ตอนที่ 1115 ภัยพิบัตินภายามค่ำ
ลำแสงปรากฏขึ้นจากแหวนหุบเหว มันหยุดนิ่งในอากาศก่อนตัดผ่านความมืดในทันที
หุบเหวนิรันดร์จะทราบข้อมูลนี้ในไม่ช้า
กู่ฉิงซานเก็บแหวนแล้วพิงเก้าอี้เพื่อทำสมาธิ
“พวกข้าจะกลายเป็นวิญญาณชั่วร้ายเพื่ออยู่รอดจนถึงวันสุดท้าย”
“…พิชิตวิถีวิญญาณชั่วร้าย…”
ขณะนึกถึงสิ่งที่ได้ยินและได้เห็นเมื่อครู่ กู่ฉิงซานอดที่จะขมวดคิ้วเล็กน้อยไม่ได้
ถึงจะมีภูตผีชั่วร้ายในโลกดั้งเดิม แต่เพราะมีแบร์รี่กับเสี่ยวเมียวอยู่ด้วย ทำให้เรื่องเบาลงไปมาก
ในโลกดั้งเดิม มีเพียงยมโลกที่มีเทวภัณฑ์สามชิ้น ดังนั้นโลกดั้งเดิมจึงมีหวนคืนชาติภพหกวิถีที่วิวัฒนาการมาจากเศษเสี้ยวยมโลก
เมื่อรวมกับข้อมูลเมื่อครู่ ดูท่าโลกที่เริ่มจากหุบเหวนิรันดร์จะเป็นเศษเสี้ยวโลกวิถีวิญญาณชั่วร้าย
พิชิต…
ถ้าโลกแข็งแกร่ง สิ่งมีชีวิตในโลกย่อมแข็งแกร่งกว่า
หลักการนี้ถูกวางไว้ในโลกหวนคืนชาติภพหกวิถี เกรงว่าครั้งนี้ก็เหมือนกัน
เขาไม่รู้จริง ๆ ว่ามีเศษเสี้ยวโลกวิญญาณชั่วร้ายถูกพิชิตไปแล้วเท่าไหร่ ไม่รู้ว่าตอนนี้มันแข็งแกร่งแค่ไหน
กู่ฉิงซานถอนหายใจก่อนพลันได้ยินเสียงการเคลื่อนไหว
เขาตบถุงเก็บของ
แสงเย็นเยือกพุ่งออกมาก่อนกลายเป็นดาบยาวที่ลอยอยู่ในอากาศบาง
“ตื่นแล้วหรือ” กู่ฉิงซานถามขณะยิ้ม
“อืม หลับนานมากเลยล่ะ”
มีเสียงผู้หญิงเกียจคร้านมาจากดาบศักดิ์สิทธิ์
หลังจากนั้น ผู้หญิงงดงามพุ่งออกจากดาบศักดิ์สิทธิ์ จากนั้นจึงมานั่งตรงข้ามกับกู่ฉิงซาน
ลั่วปิงหลี
“ช่วงนี้เกิดอะไรขึ้นบ้าง” นางถาม
“ได้พบสหายใหม่จนได้เต้นกันสองสามครั้ง” กู่ฉิงซานตอบ
ลั่วปิงหลีครุ่นคิดเกี่ยวกับรูปลักษณ์ของกู่ฉิงซานเต้นก่อนเอามือป้องปากที่ยิ้มแล้วกล่าวว่า “ดูท่าข้าจะพลาดสิ่งวิเศษมากมายเลย เจ้าช่วยเล่าเพิ่มเติมได้หรือเปล่า”
กู่ฉิงซานเล่าเรื่องให้ฟังอีกครั้ง
สีหน้าของลั่วปิงหลีค่อย ๆ ยำเกรง
กู่ฉิงซานถามว่า “หลังจากนี้ข้าจะยกระดับพลัง เจ้าสามารถเข้าร่วมการต่อสู้ได้หรือเปล่า”
ลั่วปิงหลีรู้สึกถึงความผันผวนของกลิ่นอายบนร่างของอีกฝ่ายก่อนยิ้มออกมาอีกครั้ง “ภัยพิบัติระดับนภายามค่ำหรือ”
“อืม” กู่ฉิงซานตอบ
ลั่วปิงหลีเตือนว่า “เจ้าต้องระวังด้วย ผู้ฝึกยุทธ์เช่นเจ้าที่ต่อสู้มาโดยตลอด หากผ่อนคลายและเกียจคร้านที่จะครุ่นคิดขึ้นมาล่ะก็จะไม่มีทางกลับมาได้จริง ๆ นะ”
กู่ฉิงซานกล่าวว่า “ข้าต่อสู้มาโดยตลอดจนถึงตอนนี้ ฆ่าผู้คนมานับไม่ถ้วน รางวัลก็ต่ำเตี้ย เกรงว่าจะถูกเตะออกจากนภายามค่ำในไม่ช้า”
ลั่วปิงหลีชำเลืองมองเขา จากนั้นพลันก้มศีรษะแล้วกล่าวว่า “พูดถึงการต่อสู้ ที่จริง ตอนที่ข้ากึ่งหลับกึ่งตื่น ข้าก็ได้ครุ่นคิดเกี่ยวกับมันเหมือนกัน”
“ครุ่นคิดหรือ” กู่ฉิงซานถามด้วยความประหลาดใจ
ลั่วปิงหลีตอบช้า ๆ ว่า “อาจจะเป็นช่วงยุคโบราณ ข้าปลอมตัวเป็นผู้ฝึกยุทธ์มานานเกินไป จนหมกมุ่นอยู่กับโลกในฐานะวิญญาณดาบ การเข่นฆ่าและต่อสู้คือความหมายของตัวตนดังกล่าว”
กู่ฉิงซานกล่าวว่า “จะพูดแบบนั้นก็ยังไงอยู่ นอกจากงานแล้ว มันต้องมีเวลาว่างเพื่อพักผ่อน หากจัดสรรงานและการพักผ่อนให้ดี เจ้าจะสามารถเพิ่มศักยภาพได้อย่างเต็มที่”
ลั่วปิงหลีมองเขาแล้วกล่าวว่า “แต่ข้าไม่เคยเห็นเจ้าพักผ่อนเลยนะ”
กู่ฉิงซานถอนหายใจ
เขาตบถุงเก็บของ หยิบขวดสุราวิญญาณออกมาแล้วเทใส่แก้วให้อีกฝ่ายกับตัวเอง
ทั้งสองชนแก้วก่อนดื่มเข้าไปรวดเดียว
“สุราวิญญาณหรือ” คิ้วของลั่วปิงหลีขมวดแน่น
“ถ้าเจ้าไม่ชินกับการดื่ม ข้าจะเปลี่ยนเป็นสุราผลไม้วิญญาณให้ก็ได้” กู่ฉิงซานกล่าว
“ไม่จำเป็น”
ลั่วปิงหลีหยิบขวดมาเทอีกแก้วให้กู่ฉิงซาน
“ที่จริง ข้าไปนอนขณะทบทวนวิชาระบบเสียงที่เพิ่งเรียนรู้มา” นางกล่าว
วิชาระบบเสียงหรือ
จิตของกู่ฉิงซานขยับ
พูดตามตรง ในฐานะผู้ฝึกยุทธ์ ลั่วปิงหลีด้อยกว่าเซี่ยกูหงจากตำหนักสวรรค์เมฆาวิเวกเล็กน้อย
หากวัดกันที่พลังโจมตีเพียงรอบเดียว นางย่อมเป็นผู้แข็งแกร่งที่สุด
ดังนั้นเมื่อบางสิ่งเกิดขึ้นในแนวหน้า เซี่ยกูหงจึงขอให้นางหาทาง
กู่ฉิงซานดื่มอีกแก้ว เขาอดที่จะนึกถึงฉากลั่วปิงหลีเป่าขลุ่ยที่ต้นลำธารสีครามตอนเข้าตำหนักเมฆาวิเวกครั้งแรกไม่ได้
เขากล่าวอย่างแผ่วเบาว่า “พอนึกถึงตอนดื่มยามบ่ายบนสะพาน ส่วนใหญ่ก็มีแต่วีรชน”
ลั่วปิงหลีเทให้ตัวเองอีกแก้ว จากนั้นกล่าวว่า “คูน้ำยาวกับดวงจันทร์ลอยขึ้นอย่างเงียบงัน ในเงาของดอกแอปริคอท ข้าเป่าขลุ่ยจนถึงรุ่งสาง”
หลังจากกล่าวจบก็ดื่มเข้าไปรวดเดียว
กู่ฉิงซานชำเลืองมองความโดดเดี่ยวในสีหน้านางก่อนพึมพำว่า “ข้ามีวิชาที่ทำให้สามารถเปลี่ยนเป็นมนุษย์ได้ เจ้าอยากเรียนรู้หรือเปล่า”
ลั่วปิงหลีกล่าวว่า “ใช่วิชาที่ฉานนู่ใช้แปลงเป็นมนุษย์หรือเปล่า”
กู่ฉิงซษนพยักหน้าเล็กน้อย
ลั่วปิงหลีครุ่นคิดอยู่นาน คล้ายกับมีบางอย่างที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข
ผ่านไปสักพัก คิ้วของนางค่อย ๆ คลายออก
ลั่วปิงหลีวางแก้วสุรา ประสานมือแล้วกล่าวว่า “วิชานี้เป็นประโยชน์กับข้ามาก โปรดชี้แนะด้วย”
จากนั้นกู่ฉิงซานอธิบายอย่างละเอียดเกี่ยวกับความลึกลับของทุกสิ่ง คลายทุกความสงสัยและประเด็นสำคัญ จากนั้นอธิบายซ้ำใหม่อย่างช้า ๆ
ลั่วปิงหลีจมสู่ห้วงความคิดหลังจากได้ฟัง
“ข้าอาจจะต้องการเวลาเพื่อฝึกวิชานี้” นางกล่าว
“ไม่เป็นไร ค่อย ๆ เรียนรู้ เจ้าสามารถกลายเป็นผู้ฝึกยุทธ์อีกครั้งเพื่อเดินทางไปทั่วโลกได้ในอนาคต” กู่ฉิงซานกล่าว
ลั่วปิงหลีเงียบก่อนพลันถามว่า “ข้ามักจะบ่นเสมอเพราะเจ้าใช้กระแสปั่นป่วนจนถึงขั้นท้วงติง เจ้าไม่กลัวหรือว่าหลังจากเรียนรู้ความลึกลับของทุกสิ่งไปแล้วข้าจะแอบหนีไป”
กู่ฉิงซานวางแก้วสุราแล้วตอบอย่างจริงจังว่า “ผู้ฝึกยุทธ์เลือกดาบ ดาบเลือกผู้ฝึกยุทธ์ นี่คือความเข้าใจร่วมกันของดาบและผู้ใช้ดาบ ดังนั้นถ้าเจ้ากับข้าไม่ลงรอยกัน เจ้าก็ไม่จำเป็นต้องฝืนตัวเอง สามารถหาคนครองดาบที่ตรงใจเจ้าได้เลย ข้าไม่ห้าม”
ลั่วปิงหลีก้มศีรษะ เทสุราอีกแก้ว จิบเข้าไปช้า ๆ แล้วไม่กล่าวอะไร
“เวลาพักหมดแล้ว ข้าต้องเริ่มพัฒนาล่ะ”
กู่ฉิงซานพยักหน้าเล็กน้อยให้ลั่วปิงหลีก่อนหลับตาลง
เขาเริ่มการพัฒนาด้วยการกระตุ้นภัยพิบัติ
ลั่วปิงหลีดื่มสุราอีกแก้วก่อนยืนขึ้นแล้วเดินกลับเข้าไปในดาบศักดิ์สิทธิ์
ดาบศักดิ์สิทธิ์เคลื่อนมาอยู่ด้านหลังกู่ฉิงซานก่อนจมเข้าสู่ความว่างเปล่า มันมาอยู่ข้างดาบพิภพและดาบเสียงคลื่น
ทันใดนั้น ดาบพิภพกล่าวว่า “เจ้าคิดหาวิธีได้หรือยัง”
ลั่วปิงหลีตอบด้วยการส่งเสียงว่า “อืม หากมีความลึกลับนี้ ข้าก็มีความมั่นใจเพิ่มขึ้นมาก”
ดาบพิภพถามอีกครั้งว่า “แล้วส่วนประกอบอื่น ๆ ล่ะ”
ลั่วปิงหลีตอบว่า “ทั้งหมดอยู่กับข้าแล้ว”
ดาบพิภพกล่าวว่า “เจ้าคือวิญญาณอาวุธหลัก เรื่องนี้คงต้องให้เจ้าพยายามหนักหน่อยล่ะนะ”
ลั่วปิงหลีกล่าวว่า “ยังไม่ถึงเวลา ดังนั้นอย่าพูดอะไรมาก”
เมื่อดาบทั้งสองเล่มคุยจบ พวกมันก็ไม่สื่อสารกันอีก
พวกมันจ้องกู่ฉิงซานอย่างเงียบงัน
เวลาผ่านไปอย่างช้า ๆ
เมื่อถึงช่วงเวลาหนึ่ง กู่ฉิงซานลืมตาขึ้นก่อนขยับมือ
นี่คือวิชาที่ดังพลังวิญญาณมากระแทกกับเส้นลมปราณทั้งหมดในจุดตันเถียนและแขนขา มันคือวิชาที่ถูกออกแบบมาให้เค้นพลังของผู้ฝึกยุทธ์ออกมาอย่างเต็มที่
ทันทีที่วิชานี้สำแดง พลังทั่วร่างของกู่ฉิงซานพุ่งทะยาน กฎเกณฑ์แห่งความว่างเปล่าสัมผัสถึงเขาได้ทันที
บนหน้าต่างระบบเทพสงคราม แถวหิ่งห้อยขนาดเล็กยังคงปรากฏขึ้น
“พละกำลังของท่านเกินกว่าข้อจำกัดของระดับสี่เสาศักดิ์สิทธิ์ มันยังคงเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ”
“ท่านกำลังจะพัฒนาสู่ระดับนภายามค่ำ”
“หลังจากนับถอยหลังห้าวินาที ภัยพิบัติระดับนภายามค่ำจะมาเยือน”
“ห้า”
“สี่”
“สาม”
“สอง”
“หนึ่ง”
“ภัยพิบัติระดับนภายามต่ำเริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ”
กฎเกณฑ์ที่มองไม่เห็นในความว่างเปล่าเคลื่อนลงมาหากู่ฉิงซาน
กู่ฉิงซานหายไปจากยานอวกาศ
…
ทะเลหมู่เมฆ
รอบข้างมีเพียงทะเลหมู่เมฆ
กู่ฉิงซานลอยไปตามสายลมก่อนตกลงสู่ศาลาโดดเดี่ยวตรงหน้าทะเลหมู่เมฆ
เขามองรอบข้างก่อนค่อย ๆ เผยสีหน้าประหลาดใจออกมา
ทะเลหมู่เมฆแตกต่างจากหมู่เมฆที่ยักษ์แห่งการเริ่มต้นอยู่อย่างสิ้นเชิง
ดอกบัวบานสะพรั่ง หมู่เมฆลอยขึ้น ม่านหมอกห้อมล้อม เทพธิดาขับขานอย่างแผ่วเบา ตำหนักหยกงดงามตั้งตระหง่าน
สมบัติหายากแปลกใหม่ทั้งหมดกระจัดกระจายอยู่ในโขดหินและป่าไม้
น้ำพุวิญญาณพวยพุ่ง ก่อเกิดน้ำใสไหลเป็นลำธาร
เรือเมฆาแล่นมาจอด ผู้ฝึกยุทธ์ยังคงไหลหลั่งเข้ามาเรื่อย ๆ
ฉากอันงดงามนี้ช่างเหมือนกับสวรรค์
นภายามค่ำคือหนึ่งในอาณาจักรสวรรค์ในตำนาน หากโชคดีไม่พอจะไม่มีสิทธิ์เข้ามา
ผู้ฝึกยุทธ์เริ่มต้นที่ระดับปราณปรับแต่ง ฝึกฝนมาตลอด ต้านทานภัยพิบัติไม่หยุดจนกระทั่งมาถึงการพัฒนาระดับนภายามค่ำ ภัยพิบัติในครั้งนี้กลับเปลี่ยนไป
ภัยพิบัตินี้คือภัยพิบัติแห่งพร
กู่ฉิงซานครุ่นคิดเกี่ยวกับสถานการณ์อยู่ในใจขณะยืนอยู่ที่เดิมสักพัก
เขาลงมาจากทะเลหมู่เมฆก่อนพลันปรากฏตัวขึ้น
ผู้ฝึกยุทธ์บางคนที่ผ่านศาลาโดดเดี่ยวมาเห็นเขาเข้าก็พยักหน้าให้ก่อนรีบจากไป บางคนไม่แม้แต่จะเหลียวแล
ผู้ฝึกยุทธ์บางคนรวมกลุ่มสามถึงห้าคน พวกเขามองหาเมฆก้อนหนึ่งก่อนจัดงานเลี้ยงโอ่อ่าและต้อนรับแขก
เขายังเห็นผู้ฝึกยุทธ์ชายหญิงจับคู่กันมา แต่ละคนหยิบสมบัติหายากจากทะเลหมู่เมฆ พวกเขาหัวเราะและวิ่งไล่ก่อนค่อย ๆ จากไปไกล
ยังมีผู้ฝึกยุทธ์ที่อยู่เพียงลำพัง เพียงขยับก้าวเดียว ผู้หญิงชาวสวรรค์จำนวนมากจากทั่วทุกสารทิศปรากฏตัวขึ้นจากความว่างเปล่าก่อนรีบเข้ามาสวมกอดผู้ฝึกยุทธ์คนนั้น
กู่ฉิงซานมองอยู่สักพักก่อนถอนหายใจแล้วชื่นชมว่า “นภายามค่ำ สมคำร่ำลือจริง ๆ ”
..............................