ฮ่องเต้ทรงประทับนิ่งไปนานครู่ใหญ่ พระองค์ได้ทรงครุ่นคิดทบทวนไตร่ตรอง และมองดูสตรีน้อยตรงหน้าอย่าพินิจพิจารณา
'เพชรแท้ ไม่ว่ายังไงก็ย่อมเป็นเพชรแท้อยู่วันยังค่ำ แม้ว่าจะไปเกลือกกลั้วอยู่ในโคลนตมนานแค่ไหน สุดท้ายแล้ว เนื้อแท้ข้างใน ย่อมไม่เคยเปลี่ยนแปลงไปจากรากฐานเดิม'
ส่วนคนอื่น ๆ ในท้องพระโรง ต่างก็พากันเงียบและรอฟังการตัดสินพระทัยของฮ่องเต้อย่างใจจดจ่อ
และแล้วฮ่องเต้ก็ทรงตัดสินพระทัยได้
"ฟ่งหลันหลั่น เจ้ายืนกรานว่าจะตัดสินใจเลือกหนทางตามที่เจ้าได้กล่าวมาทั้งหมดนี้ ใช่หรือไม่!"
ฮ่องเต้ทรงตรัสถามกับฟ่งหลันหลั่นด้วยพระสุรเสียงจริงจัง
สตรีน้อยนั่งยืดแผ่นหลังตรงเชิดหน้าขึ้น มองยังฮ่องเต้ด้วยแววตามุ่งมั่นและตอบกลับไปอย่างเด็ดเดี่ยว
"ทูลฝ่าบาท หม่อมฉันยังยืนกรานตามคำตอบเดิมเพคะ"
ฮ่องเต้ทรงตรัสถามย้ำอย่างขึงขังอีกครั้ง
"เจ้าจะไม่เสียใจในภายหลังใช่หรือไม่ ?"
"เพคะ หม่อมฉันจะไม่มีทางเสียใจในภายหลังอย่างแน่นอน ขอฝ่าบาททรงโปรดเมตตาประทานราชาอนุญาตด้วยเถิด" ไม่ว่าจะถูกถามอีกกี่ครั้ง นางก็ยังคงตอบยืนกรานคำตอบเดิม
ฮ่องเต้ทรงเงียบไปอีกครั้ง และนาทีต่อมาพระองค์ก็ได้ทรงให้คำตอบที่ขัดใจต่อเหล่าขุนนางทั้งหลาย
"เราตกลงยอมรับในเงื่อนไขข้อแลกเปลี่ยนนั้น เราจะยกเลิกการแต่งตั้งตำแหน่ง เหอซั่วกงจู่ ของเจ้า ส่วนโทษตายของเยี่ยอ๋อง ก็จะถูกละเว้นเช่นกัน และให้เขากลับไปใช้ชีวิตในช่วงบั้นปลายสุดท้ายกับบุตรสาวในฐานะสามัญชน"
สตรีน้อยได้รับคำตอบที่น่าพึงพอใจเช่นนั้น นางก็ได้หมอบกราบลงบนพื้นหินอ่อนตรงหน้าอย่างนอบน้อม
"ขอบพระทัยฝ่าบาทเพคะ ขอพระองค์ทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่น หมื่นปี"
ด้านเยี่ยชิงเซียว เมื่อได้ฟังพระดำรัสนั้น ที่ทรงยอมประทานอภัยและลดโทษตายให้กับบิดา นางก็ได้หลั่งน้ำตาแห่งความดีใจออกมาเป็นสายอย่างโล่งอกยิ่งนัก พร้อมกับก้มกราบลงบนพื้นและกล่าวขอบพระทัยฮ่องเต้ไม่หยุดปาก
"ขอบพระทัยเพคะฝ่าบาท เป็นพระมหากรุณาธิคุณล้นพ้นอย่างที่สุด ขอพระองค์ทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่น หมื่นปี"
ด้านเยี่ยอ๋องก็พยายามแสดงออกเช่นเดียวกับบุตรสาวอย่างทุลักทุเล โดยมีนางคอยช่วยพยุง
"ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท เป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างล้นพ้น หม่อมฉันจะจดจำและสำนึกในพระเมตตามิลืมเลือน ขอพระองค์ทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่น หมื่นปี"
จากนั้นสองพ่อลูกตระกูลเยี่ยก็ได้เข้าสวมกอดกันด้วยความดีใจอย่างที่สุด พลางหันไปมองทางฟ่งหลันหลั่นด้วยความรู้สึกซาบซึ้งใจ โดยเฉพาะ เยี่ยอ๋อง แววตาที่เขามองไปยังสตรีน้อย เต็มไปด้วยความสำนึกผิดและความละอายใจต่อบาปที่ได้กระทำต่อนางและบิดายิ่งนัก
"อวี้หลัน ลุงขอบใจในน้ำใจของเจ้ามากที่ยอมอภัยให้ลุงในครั้งนี้ เจ้าช่างมีจิตใจเปี่ยมไปด้วยคุณธรรมและเมตตาธรรมต่อผู้อื่นเหมือนน้องอวี้ บิดาของเจ้าเสียจริง และลุงต้องขอโทษจากก้นบึ้งของหัวใจ สำหรับความเลวทุกอย่างที่ได้กระทำลงไปด้วย"
นางพูดเสียงแข็งกระด้างสวนกลับอย่างทันควัน ดูคล้ายอดทนมานานแล้ว จนอึดอัดคับใจเป็นอันมาก
"คนเลวเช่นท่าน! ไม่มีสิทธิ์มาเอ่ยถึงนามของบิดาข้า ส่วนความสัมพันธ์จอมปลอมนั้น มันได้จบลงไปตั้งแต่เมื่อสิบปีก่อนแล้ว นับจากวินาทีนี้เป็นต้นไป เตรียมตัวเตรียมใจรับผลกรรมของตนที่ได้ก่อไว้เถิด ท่านจะได้รู้ซึ้งถึงคำว่า นรกบนดินนั้น มันเป็นเช่นไร"
แม้เยี่ยอ๋องจะถูกสตรีน้อยต่อว่ากลับมาด้วยถ้อยคำเสียดสีทิ่มแทง แต่เขาก็เข้าใจดี และพร้อมก้มหน้ารับกรรมที่ตนเองได้ก่อไว้
ส่วนเยี่ยชิงเซียว นางรู้สึกซาบซึ้งในน้ำใจของฟ่งหลันหลั่นเป็นยิ่งนัก
"ฟ่งหลันหลั่น ข้าขอบคุณในน้ำใจของเจ้าครั้งนี้ที่ยอมช่วยชีวิตของท่านพ่อเอาไว้ยิ่งนัก และขอโทษกับสิ่งแย่ ๆ ที่ข้าได้ทำไว้กับเจ้า หากข้าสามารถทำอะไรตอบแทนในน้ำใจของเจ้าได้ ข้ายินดีจะยอมทำให้ทุกอย่าง"
ฟ่งหลันหลั่นได้ปรายตามองหน้าธิดาอ๋องด้วยสายตาเย็นชา
"นับจากวันนี้เป็นต้นไป เราสองคนไม่มีบุญคุณความแค้นอันใดต่อกันทั้งสิ้น ต่างคนต่างเดินบนเส้นทางและใช้ชีวิตของตน ไม่ว่าทางใดก็ตาม จงอย่าได้มาพบพานข้องแวะหรือเกี่ยวพันกันอีกเลย"
ทั้งหมดที่ฟ่งหลันหลั่นได้กล่าวกับสองพ่อลูก ผู้ที่เคยทำร้ายนางแทบปางตายมาหลายครั้ง นั่นถือว่าเป็นความปรานีอย่างที่สุด เท่าที่นางจะทำได้แล้ว
หลงอี้หลิงได้หันไปถามสตรีน้อยบางอย่างเพื่อให้หายคลางแคลงใจและคายความสงสัยที่มีในใจ
"หลั่นเอ๋อร์ ก่อนหน้านี้ที่เจ้าได้ขาดสติลุกขึ้นไปตบหน้าสองพ่อลูกตระกูลเยี่ย ต่อหน้าพระพักตร์ของฮ่องเต้ นั่นเป็นหนึ่งในแผนการที่เจ้าได้วางไว้ เพื่อให้เหล่าขุนนางได้หาข้ออ้างในการขัดขวางไม่ให้เจ้าได้หวนคืนตำแหน่งองค์หญิงใช่หรือไม่"
ริมฝีปากบางเฉียบเม้มเข้าหากันแน่นสนิทเหมือนฝาหอย และเอ่ยขึ้นอย่างน้อยใจ
"ในที่สุดท่านก็มองออกเสียที"
ถูกต้องแล้ว ดูเหมือนว่าทุกอย่างจะเป็นไปตามแผนของนางที่ได้วางไว้ตั้งแต่ต้นทั้งหมดนั่นเอง
แม้แต่ฮ่องเต้ก็อาจเพิ่งทรงเข้าพระทัยกระจ่างแจ้งชัดเจนในช่วงสุดท้ายเช่นกัน
เป็นพวกเขาเองที่เข้าใจนางผิดมาตั้งแต่แรก
'เจ้าช่างฉลาดแกมโกงเสียจริงนะ" หลงอี้หลิงกล่าวชมแกมตำหนินางเล็กน้อยเพื่อไม่ให้เจ้าตัวฮึกเหิมจนเกินไป
และแล้วช่วงเวลาแห่งความกดดันและความตึงเครียดอันยาวนานบนท้องพระโรงก็ได้สิ้นสุดลง
ฮ่องเต้ทรงตรัสปิดการไต่สวนคดีและเสด็จกลับพระตำหนักเพื่อพักผ่อน
ทุกคนก็ต่างพากันแยกย้ายเดินทางกลับเรือนพักของตน
แม่ทัพหนุ่มลุกขึ้นยืน และเดินเข้าไปสวมกอดเรือนร่างอรชรไว้อย่างแนบแน่น มืออีกข้างก็ยกขึ้นมาลูบลงบนเส้นไหมสีดำขลับของนางอย่างอ่อนโยน
"หลั่นเอ๋อร์ เจ้าช่างมีจิตใจเปี่ยมไปด้วยเมตตาต่อสองพ่อลูกตระกูลเยี่ยยิ่งนัก ข้าขอโทษที่ไม่เชื่อใจและระแวงในตัวเจ้า และข้าก็ดีใจยิ่งนักที่เจ้าปฏิเสธตำแหน่งองค์หญิงอันสูงส่งและเลือกอยู่เคียงข้างข้าตลอดไป"
อ้อมกอดอันทรงพลังถ่ายทอดความรู้สึกอบอุ่นปลอดภัยมาให้นางอย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย ทำให้นางสงบใจลงได้อย่างน่าประหลาด
ฟ่งหลันหลั่นสวมกอดตอบรับความรู้สึกของอีกฝ่าย และกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาพลิ้วไหวดุจสายลม
"ข้าทำถูกต้องแล้วใช่ไหม...ใจจริงแล้ว ข้าอยากจะกระโจนเข้าไปขย้ำคอของสองพ่อลูกคู่นั้นและฉีกเลือดฉีกเนื้อของพวกเขาออกเป็นชิ้น ๆ ให้ตายตกไปตามบิดาของข้ากับตาเฒ่าฟ่งยิ่งนัก แต่ถึงข้าจะทำเช่นนั้น คนที่ข้ารัก ก็ไม่มีทางที่จะฟื้นชีวิตกลับมาได้ ความตายมันง่ายเกินไป ข้าอยากเห็นพวกเขาทนทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส ข้าเลยเลือกที่จะแลกเปลี่ยนตำแหน่งของ องค์หญิงกับโทษตายของเยี่ยอ๋อง"
"หลั่นเอ๋อร์ของพวกเราเก่งมาก เก่งที่สุด"
หลงอี้หลิงยังคงลูบหัวของฟ่งหลันหลั่นต่อสองสามครั้งอย่างทะนุถนอม เวลาต่อมา เขาก็ได้คลายอ้อมกอดออกจากร่างอรชร และยื่นมือไปกุมมือของฝ่ามือน้อยเอาไว้อย่างแนบแน่น
"ป่านนี้ ทุกคนคงกำลังตั้งหน้าตั้งตารอให้เจ้ากลับไปยังเรือนหลงหลิง ข้าให้สัญญา นับจากนี้จวบจนวันตาย...ข้าจะไม่ยอมให้ผู้ใดแตะต้องเจ้าและทำให้เจ้าต้องเจ็บปวดเสียใจอีกแล้ว กลับบ้านของพวกเรากันเถอะ หลั่นเอ๋อร์ ยอดรักของข้า"
ดวงหน้างามแดงปลั่งราวกับผลดอกท้อด้วยความเขินอาย นางมองเขาด้วยแววตาแห่งความซาบซึ้งใจ น้ำเสียงอันอ่อนโยนและแววตาอันอบอุ่นของหลงอี้หลิงได้ช่วยเยียวยาและปลอบประโลมหัวใจที่เคยเจ็บปวดอย่างแสนสาหัสและเคยเต็มไปด้วยความอาฆาตเคียดแค้น
บัดนี้ มันได้มลายหายไปจนหมดสิ้น
และนับจากวินาทีนี้เป็นต้นไป ทุกพื้นที่และทุกอณูขุมขนบนร่างกาย และทุกลมหายใจเข้าออกของนาง จะมีเพียงบุรุษรูปงามตรงหน้าผู้นี้เพียงผู้เดียว
"อื้ม! ในที่สุดทุกอย่างก็จบลงได้เสียที หลงอี้หลิง ข้าขอบคุณในทุกอย่างที่ท่านได้กระทำ รวมทั้งความหวังดีที่ท่านได้มอบให้กับข้า นับจากนี้ข้าจะเป็นสาวใช้ข้างกายของท่านไปตลอดช่วงชีวิตที่เหลืออยู่ ข้าให้สัญญา"
ฟ่งหลันหลั่นฉีกยิ้มหวานและกล่าวกับหลงอี้หลิงด้วยน้ำเสียงสดใส ในสายตาของเขาตอนนี้ นางช่างปรับอารมณ์ได้ไวจนน่าปวดหัวตามเสียจริง
แต่จู่ ๆ แม่ทัพหนุ่มก็เผยรอยยิ้มอ่อนออกมาอย่างเจ้าเล่ห์ และดีดนิ้วลงไปบนหน้าผากโหนกนูนของอีกฝ่ายจนเกิดเสียงดังขึ้น
ปั๊ด!!
ฟ่งหลันหลั่นยกมือขึ้นลูบบนหน้าผากของตน นางมองเขาตาเขียวอย่างไม่เข้าใจ พร้อมกับต่อว่าอีกฝ่ายสวนกลับไปทันที
"นี่จะหาเรื่องอะไรข้าอีก! มาดีดหน้าผากเหม่งของข้าทำไมกัน เมื่อไม่กี่นาทีก่อน ยังบอกว่าจะดูแลข้าและไม่ทำให้ต้องเจ็บปวดอยู่เลย"
"เรื่องระหว่างเราสองคนมันยังไม่จบ ก่อนหน้านี้เจ้าทำอะไรไว้ เจ้าลืมไปแล้วหรือไง แต่ข้ายังไม่ลืมสายตาเว้าวอนสงสารเห็นอกเห็นใจที่เจ้าทอดมองไปยังหยวนจูวเย่ผู้นั้น และข้าได้เตือนเจ้าแล้วว่ากลับถึงเรือนหลงหลิงเมื่อไร ข้าจะคิดบัญชีเจ้ารวบยอดทบต้นทบดอกทั้งหมดในคราวเดียวกัน"
น้ำเสียงทุ้มสะกดใจ ถ้อยคำแฝงไว้ซึ่งเผด็จการและแววตาคมกริบของแม่ทัพหนุ่มที่แสดงออกมาในเวลานี้ ดูท่า นี่จะไม่ใช่แค่เพียงคำขู่
ในตอนนี้ถึงฟ่งหลันหลั่นจะเปลี่ยนใจ นางก็คงถอนตัวไม่ทันเสียแล้ว
เรือนหลงหลิง
หลายวันต่อมา หลังจากการพิจารณาไต่สวนคดีสิ้นสุดลง เรือนหลงหลิงก็ได้จัดงานมงคลสมรสขึ้น โดยมีหลงฮูหยินเป็นผู้ใหญ่ฝ่ายเจ้าบ่าว และฮ่องเต้ทรงเป็นผู้ใหญ่ฝ่ายเจ้าสาว
ในวันแห่งมงคลนี้ ประตูของเรือนหลงหลิงได้เปิดกว้างเพื่อต้อนรับทุกคนให้สามารถเดินทางมาร่วมอวยพรแสดงความยินดีกับพวกเขา โดยไม่มีการแบ่งชนชั้นวรรณะ ไม่ว่าจะเป็นผู้ใด เมื่อก้าวขาข้ามพ้นผ่านธรณีประตูใหญ่ของเรือนเข้ามา ทุกคนย่อมมีความเสมอภาคเท่าเทียมกัน
พิธีการสำคัญ อาทิ พิธีกราบไหว้ฟ้าดินและพิธียกน้ำชาให้กับญาติผู้ใหญ่ ต่างก็ได้ดำเนินการไปอย่างราบรื่น ไม่มีสิ่งใดติดขัด จนเวลาล่วงเลยมาถึงงานเลี้ยงดื่มฉลองในช่วงยามเย็น
หลงอี้หลิง แม่ทัพหนุ่มของทุกคน ตอนนี้จะไม่โสดอีกต่อไปแล้ว เขาจึงถูกลูกน้องทหารในหน่วยของตนมอมเหล้าอย่างหนัก
โดยเฉพาะจางเก่อและเข่อลั่ว ทั้งสองคนได้รับมอบหมายจากหลงฮูหยิน ให้ลงมือจัดการกับนายน้อยของพวกเขาอย่างไม่ต้องปรานี
ดังนั้นสุราชนิดใดที่ว่ามีดีกรีแรงแค่ไหนก็ตาม ล้วนถูกยกออกมาจนหมดเกลี้ยง
เวลาผ่านไปสองชั่วยาม และแล้วช่วงเวลาอันสำคัญของวันงานมงคลสมรสก็มาถึง
ทันทีที่ทุกคนพาเจ้าบ่าวมาส่งตัวเข้าห้องหอ พวกเขาก็รีบปลีกตัวออกไปจากตรงนั้นอย่างไม่รอช้า
หลงอี้หลิงผลักประตูเข้าไปด้านในด้วยสภาพอ่อนเปลี้ยเพลียแรง เขาดูเมามายจนแทบหมดสภาพ แต่พอประตูได้ถูกปิดลง เขากลับมีท่าทีเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
สองขาเดินก้าวเดินอย่างเที่ยงตรงลั่นคงตรงดิ่งไปยังเตียงนอน ราวกับคนไม่ได้ดื่มสุราลงท้องเลยสักจอก
เจ้าสาวของวันนี้อยู่ในอาภรณ์แพรไหมสีชาด ตัวชุดยาวเฟื้อยลงไปถึงพื้นและปักด้วยดิ้นทองเป็นรูปนางพญาหงส์เพลิง ทั้งสง่าและงดงามราวกับมวลบุปผากำลังงามสะพรั่ง นางนั่งตัวเกร็งแข็งทื่อไม่กระดุกกระดิกแม้แต่น้อยอยู่บนขอบเตียงผืนใหญ่ ซึ่งถูกประดับประดาตกแต่งไปด้วยโคมไฟมงคลสีแดงจนละลานตาไปหมด
ตึกตัก ตึกตัก!!!...
เสียงหัวใจของฟ่งหลันหลั่นเต้นถี่ เร็วและสั่นแรงไม่เป็นจังหวะ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่นางได้อยู่ตามลำพังสองต่อสองกับเขา แต่เหตุใดนางถึงได้รู้สึกใจเต้นแรงอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน
หลงอี้หลิงเดินมาถึงเตียงนอน เขาก็ได้ทิ้งตัวนั่งลงข้างเจ้าสาวผู้แสนงดงามของตน พลางยื่นมือไปจับชายผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวและเปิดผ้าคลุมผืนนั้นออก
พรึ่บ!
สองแก้มนวลของเจ้าสาวถูกย้อมด้วยชาด แดงระเรื่อเพริศพริ้ง งดงามตราตรึงใจคนตรงหน้า ผนวกกับท่าทางขวยอายอันยากปรากฏของนาง ยิ่งทำให้เขาหลงใหลอย่างล้ำลึก
เวลานี้ในสมองอันว่างเปล่าของหลงอี้หลิงมีแต่ฟ่งหลันหลั่นเท่านั้น ไม่มีที่ว่างให้สิ่งอื่นใดสอดแทรกลงไปได้อีก
ฝ่ามือหนาลูบใบหน้าน้อย ๆ ของเจ้าสาวอย่างแผ่วเบาและเลื่อนมาหยุดอยู่บนริมฝีปากบางเฉียบ
หลงอี้หลิงใช้ปลายนิ้วหัวแม่โป้งคลึงบนริมฝีปากบางของนางเบา ๆ
"หลั่นเอ๋อร์ คืนนี้เจ้าเตรียมตัวเตรียมใจพร้อมรับการลงโทษจากข้าแล้วใช่หรือไม่" น้ำเสียงทุ้มละมุนของหลงอี้หลิงดังขึ้นเบา ๆ
นัยน์ตาทั้งสองข้างที่มองเขามา มันช่างหวานฉ่ำราวกับมีน้ำหยดออกมา ดูหยาดเยิ้มเย้ายวนยั่วยุอารมณ์ จนเขาจะควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่อยู่แล้ว
ส่วนฟ่งหลันหลั่น ในหัวใจของนางตอนนี้ คล้ายมีกลองใบเล็กรัวดังตุ้ม ๆ ไม่หยุด
"คืนนี้ข้าจะปรนนิบัติท่าน และจะยินยอมทำทุกอย่างตามที่ท่านต้องการจนสมดั่งใจปรารถนา"
ทันทีที่น้ำเสียงหวานหูละมุนละไมของเจ้าสาวตอบออกมา
เจ้าบ่าวก็ไม่สามารถที่จะระงับอารมณ์เสน่หาของตนที่ทนอดกลั้นมานานไว้ได้อีกต่อไป
หลงอี้หลิงผลักเรือนร่างอรชรลงบนเตียงและโถมตัวเข้าหานางอย่างรวดเร็ว ถอดอาภรณ์ของเจ้าสาวออกทีละชิ้น โดยเริ่มจากชิ้นบนสุด
ทรวงอกอันขาวผุดผ่องเผยออกมาให้เห็นครึ่งหนึ่ง ปรากฏภาพอันวาบหวามชวนให้ผู้คนเลือดลมประดังขึ้นมา
พอได้กลิ่นหอมกรุ่นของดอกไม้ เขาก็อดใจไม่ไหวก้มหน้าลงไปจุมพิตหัวไหล่ของนางเบา ๆ
บุรุษผู้มีเคยจิตใจดั่งหินผา ตอนนี้ความแข็งแกร่งนั้นก็ถูกทำลายลงชั่วพริบตา สติเขาขาดผึงลง ความเสน่หาคลั่งไคล้เข้ามาแทนที่
เขาลงมือถอดอาภรณ์ที่เหลือของนางและของตนโยนทิ้งออกไปทางด้านหลัง
และทั้งหมดเสร็จสิ้นภายในระยะเวลาอันรวดเร็ว
ในที่สุดเขาก็ทนต่อไปไม่ไหวแล้วจริง ๆ หลงอี้หลิงก้มหน้าลงคว้าตัวนางไว้แล้ว และมอบจุมพิตลงบนกลีบปากสีชมพูของนางอย่างเร่าร้อน
จากนั้นริมฝีปากและสองมือของเขาก็สอดกระหวัดรัดเกี่ยว ปัดป่ายโลมไล้ไปตามเรือนร่างของนางอย่างนุ่มนวล ทว่าร้อนแรง
สองมือของเขายังคงปัดป่านลูบไล้ผ่านสะโพกผายอวบอิ่ม เลยเอวคอดกิ่วและไล่ขึ้นมาถึงยอดปทุมถัน และบีบขยำลงเต็มมือและนวดคลึงอย่างเมามัน จุมพิตที่มอบให้ก็ยังคงดูดดื่มและดุดัน
ฟ่งหลันหลั่นหลุดครางเสียงกระเส่าออกมา และปล่อยให้ตนเองเตลิดเพริดไปกับห้วงอารมณ์เสน่หาที่เขาปลุกเร้าขึ้น
เมื่อเสียงเชื้อเชิญของคนรักดังขึ้นข้างหู เขาก็วางทาบร่างลงบนตัวของฟ่งหลันหลั่น จับจูงมือนางพาเดินเข้าสู่กองไฟเสน่หา ให้เปลวไฟร้อนแรงแผดเผาร่างไปด้วยกัน
คนที่เป็นฝ่ายตั้งรับก็ได้สนองตอบสัมผัสของเขากลับอย่างยั่วยวน นางแอ่นอกขึ้นรับอย่างรู้งาน มือน้อย ๆ โอบกอดกระชับร่างของเขาแน่นขึ้น พลางกดแรงที่ปลายนิ้วของตนลงบนแผนหลังของเขาอย่างไม่รู้ตัว
เขาตั้งท่าจะขยับความปรารถนายิ่งใหญ่โถมเข้าสู่เรือนร่างอรชรเต็มแรง
นางสะดุ้งเฮือกพร้อมกับการล่วงล้ำเข้ามาด้วยอารมณ์เร่าร้อน ทรวงอกงดงามที่สะท้อนขึ้นลงตามจังหวะการหายใจ เวลานี้กำลังแนบชิดติดอยู่กับแผ่นอกหนาของเขา ชนิดไม่มีช่องว่างให้อะไรสอดแทรกเข้ามาได้
ยิ่งเวลาผ่านไป จังหวะเคลื่อนไหวที่ร่างกายท่อนล่างกระชั้นถี่ขึ้นเรื่อย ๆ นางอดส่งเสียงครางเครือในลำคอไม่ได้
นาทีต่อมา เสียงร้องครวญครางประสานเสียงหอบหายใจก็ดังก้องไปทั่วทุกมุมห้อง
หลงอี้หลิงฮึกเหิมยิ่งกว่าการทำศึกใด ๆ เขาโหมรุกกระหน่ำไม่ยั้ง ครอบครองจนนางอ่อนเปลี้ยเพลียแรงไปทั้งกาย
"หลั่นเอ๋อร์ยอดรัก ยอดดวงของข้า...ข้ารักเจ้ามากมายจนไม่อาจหาคำใดมาเปรียบเปรยได้"
เสียงครวญครางเรียกชื่อของนางอันเป็นที่รักเผยขึ้นเบา ๆ ในขณะที่ร่างกายช่วงล่างของเขายังคงขยับเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา
"หลงอี้หลิง แม่ทัพของข้า...ข้าก็รักท่านอย่างสุดหัวใจเช่นกัน"
เสียงครางเรียกชื่อขานรับตอบและบอกรักต่อบุรุษที่ทำกำลังนอนทาบทับอยู่บนเรือนร่างของตน พร้อมกับแอ่นอกรับแรงกระแทกของเขาตามท่องทำนองจังหวะขึ้นลง
สิ้นคำนั้นของนางอันเป็นที่รัก หลงอี้หลิงก็ได้ยื่นเรียวปากจุมพิตบนริมฝีปากบางสีชมพูที่เผยอออกมาเบา ๆ แล้วก็บดเบียดคลึงเคล้าและรุกหนักขึ้น อย่างดูดดื่มหวานชื่นตราตรึงใจ
เวลาผ่านไปนานเพียงใดไม่รู้ได้ จังหวะการเคลื่อนไหวที่ร่างกายท่อนล่างก็ยังคงไม่หยุดหย่อน และได้กระชั้นถี่ขึ้นเรื่อย ๆ และแรงหนักขึ้น หนักขึ้น จนเสียงร้องครวญครางประสานเสียงหอบหายใจดังก้องไปทั่วทุกมุมห้องอีกครั้ง
ณ เพลานี้ บทเพลงรักของพวกเขาทั้งสองคน เพิ่งได้เริ่มต้นขึ้นแค่เพียงท่อนที่สองเท่านั้น
ราตรีนี้ยังอีกยาวไกลนัก และแม้ด้านนอกห้องนั้น ฟ้าจะถล่มหรือแผ่นดินจะพังทลายลงมา ก็มิอาจมีสิ่งใดมาหยุดยั้งความสุขสมและปรารถนาอันเร่าร้อนในเปลวไฟราคะของทั้งคู่ให้ดับลงไปได้
นับจากวันนี้ จวบจนกัลปาวสาน
ความรักของหลงอี้หลิงกับฟ่งหลันหลั่น ก็จะยังยั่งยืน มั่นคง ถือไม้เท้ายอดทองกระบองยอดเพชร ครองรักคู่กันไปจนแก่เฒ่า ตราบชั่วนิจ นิรันดร์กาล
จบบริบูรณ์
....
เซียงไค 盛開
ของขวัญจากผู้อ่านคือกำลังใจในการสร้างสรรค์ผลงาน ช่วยส่งกำลังใจให้ไรต์หน่อยนะ!
การสร้างสรรค์งานเป็นเรื่องยาก ส่งกําลังใจให้กันด้วยนะ!
มีความเห็นเกี่ยวกับนิยายเรื่องนี้ใช่รึเปล่า คอมเมนต์มาได้เลยไรต์อยากฟัง
เรื่องนี้จบแล้ว ชื่นชอบหรือไม่ชื่นชอบ หวังว่าคุณนักอ่านจะสละเวลาสักนิด เขียนความเห็นหรือรีวิว เป็นกำลังใจต่อนักเขียน เพื่อนำไปปรับปรุงและพัฒนาการเขียน ในการสร้างสรรค์ผลงานชิ้นต่อ ๆ ไป ^^ Xoxoxo