั้งยังปราบปรามสิ่งชั่วร้ายมานับไม่ถ้วน
เสียงขลุ่ยที่ส่งผ่านทำให้ภูติผีปีศาจเชื่อฟังคำสั่งยอมจำนนอยู่ใต้อำนาจ
………….
ซู่เจี๋ยเดินไปเดินมา นางรู้สึกไม่สบายใจ ชะเง้อมองเข้าไปด้านในเป็นครั้งคราว สาวใช้ที่อยู่กับนางรู้สึกเวียนหัวจนอดไม่ได้ที่จะพูดออกไป “ท่านพี่นางนั้น ช่วยนั่งรอด้วยเถิด!”
ซู่เจี๋ยตระหนักว่าตนกำลังรบกวนผู้อื่นจึงรีบขอโทษ “ขออภัยเจ้าค่ะ”
สาวใช้นางนั้นนั่งรอก็รู้สึกเบื่อเช่นกันจึงพูดกับนางไปว่า “ทำไมท่านต้องเป็นกังวลไปด้วยเล่า คุณชายหยางผู้นั้นเป็นคนใจกว้าง นี่เป็นงานที่ดีไม่ใช่หรือ!”
ซู่เจี๋ยยิ้มแข็งๆ หาเหตุผลตอบนางกลับ “คุณหนูของข้าออกมาเป็นครั้งแรก...”
“อย่างนี้นี่เอง” สาวใช้เล่าประสบการณ์ให้ซู่เจี๋ยฟังอย่างอ่อนโยน “ท่านพี่ไม่ต้องกังวลไปหรอก พวกนางคงไม่ออกมาเร็วขนาดนั้น คุณชายหยางเป็นคนรักสนุก จะไม่ปล่อยออกมาจนกว่าจะถึงยามสี่! แต่ท่านไม่ใช่คนที่ทำเรื่องอะไรแย่ๆ ก็แค่เล่นการละเล่นกันสักอย่าง หากถูกเอาเปรียบก็เป็นเรื่องดี อาชีพอย่างพวกเรานั้นเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้...”
สิ่งที่ซู่เจี๋ยกังวลก็คือคุณหนูของนางจะถูกเอารัดเอาเปรียบ! เสียงดนตรีที่กำลังบรรเลงดังมาแต่ไกล ฟังไม่ค่อยชัด ไม่รู้ว่าตอนนี้คุณหนูกำลังทำอะไรอยู่...
“เป็นเสียงขลุ่ยที่ไพเราะมาก” สาวใช้กล่าว “ไม่รู้ว่าทำไมข้าถึงรู้สึกสงบเมื่อได้ฟังเสียงนี้” ซู่เจี๋ยได้ยินนางพูดเช่นนั้นก็ลองฟังเสียงดู พยายามไม่ให้หลงใหลไปกับเสียงเพลง
เสียงขลุ่ยช่างเงียบสงบราวกับพานางเข้าสู่อีกโลกหนึ่ง ณ ที่แห่งนั้นมีเสียงสายลมพัดผ่านป่าสนและเสียงของคลื่นน้ำ…
ซู่เจี๋ยตกอยู่ในภวังค์ไปสักพัก แต่ความรู้สึกเป็นห่วงหมิงเวยอยู่เหนือกว่าจึงชะเง้อคอมองเข้าไปด้านใน ไม่อยากเงยหน้า...
“อา!”
สาวใช้นางนั้นสะดุ้ง “มีอะไรหรือ”
ซู่เจี๋ยจ้องไปที่ไหล่ของนางสงสัยว่านี่เป็นภาพลวงตาหรือเปล่า เมื่อครู่เหมือนนางจะเห็นว่ามีคนนอนอยู่บนไหล่ของนาง…
นางยังมองไม่ค่อยออกแต่ก็มีเสียง ‘อา’ ดังขึ้นข้างหู พอหันไปมองก็พบว่าเป็นสาวใช้อีกคนหนึ่ง
สาวใช้นางนั้นสีหน้าหวาดกลัวนางชี้ไปที่ผ้าม่านน้ำเสียงของนางสั่นเครือ “มี...มีเงา!”
เหล่าสาวใช้มองตามที่นางชี้ บางคนมีสีหน้างงงวยเพราะมองแล้วไม่เห็นอะไรเลย บางคนกรีดร้องแล้วกระโดดเข้าไปกอดคนข้างๆ
“ข้า ข้าก็เห็น! มันคือสิ่งใดกันแน่” ใบหน้าของสาวใช้คนอื่นซีดลงด้วยความตกใจ “ไม่มีเท้า ผี ผี!”
เสียงกรีดร้องดังขึ้นดึงดูดทำให้ผู้ดูแลสวนซิ่นต้องเดินเข้ามาดู
ผู้ดูแลเดินเข้ามาด้วยสีหน้าเย็นชาแล้วตะโกนเสียงดัง “ร้องอะไรกัน ไม่รู้หรือไงว่าที่นี่คือที่ไหน โวยวาย...”
ยังไม่ทันได้พูดจบสาวใช้หลายคนก็ร้องขึ้นมาพร้อมกัน ผู้ดูแลถูกพวกนางทำให้ตกใจก็โกรธ “หากยังร้องเช่นนี้อีกก็ออกไปซะ!”
“ไม่ใช่นะเจ้าคะ!” สาวใช้ผู้กล้าหาญร้องไห้ตัวสั่นแล้วชี้ไปข้างหลังเขา “ด้านหลังของท่าน มี มีบางอย่าง...”
“อา!” หากดุใส่อีกคงไม่ได้ผลอีกต่อไป เหล่าสาวใช้ต่างจับกลุ่มรวมตัวกันแล้วไปซ่อนตัวอยู่ไกลๆ
ผู้ดูแลที่ถูกนางร้องใส่ด้วยความตกใจใจเขาเต้นรัวราวกับจังหวะกลอง อดไม่ได้ที่จะหันกลับไปช้าๆ
“อา!” คราวนี้เป็นเขาที่ร้องออกมา มีเงาสีซีดอยู่ด้านหลังเขา เมื่อเห็นเขาหันกลับมา ก็เอียงศีรษะที่มีใบหน้าสีเขียวคล้ำเล็กน้อยใส่
………………………………………………………..