ตอนที่ 1232 หมัดพลังจิต
กู่ฉิงซานมองอักขระธรรมชาติที่ปรากฏขึ้นบนมือ รู้สึกถึงการสูญเสียเล็กน้อย
ถึงแม้เขาจะมีความรู้เกี่ยวกับโลกจากนายน้อยจาง แต่ไม่มีสถานการณ์ดังกล่าวจากความรู้นั้น
ตรงหน้าเขา ไม่มีใครในตระกูลประสบความสำเร็จด้วยการใช้พลังจิตกับเกราะเกล็ดนั่น
ถ้างั้นตอนนี้เขาควรทำอย่างไร
กู่ฉิงซานถามในความว่างเปล่าว่า “หน้าต่างระบบเทพสงคราม ข้าควรใช้อักขระเหล่านี้ที่อยู่ในมือยังไงดี”
หน้าต่างระบบเทพสงครามตอบว่า “โปรดตามหาความช่วยเหลือจากผู้ที่เชี่ยวชาญกว่า”
หลังจากพูดจบ พลังวิญญาณลดไปห้าร้อยแต้ม
กู่ฉิงซานไม่สนเกี่ยวกับพลังวิญญาณก่อนจมสู่ห้วงความคิด
อาจจะเป็นตามที่หน้าต่างระบบเทพสงครามกล่าวก็ได้ เขาต้องหาผู้เชี่ยวชาญของสำนักซานไห่เพื่อช่วยในเรื่องนี้
คนเหล่านั้นมีความรู้เรื่องสภาพพลังจิตจำนวนมากเหนือกว่าที่นายน้อยจางรู้มากนัก
มีความรู้เหนือกว่า…
จิตของกู่ฉิงซานขยับขณะคิดถึงตัวตนของใครบางคน
คนที่ครอบครองการทำงานของ “หน้าต่างระบบเทพสงคราม”
เขาหยิบรูปปั้นไก่หลากสีสันออกมาก่อนดึงหงอนของอีกฝ่ายอย่างแผ่วเบา
“โย่ เป็นเจ้าหนูนี่เอง”
ไก่หลากสีสันมีชีวิตขึ้นมาขณะหาว
“ใช่ เจ้ารู้หลายสิ่งหลายอย่าง ดังนั้นข้าจึงมาขอคำแนะนำน่ะ” กู่ฉิงซานกล่าวอย่างสุภาพ
“พูดน่ะมันง่าย คราวนี้เจ้าอยากถามอะไรอีกล่ะ” ไก่หลากสีสันถาม
กู่ฉิงซานแสดงอักขระธรรมชาติบนมือให้ดู
ไก่หลากสีสันกล่าวด้วยความประหลาดใจว่า “โอ้ นี่มันพิธีกรรมพลังจิตไม่ใช่หรือ พิธีกรรมของเจ้าเสร็จสมบูรณ์แล้ว ถ้างั้น เจ้าลองต่อยให้ข้าดูสักหมัดทีสิ”
กู่ฉิงซานยืนขึ้นก่อนต่อยใส่ความว่างเปล่าตรงหน้า
อักขระเหล่านั้นส่องแสงราวกับการสัมผัสการต่อยของกู่ฉิงซานได้
“ใช่แล้ว นั่นแหละ”
ขณะไก่หลากสีสันกล่าว ไม่รู้ว่ามันไปเอาเคาน์เตอร์มาจากไหน
“เจ้าหนู พลังจิตของเจ้าสืบทอดมาจากอักขระ”
“ต่อยต่อไปจนกระทั่งค่าเคาน์เตอร์ของข้าไปถึงหนึ่งร้อย”
“เจ้านี่มีประโยชน์ยังไงหรือ” กู่ฉิงซานถาม
“หยุดพูดจาเหลวไหลได้แล้ว เจ้านี่มันไม่รู้อะไรเลย แค่ทำตามที่บอกก็พอ” ไก่หลากสีสันชำเลืองมองเขา
กู่ฉิงซานทำตามที่บอก
ใช่แล้ว อีกฝ่ายกำลังช่วยเขา ถึงแม้คำพูดคำจาจะรุนแรงไปหน่อยก็เถอะ
เขากำลังปลอบตัวเองเงียบๆ แต่เสียงของไก่หลากสีสันดังขึ้นอีกครั้ง
“อย่าลืมมอบพลังวิญญาณให้ข้าห้าแสนแต้ม”
ห้าแสนแต้ม!
กู่ฉิงซานอดที่จะถามไม่ได้ว่า “ก่อนหน้านี้ยังแค่หนึ่งแสนแต้มอยู่เลย ทำไมคราวนี้เป็นห้าแสนแต้มล่ะ”
ไก่หลากสีสันตอบอย่างเกียจคร้านว่า “นั่นก็เพราะตอนนี้เจ้าโชคดียังไงล่ะ การที่ข้าขอขึ้นราคาจึงเป็นเรื่องธรรมดา”
“ยิ่งกว่านั้น เศรษฐียุคใหม่เช่นเจ้าหนูควรจ่ายในเรื่องความรู้และข้อมูลให้มากเข้าไว้นะ”
กู่ฉิงซานเงียบ
ใส่เครื่องปรุงรส เคี่ยวไก่ในซอสสีน้ำตาล หั่นไก่ในน้ำลวก ทำให้สะเด็ดน้ำ เทลงในกระทะ ผัดให้เหลืองเล็กน้อย ต้มด้วยไฟแรง เคี่ยวด้วยไฟอ่อนอีกสิบนาที
ส่วนไก่กรอบนั้นต้องหมักด้วยเครื่องปรุงรสแล้วผึ่งลมให้แห้งก่อนนำไปทอดเพื่อให้ไก่มีเนื้อสัมผัสและรสชาติที่ดียิ่งขึ้น
ดวงตาของกู่ฉิงซานหันไปมองไก่หลากสีสัน ในใจของเขาคิดเมนูออกมาได้มากมาย
“พี่ชาย ทำไมแววตาเป็นแบบนั้นล่ะ” ไก่หลากสีสันถูกกู่ฉิงซานจ้องเข้าไป ความอวดดีก่อนหน้านี้ค่อยๆ หายไปโดยไม่ทราบสาเหตุ
“ไม่มีอะไรนี่ คิดมากน่า”
กู่ฉิงซานตั้งท่าเพื่อเตรียมต่อย
ตอนนี้ ไม่มีใครอยู่รอบข้าง เขาจึงไม่กลัวว่าจะถูกใครมองว่าเป็นคนบ้าขณะยังคงทำการต่อยใส่ความว่างเปล่า
เขาเพียงใช้วิชายุทธ์ที่ได้มาจากเจตจำนงที่เหลืออยู่ของโลก
หลังจากฝึกฝนวิชายุทธ์ที่หลินเป็นคนสอน ประกอบกับได้รับทักษะจากโลกต่างๆ การต่อยมวยของกู่ฉิงซานจึงดูดีไม่น้อย
ไก่หลากสีสันมองอยู่สักพักก่อนมาร่ายรำอยู่ข้างเขาแล้วขับขานอย่างแผ่วเบาเพลงแล้วเพลงเล่า
“ข้าบอกแล้วว่าคนคนนี้ไม่ใช่ขี้ๆ ”
“เห็นอยู่ตำตาว่าเป็นผู้ใช้ดาบ แต่ทำไมการต่อยมวยถึงได้ยอดเยี่ยมปานนี้”
“นั่นเพราะเจ้า”
“ต่อยบัญญัติ เตะความโกลาหล ปลดปล่อยวิญญาณแต่เนิ่นๆ เพราะอย่างนั้นวิชาจึงไม่กดทับลงบนตัวของเจ้า กลายเป็นเพียงหนึ่งเดียวจากพันบุปผา เจ้าเก่งทั้งร้อง เต้นและต่อสู้ โลกเก้าร้อยล้านชั้นเป็นโลกที่มีเสน่ห์ที่สุด อา มีเสน่ห์ที่สุด”
จำนวนเคาน์เตอร์วูบไหวอย่างรวดเร็วจนไปถึงหนึ่งร้อยในพริบตา
ติ๊ง!
เคาน์เตอร์ส่งเสียงแจ่มชัด
“เสร็จแล้ว!” ไก่ตะโกน
กู่ฉิงซานเงียบ
มีอะไรผิดปกติกับไก่ตัวนี้เปล่าเนี่ย
ครั้งนี้ แถวหิ่งห้อยปรากฏขึ้นบนหน้าต่างระบบเทพสงคราม
“โปรดทราบ คำสาปมังกรฟ้าของท่านพัฒนาขึ้นแล้ว แต่คำสาปเงามังกรฟ้าส่งผลกับไก่ตัวนี้ ดังนั้นมันจึงเรียนรู้การแร็พ”
“โปรดอย่าสนใจมันมากเกินไป มันก็แค่มีเวทีและความคิดเป็นของตัวเอง”
หลังจากกู่ฉิงซานเห็นเช่นนั้น ร่างกายของเขาก็เริ่มเปลี่ยนไป เขาไม่สนใจสิ่งอื่นอีก
ภาพมายาของหัวมนุษย์ร่างงูพุ่งออกมาจากกู่ฉิงซานขณะวนรอบเขาสองรอบก่อนพุ่งเข้าไปในกำปั้น
กู่ฉิงซานพลันรู้สึกถึงความเจ็บปวดสุดแสนที่กำปั้นทั้งสองข้าง
ความเจ็บปวดรุนแรงและรวดเร็วนัก ก่อนกู่ฉิงซานจะทันได้ตอบสนอง มันก็หายไปแล้ว
กู่ฉิงซานก้มศีรษะขณะมองกำปั้นอีกครั้ง เห็นเพียงอักขระบนกำปั้นหายไปจนสิ้น ไม่มีอะไรอยู่บนนั้นอีก
บนหน้าต่างระบบเทพสงคราม หิ่งห้อยขนาดเล็กยังคงวูบไหวไปมา
“ท่านสูญเสียสกิลเทพ: ไม่แตกหัก เพื่อเปิดใช้งานพลังสืบทอดของทั้งสองหมัด”
“ท่านได้รับประเภทที่หนึ่งของหมัดพลังจิต: บุกทะลวง”
“บุกทะลวง: หมัดทะลวง สลายวิชาป้องกันทั้งหมดของศัตรู”
“หมัดนี้จะต้องต่อยให้โดน”
“เงื่อนไขการใช้งาน: หมัดแรกของท่านจะต้องโดนอีกฝ่ายก่อนถึงจะสามารถใช้หมัดพลังจิตประเภทนี้ได้”
“หมายเหตุ: ยิ่งวิชาการต่อยมวยของท่านก้าวหน้ามากเท่าไหร่ ท่านจะค่อยๆ ปลุกหมัดพลังจิตทั้งหมดที่สืบทอดมาได้มากเท่านั้น”
“โปรดพยายามต่อไป”
กู่ฉิงซานชำเลืองมอง
หมัดที่สลายวิชาป้องกันทั้งหมดของศัตรูงั้นหรือ
นี่คือวิชาต่อยมวยที่มีค่ามาก แต่จำเป็นต้องต่อยให้โดนหมัดแรกก่อน
จิตของกู่ฉิงซานขยับ
เขานึกถึงวิชาต่อยมวยอีกวิชาที่เชี่ยวชาญ
“วิชายุทธ์หวนกลับสู่การลอบเร้น สกิลเทพ ทลายสวรรค์”
“ทลายสวรรค์: ซัดพลังออกไปสามสิบครั้ง จะทลายสวรรค์เมื่อโดนเท่านั้น”
นี่แหละ!
หากหมัดแรกโดนก็สามารถใช้ทลายสวรรค์ได้ทันที!
ความคิดของกู่ฉิงซานวูบไหว
เขามีคำสาปดั้งเดิมของมังกรฟ้ากับสกิลเทพทลายสวรรค์ ตอนนี้เขายังสืบทอดวิชาหมัดพลังจิตอีก มันช่างสมบูรณ์แบบไปเลย
สาปใส่ตัวบุคคล ตามด้วยทลายสวรรค์ ปิดท้ายด้วยบุกทะลวงที่ทำลายวิชาป้องกันทั้งหมด
หากเป็นแบบนี้ต่อไป เขาไม่ได้กลายเป็นนักมวยไปจริงๆ หรอกหรือ
ทันใดนั้น เขารู้สึกถึงบางสิ่งในใจก่อนเก็บไก่หลากสีสันที่หลับใหลอยู่เข้าไปในทะเลแห่งความตระหนักรู้ จากนั้นมองไปที่ประตูห้องลับ
เขาเห็นจ้าวบ้านและจ้าวเฉียงกำลังเดินมาพร้อมกับคนจำนวนมาก
สีหน้าของจ้าวบ้านช่างซับซ้อนสุดบรรยาย พวกผู้อาวุโสที่อยู่ด้านหลังกับเหล่าจ้าวบ้านตระกูลอื่นๆ ต่างก็มีสีหน้าแบบเดียวกัน
พวกเขามองกู่ฉิงซาน
เด็กคนนี้กลับเป็นที่โปรดปรานของสำนักซานไห่
นี่คือโอกาสที่หาได้ยากยิ่งในถ้ำร้างทิศตะวันออก
“หลี่ซาน ข้าขอถามเจ้า เจ้าอยากไปฝึกฝนที่สำนักซานไห่หรือไม่” จ้าวบ้านถามตามตรง
“เรียนจ้าวบ้านที่เคารพ สิ่งที่ข้าต้องการที่สุดในชีวิตคือรับใช้ตระกูล” กู่ฉิงซานตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
จ้าวบ้านตกตะลึง
เจ้าเด็กคนนี้
เจ้าพูดแบบนี้ได้อย่างไร จะบอกว่าข้าต้องรวบรวมความมั่งคั่งให้มากๆ เพื่อฟื้นตระกูลกลับมาด้วยการขายเจ้าอย่างนั้นหรือ
จ้าวบ้านเปิดปากก่อนกล่าวอย่างระแวดระวังว่า “สำนักซานไห่นั่นเป็นสถานที่ที่ดี ตั้งใจฝึกฝนให้มาก ข้าหวังว่าเจ้าจะกลับมาช่วยเหลือตระกูลพวกเราในสักวัน”
ทันทีที่ประโยคนี้ถูกกล่าวออกมา เขาไม่ถามกู่ฉิงซานอีกว่าเต็มใจหรือไม่ก่อนตัดสินใจด้วยตัวเอง
“ข้าต้องไปศึกษาที่สำนักอื่นหรือ นี่คือการแลกเปลี่ยนระหว่างสำนักหรือว่าเป็นสัญญาการขาย” กู่ฉิงซานเป็นฝ่ายถามแทน
สิ่งที่เรียกว่าการแลกเปลี่ยนระหว่างสำนักคือกฎของถ้ำหมื่นอสูร ใครก็ตามที่มาจากสำนักแล้วออกไปศึกษา ค่าใช้จ่ายทั้งหมดจะต้องถูกจ่ายโดยสำนักนั้นๆ ไม่มีข้อยกเว้นทั้งสิ้น
ในส่วนของสำนัก
พวกเขาจะทอดทิ้งผู้คนและไม่สนใจไยดีไม่ได้ ถ้าเป็นอย่างนั้น จะไม่มีใครมารับใช้เมื่อศึกษาสำเร็จ แต่จะกลายเป็นการทำลายแทน
สัญญาการขายคือสิ่งที่เรียกว่าข้ารับใช้ การที่จ้าวเฉียงเต็มใจที่จะสละชีวิตเพื่อช่วยเมืองเอาไว้ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเขาอยู่แล้ว ดังนั้นเป็นธรรมดาที่นางจะไม่ปฏิบัติกับกู่ฉิงซานเช่นนั้น
“หลี่ซาน เจ้าพูดเรื่องอะไรน่ะ มันก็ต้องเป็นการแลกเปลี่ยนระหว่างสำนักอยู่แล้วสิ”
แน่นอนว่าจ้าวเฉียงเป็นคนกล่าวยืนยันเช่นนั้น
เหล่าจ้าวบ้านและผู้อาวุโสของสำนักเฟยอวี่เงียบ
ใช่แล้ว
หลี่ซานใช้พลังจิตกับชุดเกราะเกล็ดที่ทุกคนไม่เคยทำการสื่อสารกับมันได้สำเร็จ มันคือความรุ่งโรจน์ของตระกูล
หากส่งเขาออกไปโดยไม่มอบอะไรให้ นั่นก็เท่ากับส่งเขาไปเป็นข้ารับใช้ไม่ใช่หรือ
ถ้าอย่างนั้น สำนักจะทำหน้าอย่างไร
จ้าวบ้านสูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนคลี่ยิ้มออกมา “ใช่แล้ว แน่นอนว่าเป็นการแลกเปลี่ยนระหว่างสำนัก หลี่ซาน อย่ากังวลไปเลย ค่าใช้จ่ายทั้งหมดของเจ้า ทางตระกูลจะเป็นคนจัดการให้”
กู่ฉิงซานเผยสีหน้าสำนึกผิดออกมา
เขาก้มศีรษะก่อนกล่าวอย่างเศร้าสลดว่า “ถ้าแบบนั้น ข้าขอจากบ้านเกิดเพื่อไปทำการศึกษาที่สำนักอื่น”
……………………………………………………….