ตอนที่ 1207 แม่นางฟู่สื่อ
รูปปั้นสองตัว
บนรูปปั้นตัวแรก ร้อยหัวติดเข้าด้วยกันจนเกิดเป็นใบหน้าขนาดใหญ่
รูปปั้นอีกตัวแตกหักเล็กน้อย เป็นรูปมังกรสองตัว ตัวหนึ่งเขียว ตัวหนึ่งแดง มังกรสองตัวพันกันขณะทะยานขึ้นไป ดูลึกลับเป็นอย่างยิ่ง
วิญญาณกรีดร้องยืนอยู่ระหว่างรูปปั้นทั้งสอง ไม่อาจตัดสินใจเลือกได้สักพัก
ใบหน้าขนาดใหญ่ที่เกิดจากร้อยหัวให้ความรู้สึกที่พิเศษมาก
แต่รูปปั้นมังกรคู่ทะยานให้ความรู้สึกถึงพลังบางอย่างที่คุ้นเคย
ยิ่งกว่านั้น รูปปั้นมังกรคู่ทะยานก็แตกหัก
“แตกหัก…”
วิญญาณกรีดร้องพึมพำก่อนตัดสินใจได้ในครั้งสุดท้าย
มันวางมือบนมังกรคู่ก่อนสัมผัสอย่างแผ่วเบา
มังกรคู่พลันมีชีวิตขณะบินรอบวิญญาณกรีดร้องก่อนหายไปจากโถงทองแดงพร้อมกับมัน
หลังจากวิญญาณกรีดร้องจากไปแล้ว
เย่เฟยหลีเดินรอบโถงก่อนมาถึงที่ที่วิญญาณกรีดร้องหายไป
เขาจ้องรูปปั้นตัวหนึ่ง
ใบหน้าขนาดใหญ่ที่เกิดจากร้อยหัวแตกต่างกันออกไป
เย่เฟยหลียืนนิ่งสักพัก ทันใดนั้นก็หยิบหน้ากากตัวตลกมาสวม
“ข้าถวิลหาถึงพลังอันแก่กล้า”
เขากล่าวกับรูปปั้น
รูปปั้นพลันขยับ
ร้อยหัวขยับเป็นกระจุก ทำให้หนังศีรษะชาด้าน ใบหน้าขนาดใหญ่แสดงสีหน้าและน้ำเสียงออกมา
“ความโกลาหลช่างน้อย แถมเป็นตัวตลกในโลกมนุษย์อีก ทำไมข้าควรมอบพละกำลังให้กับเจ้าด้วย”
ใบหน้าขนาดใหญ่มองตัวตลกขณะถาม
ตัวตลกคำนับด้วยความเคารพแล้วตอบว่า “โลกต้องการให้ข้าแสดงพละกำลังของท่าน”
ใบหน้าขนาดใหญ่ส่งเสียงครืนออกมา
“บอกข้ามา เจ้าคิดว่าจะบรรลุความโกลาหลที่แท้จริงได้ยังไง”
ตัวตลกครุ่นคิดสักพักก่อนตอบว่า “เจตจำนงหรือวัตถุประสงค์ไม่ใช่ความโกลาหล แก่นของความโกลาหลคือความว่างเปล่าของทุกสรรพสิ่งต่างหาก”
“ข้าจะมอบโอกาสนี้ให้เจ้าเพื่อทดสอบมัน”
ใบหน้าขนาดใหญ่กล่าวก่อนพลันอ้าปากแล้วกลืนเย่เฟยหลีเข้าไป
วินาทีต่อมา
ใบหน้าขนาดใหญ่หายไปจากโถงทองแดงเช่นกัน
จางหยิงห่าวเดินวนครบรอบก่อนกลับมาที่ที่เย่หรูซีอยู่
เขาหยิบถ้วยสองใบออกมาก่อนเทสุราแล้วส่งถ้วยหนึ่งให้เย่หรูซี
“ข้าเห็นเจ้าเดินวนมารอบหนึ่งแล้ว เป็นอะไรหรือ ยังหาผู้รอคอยที่เหมาะสมไม่เจอหรือไง”
เย่หรูซีถาม
จางหยิงห่าวตอบว่า “เพราะตกลงกับกู่ฉิงซานกับเย่เฟยหลีแล้ว ข้าไม่จำเป็นต้องทำ”
เย่หรูซีถามด้วยความประหลาดใจว่า “ทำไมล่ะ”
จางหยิงห่าวดื่มสุรา จุดบุหรี่ให้ตัวเองแล้วตอบว่า “ลึกๆ ข้าถวิลหาบัญญัติ ดังนั้นจึงไม่มีผู้รอคอยความโกลาหลคนไหนที่เหมาะสมกับข้า”
เย่หรูซีครุ่นคิดสักพักก่อนหัวเราะออกมา
“ข้าจำได้ว่าเจ้าเคยบอกว่าเป็นลูกพี่แห่งสมาคมนักฆ่าสินะ” นางถาม
“ใช่” จางหยิงห่าวพยักหน้า
“นักฆ่าก็ถวิลหาบัญญัติงั้นหรือ” เย่หรูซีถาม
“สัตว์ร้ายสวมชุดคลุมที่นั่งอยู่บนศีรษะผู้อื่นมอบพรอันสูงส่งให้ พวกมันล้วนเป็นวัตถุล่าสัตว์ของข้าและข้ายินดีกับการทำแบบนี้มาก”
จางหยิงห่าวพ่นวงควันออกมาแล้วกล่าวต่อว่า “ข้าหวังว่าโลกจะสงบสุข สิ่งมีชีวิตทั้งหมดจะได้ในสิ่งที่ต้องการ เพื่อบรรลุเป้าหมายนี้ ไม่สำคัญหรอกว่าข้าจะต้องล่าตลอดชั่วชีวิตที่เหลือหรือไม่”
เย่หรูซีดื่มสุราก่อนส่งสัญญาณให้จางหยิงห่าวเทให้นางเพิ่ม
“ข้าคือสมาชิกของกลุ่มโกลาหล เจ้ามาบอกว่าต้องการบัญญัติแบบนี้ ไม่กลัวว่าข้าจะฆ่าเจ้าหรือ” นางยิ้มขณะถามเช่นนั้น
จางหยิงห่าวเทจนเต็มสองถ้วยแล้วตอบว่า “เจ้าไม่ใช่คนที่ถวิลหาพลัง ไม่อย่างนั้นโลกของเจ้าคงถูกทำลายไปนานแล้ว”
ถ้วยสุราถูกส่งให้ในมือของเย่หรูซี
เย่หรูซีจ้องของเหลวสีอำพันในถ้วยแล้วพึมพำว่า “ไม่ใช่เพียงแค่สามารถควบคุมพลังได้เล็กน้อยเท่านั้น แต่ยังมีความเชื่อมั่นอยู่ในใจ นับว่าเป็นคนประเภทเดียวกับข้า”
นางชูถ้วยขึ้น
“แด่เจ้าและก็พวกเรา”
“แด่ชื่อยังไม่ได้คิด”
ชื่อนี้ทำให้ทั้งสองยิ้มออกมา
พวกเขาชนถ้วย
ระหว่างที่รอ ขวดสุราก็เริ่มพร่อง
…
กลุ่มแสงค่อยๆ ปรากฏขึ้นข้างหน้า
เสียงร้องรำทำเพลงมาจากแสงเจิดจ้า ทำให้ผู้คนรู้สึกสงบเมื่อได้ฟัง
กู่ฉิงซานถูกห้อมล้อมในพลังเคลื่อนย้ายก่อนมุ่งสู่แสงสว่างในอึดใจเดียว
กู่ฉิงซานเคลื่อนลงพื้นอย่างช้าๆ
ที่นี่คือโบสถ์หรืออาจจะเป็นจุดชมวิวชั้นบนสุดของตำหนัก
ผู้หญิงคนหนึ่งยืนอยู่บนแท่นสังเกตการณ์ มือถือไม้เท้าขนาดใหญ่ สวมมงกุฎ นางหันหลังให้กู่ฉิงซานขณะมองขุนเขาและปฐพี
ทิวทัศน์ช่างกว้างใหญ่
ผู้หญิงหันมาก่อนร่ายวิชาอย่างแผ่วเบา
“เวลาต้องไม่ปั่นป่วน มีเพียงกลับสู่วิถีเดิมเท่านั้นที่จะทำให้สิ่งมีชีวิตทั้งหมดสงบสุขได้”
พลังที่มองไม่เห็นตกลงบนกู่ฉิงซานก่อนค่อยๆ ทำลายความโกลาหล
กู่ฉิงซานรู้ว่านี่คืออะไร เขาเพียงมองอีกฝ่ายอย่างระวัง
ถึงแม้นางจะดูเด็กมาก แต่เค้าโครงของฟู่สื่อยังพอมองเห็นได้อย่างเลือนราง
กู่ฉิงซานคำนับ “แม่นาง ไม่ได้เจอกันนาน”
ผู้หญิงยิ้มก่อนกล่าวว่า “เจ้าเติบโตเร็วมาก ตอนนี้แม้แต่ข้าก็ต้องยอมรับในสายตาของผู้สร้างปฐพี”
“แม่นาง ท่านคือผู้รอคอยของความโกลาหลหรือ” กู่ฉิงซานถาม
ฟู่สื่อยิ้มแล้วตอบว่า “เรื่องมันยาว เทพปฐพี ตอนนี้เจ้าน่าจะรู้หลายเรื่องแล้วสินะ”
ฟู่สื่อโบกไม้เท้าก่อนแตะในความว่างเปล่าอย่างแผ่วเบา
โลกเปลี่ยนไป
โลกหายไปแล้ว
โลกอีกใบปรากฏขึ้นขณะห้อมล้อมพวกเขาเอาไว้
“ประตูโลกปิดแล้ว”
สิ้นเสียงของฟู่สื่อ ประตูสองบานพลันปิดลง
ตัวตนนับไม่ถ้วนส่งเสียงร้องอย่างยินดี
หลายคนร้องไห้ด้วยความยินดี
“วันสิ้นโลกของทุกภพจะทำลายทุกสิ่ง มีเพียงสิ่งมีชีวิตที่มีอำนาจสูงส่งเท่านั้นที่จะเข้าประตูโลกเพื่อดำรงตัวตนต่อไปและรอให้ถึงจุดจบของวันสิ้นโลก” ฟู่สื่อกล่าวต่อ
กู่ฉิงซานอดที่จะถามไม่ได้ว่า “ปลายทางของประตูโลกบานนั้นคืออะไรหรือ”
ฟู่สื่อคล้ายกับไม่เต็มใจนึกถึงฉากนั้น นางจึงพูดออกมาแค่ว่า
“ความไม่มีสิ้นสุด”
ความไม่มีสิ้นสุด…
กู่ฉิงซานย่อยความหมายจากคำพูดดังกล่าว
ฟู่สื่อกล่าวว่า “หลังจากรอมานาน วันสิ้นโลกนอกประตูโลกก็ไม่มีแนวโน้มว่าจะอ่อนแอลงเลย”
“เมื่อเวลาผ่านไป วันสิ้นโลกที่อ่อนแอยิ่งบางส่วนได้ทะลวงเข้าสู่ประตูโลกแทน”
“ในที่สุดพวกเราก็เข้าใจสิ่งหนึ่ง”
“พวกเราต้องหาทางศึกษาวันสิ้นโลกเพื่อหาทางเผชิญหน้าและยุติมัน”
“เพราะแนวคิดที่แตกต่างกัน พวกเราจึงแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม”
“กลุ่มแรกเชื่อว่าวันสิ้นโลกเป็นสิ่งที่ไม่สามารถเผชิญหน้าได้ ต้องให้วันสิ้นโลกยอมรับว่าสิ่งชีวิตทั้งหมดสูญพันธุ์ไปจากโลกแล้วเท่านั้นถึงจะยอมถอยออกมาด้วยท่าทีหยิ่งทะนง ถึงตอนนั้น วันสิ้นโลกจะค่อยๆ สิ้นสุดลงและยุคใหม่จะเริ่มต้นขึ้น”
“อีกกลุ่มเชื่อว่าตัวตนและการทำลายล้างของสิ่งมีชีวิตจะไม่ส่งผลกับวันสิ้นโลก วันสิ้นโลกจะไม่หยุดการกระทำของตัวเอง ทันทีที่สิ่งมีชีวิตปรากฏขึ้นอีกครั้ง วันสิ้นโลกจะปรากฏขึ้นราวกับเงา ดังนั้นหนทางเดียวก็คือสู้กับมัน”
“การต่อสู้กับวันสิ้นโลกต้องการพละกำลัง ปัญญาและเวลาเป็นจำนวนมาก เมื่อสิ่งมีชีวิตแข็งแกร่งพอ สักวัน พวกเราจะสามารถจัดการวันสิ้นโลกเพื่อก้าวต่อไปได้ อย่างน้อยหลังจกาประตูโลกพังทลายลง พวกเราก็มีกำลังที่จะปกป้องตัวเอง”
เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ นางมองกู่ฉิงซาน
กู่ฉิงซานกล่าวว่า “ข้าเดาว่านี่คือจุดกำเนิดของความโกลาหลและบัญญัติสินะ”
“ใช่” ฟู่สื่อกล่าวด้วยความชื่นชม “กลุ่มความโกลาหลพยายามทำลายล้างจนบรรลุผลที่ดี”
หลายฉากของการทำลายล้างโลกปรากฏขึ้นรอบข้างทั้งสองคน
เมื่อโลกเหล่านี้จมดิ่งสู่การทำลายล้างของความโกลาหล วันสิ้นโลกก็ค่อยๆ หายไป
เพราะวันสิ้นโลกสูญเสียเป้าหมายไปแล้ว
“กลุ่มบัญญัติยุ่งกับการอพยพสิ่งมีชีวิต ดังนั้นอารยธรรมรุ่งเรืองมากมายจึงปรากฏในประตูโลกอารยธรรมเหล่านี้มาพร้อมกับหนทางต่อสู้กับวันสิ้นโลกมากมาย”
โลกแห่งแล้วแห่งเล่าปรากฏต่อหน้ากู่ฉิงซาน
เขาเห็นโลกแตกต่างกันจำนวนมาก ทั้งฝั่งเทคโนโลยี ฝั่งมาร ฝั่งป่าเถื่อน ฝั่งผู้ฝึกยุทธ์ ฝั่งความว่างเปล่าและฝั่งลึกลับ
ยอดคนกับวีรชนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นนับไม่ถ้วนตามช่วงเวลาต่างๆ นำพาอารยธรรมสู่ความรุ่งเรือง
เสียงของฟู่สื่อดังขึ้น
“ทว่า มีการต่อสู้ระหว่างความโกลาหลและบัญญัติเกิดขึ้น”
กู่ฉิงซานครุ่นคิดสักพักก่อนพยักหน้า “ความโกลาหลอยากทำลายทุกชีวิต บัญญัติอยากทำให้ทุกชีวิตแข็งแกร่งขึ้น นี่คือความขัดแย้งที่ไม่อาจตกลงกันได้ของทั้งสองกลุ่ม”
ฟู่สื่อกล่าวว่า “สงครามครั้งใหญ่เกิดขึ้นระหว่างความโกลาหลและบัญญัติ ในท้ายที่สุด ทั้งสองฝั่งเข้าใจว่าหากเป็นแบบนี้ต่อไป ผลลัพธ์ที่รอคอยทั้งสองจะมีแต่การสูญเสียเท่านั้น”
“ดังนั้น ตัวตนของทั้งสองกลุ่มจึงปล่อยวางทุกอย่างที่มีก่อนถ่ายทอดพลังให้กับความโกลาหลหรือไม่ก็บัญญัติด้วยหวังว่าทุกชีวิตจะถูกทำลายด้วยความโกลาหลหรือไม่ก็เจริญรุ่งเรืองด้วยบัญญัติ”
“ผลลัพธ์อยู่ที่สิ่งมีชีวิตจะตัดสินใจ ทั้งสองต่างใช้พลังงานมากเกินไปเพื่อสร้างความโกลาหลและบัญญัติ พวกข้าเข้าสู่การหลับลึก จะตื่นขึ้นมาเป็นครั้งคราวหรือไม่ก็สื่อสารกันผ่านความฝัน”
เมื่อกู่ฉิงซานได้ยินดังนี้ เขาพลันนึกถึงาสองชื่อนั้นขึ้นมาได้
ผู้นำรุ่งอรุณแห่งวันสิ้นโลก
บทเพลงราตรีแห่งยุคนิทรา
เขาเปิดปากกล่าวว่า “หลังจากความโกลาหลทำลายทุกชีวิต วันสิ้นโลกจะไปถึงจุดจบ ถึงตอนนั้น ผู้นำรุ่งอรุณแห่งวันสิ้นโลกจะปลุกผู้รอคอยในกลุ่มความโกลาหลเพื่อมอบชีวิตใหม่พร้อมประกาศชัยชนะ”
“คล้ายกันนั้น ยามวันสิ้นโลกโหมกระหน่ำ บทเพลงราตรีแห่งยุคนิทราจะปลุกผู้รอคอยให้ตื่นขึ้นมาด้วยหวังว่าพวกเขาจะมอบพละกำลังและให้การช่วยเหลือกับชี้นำทุกชีวิตเพื่อเอาชนะวันสิ้นโลก”
ฟู่สื่อพยักหน้าแล้วกล่าวว่า “ถูกต้องที่สุด”
“แล้วท่านล่ะ ท่านอยู่ฝั่งไหน” กู่ฉิงซานถาม
ฟู่สื่อตอบว่า “เจ้าลองเดามาก่อน”
กู่ฉิงซานกล่าวตามตรงว่า “แน่นอนว่าข้าไม่อยากให้ทุกชีวิตถูกทำลาย ทุกสิ่งที่ข้าทำก็เพื่อปกป้องพวกเขา หากใครกล้าลงมือกับคนที่ข้าปกป้อง ข้าจะฆ่าไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม”
…………………………………….