ตอนที่ 747 ผู้มาจากอนาคต
ณ ค่ายกำลังพลสำรองที่ยี่สิบสามของเผ่าพันธุ์มนุษย์
ผู้ฝึกยุทธวัยกลางคนที่เบื้องหลังเขาเต็มไปด้วยกองเอกสาร รับเอาใบหยกมา ตรวจสอบมันอย่างระมัดระวัง
“จางเสี่ยวหยุน เป็นผู้ฝึกยุทธเร่ร่อน เกิดในครอบครัวสามัญ บรรพบุรุษของเขาหารายได้จากการปรุงอาหารวิญญาณให้แก่ผู้ฝึกยุทธ”
“ทว่าเมื่อคราก่อนที่โลกบรรพกาลบุกโจมตี พวกมันได้สังหารทุกคนในครอบครัวของเขาไป เหลือแค่เพียงจางเสี่ยวหยุนคนเดียวที่รอดชีวิต ด้วยเหตุนี้เอง เขาจึงตัดสินใจมาเข้าร่วมกับกองทัพ”
“ข้อมูลข้างต้นได้รับการตรวจสอบเป็นอย่างดีแล้ว ได้โปรดให้ทางท่านนายพลทำการตัดสินใจด้วย”
ล่างลงไป ก็เป็นสองสามชื่อของผู้รับผิดชอบในการตรวจสอบข้อมูล
ผู้ฝึกยุทธวัยกลางคนนำใบหยกวางกลับลงบนโต๊ะเบื้องหน้าเขา เงยหน้ามองเด็กหนุ่มที่ยืนรออยู่ตรงกันข้าม
ลักษณะก็ดูทั่วๆ ไป ฐานวรยุทธ์ก็ธรรมดา
เมื่อถูกเขาจ้องมอง เด็กหนุ่มก็เริ่มเผยท่าทีวิตกกังวล
อืม...เขาก็คงจะเป็นแค่สหายตัวน้อยที่น่าสงสารนั่นล่ะนะ
ผู้ฝึกยุทธวัยกลางคนหันไปเอ่ยถามรองนายพล “ได้ยินมาว่าจำนวนพ่อครัวของค่ายเราไม่เพียงพอใช่รึเปล่า?”
รองนายพลรายงาน “เรียนท่านนายพล จำนวนพ่อครัวเรียกได้ว่ากำลังขาดแคลน ครั้งก่อนที่เกิดจลาจลขึ้น จนนำไปสู่ ‘เหตุการณ์นั้น’ ต้นเหตุก็เป็นเพราะว่าพ่อครัวไม่เพียงพอ”
ผู้ฝึกยุทธวัยกลางคนพอได้ฟัง ก็อดไม่ได้ต้องขมวดคิ้ว
ก่อนหน้านี้ ผู้ฝึกยุทธทั้งหมดในค่ายกำลังสำรองได้ออกมาประท้วง ไม่ยินยอมกินอาหารวิญญาณที่ไม่อร่อย บางคนถึงขั้นนำเอาอาหารวิญญาณที่ตนได้รับมาไปโยนให้หมูกิน
นั่นเพราะมีกำลังพลอยู่จำนวนมากเกินไป มากจนทำให้ทางพ่อครัววุ่นจนหัวหมุน หากจะเร่งทำให้ทัน ก็จำต้องละทิ้งความพิถีพิถัน รสชาติอาหารวิญญาณมันก็เป็นธรรมดาที่จะแย่ลง
ผู้ฝึกยุทธวัยกลางคนเอ่ยถามว่า “แล้วฝีมือหกศิลป์ในด้านอาหารวิญญาณของเขาเป็นอย่างไรบ้าง?”
“มีพ่อครัวหลายคนได้ลองชิมดูแล้ว และพวกเขาทั้งหมดต่างก็กล่าวชื่นชมไปในทิศทางที่ดี” รองนายพลตอบ
นายพลอุทาน “ก็แล้วถ้าอย่างงั้นยังมัวรออะไรอยู่อีก? จงเร่งตระเตรียมหนังสือรับรองให้แก่เขา แล้วพาเขาไปช่วยงานตั้งแต่วันนี้เลย”
“ขอรับ” รองนายพลรับคำ
นายพลกระแอมไอเบาๆ และบอกกับเด็กหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงข้าม “ชื่อจางเสี่ยวหยุนใช่ไหม ทางกองทัพตั้งความหวังไว้กับฝีมือทำอาหารของเจ้านะ หลังจากเข้าร่วมกับกองทัพแล้ว จงตั้งใจและใส่ใจปรุงอาหารอย่างรอบคอบ”
“ขอรับ” เด็กหนุ่มประสานกำปั้น
“เอาล่ะ ออกไปได้แล้ว” นายพลโบกมือ
“น้อมรับคำสั่งท่านนายพล”
แล้วเด็กหนุ่มก็ถูกพาตัวออกไป
นายพลเฝ้ามองเขาเล็กน้อย สุดท้ายก็โยนเรื่องนี้ทิ้งไว้เบื้องหลัง
เพราะอย่างไรซะ ธุระต่างๆ ในค่ายน่ะมีเยอะจนเกินไป ยังเหลืออีกหลายอย่างที่เฝ้ารอให้เขาต้องจัดการ
…
กู่ฉิงซานถูกนำตัวออกไปรอนอกกระโจม เฝ้านั่งรอคอยอย่างอดทน
ดูเหมือนว่าขั้นตอนทั้งหมดจะต้องใช้เวลาพอสมควร
เขาจะต้องเฝ้ารอจนกว่าขั้นตอนทั้งหมดจะเสร็จสมบูรณ์ แล้วในที่สุดเขาก็จะได้รับตราประจำตัว
ซึ่งหากไม่มีตราประจำตัว เขาจะไม่สามารถไปไหนได้
ถ้าไม่มีมัน แล้วเดินไปในค่ายโดยพลการ เขาอาจถูกค่ายกลสังหารตกตายเอาเวลาใดก็ได้
กู่ฉิงซานนั่งรออยู่สักพัก เขาก็รู้สึกเบื่อ เลยยกมือขึ้นแตะลงตรงขอบแก้มของตน
แน่นอน ว่ามันมิได้รู้สึกแปลก หรือผิดปกติใดๆ เลย
ทว่ายามสัมผัส เส้นแสงหิ่งห้อยพลันปรากฏขึ้นในสายตาของเขา
“ชื่อไอเท็ม หน้ากากเงิน จักจั่นน้ำแข็ง”
“เป็นอุปกรณ์พิเศษ”
“นี่คือหน้ากากอำพรางที่ยอดเยี่ยมที่สุดที่เกิดจากฝีมือเผ่าพันธุ์มนุษย์ มันสามารถปรับเปลี่ยนได้แม้กระทั่งฐานวรยุทธ์ โดยไม่มีใครตรวจพบได้”
“สิ่งเดียวที่คุณต้องระมัดระวังไว้ก็คือ อย่าปล่อยให้เทพวิญญาณเกิดความสนใจในตัวคุณ มิฉะนั้นเทพวิญญาณจะสังเกตเห็นถึงมัน”
กู่ฉิงซานพอได้อ่านก็รู้สึกอบอุ่นใจ
นี่คือหน้ากากที่เขาได้รับมาจากลั่วปิงลี่
เธอได้บอกถึงรายละเอียดของหน้านี้แก่กู่ฉิงซานด้วยตัวเธอเองว่า ตราบใดที่เขาสวมใส่หน้ากาก หากไม่ถูกเทพวิญญาณจับจ้องเป็นเวลานาน ย่อมไม่มีปัญหาใดๆ
ยิ่งไปกว่านั้น สถานที่ที่กู่ฉิงซานถูกส่งมา ยังเป็นค่ายกำลังสำรองที่อยู่ห่างไกลที่สุด
ซึ่งโดยทั่วไปแล้วเทพวิญญาณจะปรากฏกายขึ้นเฉพาะในกองทัพกลางและแนวหน้าเท่านั้น มิเคยย่างกรายเข้ามาในค่ายกำลังสำรองมาก่อน
และต่อให้เทพวิญญาณยอมถอยมาก้าวหนึ่ง หากพวกเขายอมให้เกียรติ เดินทางมาที่กำลังสำรองจริงๆ แต่ก็ย่อมไม่มีทางตรงเข้ามาหาพ่อครัวเป็นแน่
ดังนั้นสถานะที่กู่ฉิงซานได้รับมานี้ จึงกล่าวได้ว่าปลอดภัยจริงๆ
ปัจจุบัน เขาคือจางเสี่ยวหยุน ฐานวรยุทธ์ก็ถูกควบคุมให้อยู่ในช่วงแก่นทองคำ
หากเดินในฝูงชน ตัวตนของเขาย่อมสุดแสนจะสามัญธรรมดา
และต้องยกเครดิตทั้งหมดนี้ให้แก่หน้ากากเงิน จักจั่นน้ำแข็ง
กู่ฉิงซานตบลงในถุงสัมภาระ เพื่อตรวจสอบถึงสิ่งที่อยู่ภายในอย่างรอบคอบ
ภายในถุงสัมภาระ มีใบหยกขนาดใหญ่ยักษ์ถูกเก็บเอาไว้
เขาอดไม่ได้ที่จะย้อนนึกถึงฉากก่อนที่ตนจะออกเดินทาง
ในหุบเหวแห่งดาบ ลั่วปิงลี่กำลังจะพาตัวกู่ฉิงซานจากไป แต่เป็นเซี่ยกู่หงส์ที่ตะโกนรั้งเอาไว้
“ฉิงซาน ข้าได้ตระเตรียมทุกอย่างเอาไว้ให้พร้อมแล้วสำหรับการฝึกยุทธของเจ้า ฉะนั้นจงรับนี่ไป” เซี่ยกู่หงส์กล่าว
ว่าจบ เซี่ยกู่หงส์ก็ตบลงในถุงสัมภาระและปลดปล่อยสิ่งหนึ่งออกมา
โครม!
หุบเหวแห่งดาบเกิดการสั่นสะเทือนขนาดย่อม
กู่ฉิงซานเพ่งมองมันอย่างใจจดใจจ่อ แต่กลับเห็นแค่เพียงก้อนหินสีขาวรูปทรงสี่เหลี่ยมขนาดยักษ์ มันสูงเท่ากับคนแปดคน ยาวขนาดเท่ายี่สิบคนโอบ
ก้อนหินขาวนี้มีรูปทรงเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้า ทว่าที่น่าสนใจไม่ใช่ตรงจุดนั้น แต่เป็นเจตต์ดาบเหลือคณา ที่แผ่ออกมาจากทั่วตัวมันต่างหาก
“ท่านอาจารย์ อาวุธมนตราชิ้นนี้มันคืออะไรกัน? เหตุใดมันจึงมีขนาดใหญ่ถึงเพียงนี้?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม
“ศิษย์ข้า มันมิใช่อาวุธมนตราใดๆ หากแต่คือใบหยกขนาดใหญ่ยักษ์ ที่ภายในบรรจุเทคนิคฝึกยุทธ และเทคนิคดาบที่ถูกคัดสรรโดยอาจารย์เจ้าเอาไว้ หากฝึกฝนพวกมันอย่างต่อเนื่อง เจ้าสิ่งนี้จะช่วยให้เจ้ายกระดับขึ้นสู่นักดาบนิรันดร์ระดับสูง จากนั้นอาจตัดผ่านไปยังขอบเขตต่อไป หากเจ้ามีสมาธิและศึกษามันอย่างต่อเนื่อง เจ้าอาจถึงขั้นสามารถตัดผ่านมายืนหยัดอยู่ในขอบเขตเดียวกันกับอาจารย์เจ้าเลยก็เป็นได้”
กู่ฉิงซานเงยหน้าขึ้นมองใบหยกขนาดยักษ์ ในหัวใจอดพลุ่งพล่านไปด้วยความตื่นเต้นมิได้
ในที่สุด...
ในที่สุดตนก็จะได้รับการถ่ายทอดเทคนิคดาบที่ยอดเยี่ยมที่สุดในสมัยโบราณแล้ว!
“ท่านอาจารย์ สิ่งนี้มันดูมีค่ายิ่ง ข้าเกรงว่า...”
“มันไม่เป็นไรหรอก เพราะข้าได้จัดตั้งจิตเทวะเอาไว้ในใบหยกแล้ว นอกเหนือไปจากเจ้า หากใครหน้าไหนกล้าที่จะดูเนื้อหาในใบหยกนี่ ใบหยกก็จักถูกทำลายลงทันที”
“ได้ยินเช่นนั้นศิษย์ก็โล่งใจ ว่าแต่ข้าจะพกพามันไปได้อย่างไร?”
“เจ้าสามารถเก็บมันในถุงสัมภาระ และใช้จิตสัมผัสเทวะอ่านมันได้ตลอดเวลา”
“อืม...มันช่างสะดวกสบายจริงๆ”
…
กู่ฉิงซานเฝ้ารอจนเบื่อ เขาจึงเริ่มศึกษาเทคนิคดาบจากในใบหยก
จนกระทั่งเวลาผ่านพ้นไปครึ่งก้านธูป
“จางเสี่ยวหยุน เข้ามารับตราประจำตัวได้!” บางคนตะโกน
“ขอรับ!”
กู่ฉิงซานตอบรับ เขาผละมือออกจากถุงสัมภาระ และผุดลุกขึ้น
เมื่อเดินเข้ามาในห้อง เขาก็ค้นพบว่ามีคนจำนวนมากอยู่ภายใน แลดูวุ่นวายผิดปกติ
รองนายพลคนก่อนหน้านี้มองเขา กล่าวด้วยรอยยิ้ม “เจ้าอาจจะต้องทำงานอย่างหนัก เพราะหลังจากนี้ไป พวกเราจะต้องกินอาหารฝีมือเจ้าทุกวัน”
กู่ฉิงซานประสานกำปั้น “ขอให้ท่านโปรดมั่นใจ ผู้น้อยมักจะทำงานด้วยความจริงจังเสมอมา โดยเฉพาะในเรื่องของอาหารวิญญาณ”
เมื่อได้ยินแบบนั้น รองนายพลและผู้คนรอบตัวเขาก็เผยให้เห็นสีหน้าพึงพอใจ
ไม่ว่าฝีมือปรุงอาหารของเจ้าหนูนี่จะเป็นอย่างไร แต่การที่มีพ่อครัวเพิ่มขึ้นมาหนึ่งคน มันย่อมสามารถช่วยลดแรงกดดันที่พ่อครัวคนอื่นๆ ได้รับเป็นอย่างดี ซึ่งนั่นหมายความว่าอาหารวิญญาณจะมีรสชาติดีขึ้นเป็นเงาตามตัว
รองนายพลหยิบใบหยกบนโต๊ะ และโยนมันไปให้กู่ฉิงซาน
กู่ฉิงซานยื่นมือออกไปรับมัน
ทว่าในตอนนั้นเอง ใบหยกกลับหยุดนิ่งอยู่อากาศอย่างกะทันหัน มันไม่ขยับไหวไปไหนเลย
สรรพเสียงโดยรอบที่วุ่นวายเมื่อครู่เอง ก็ดับหายไปเช่นกัน
รอยยิ้มบนใบหน้าของรองนายพลยังคงไร้ซึ่งการเปลี่ยนแปลง ท่วงท่ามือของเขาก็แข็งค้างอยู่ในลักษณะขว้างปาออกไป
ด้านข้างเขา ผู้ฝึกยุทธที่กำลังจัดแจงโครงสร้างใบหยกอันใหม่ กับอีกสองผู้ฝึกยุทธที่กำลังตรวจสอบจำนวนเอกสาร และกำลังอ้าปากพูด แท้จริงแล้วทุกคนนิ่งงันไม่ไหวติง
ตลอดทั้งห้อง ตกอยู่ในสภาวะหยุดนิ่ง
ดาบยาวผุดออกมาจากอากาศที่ว่างเปล่าเบื้องหลังกู่ฉิงซาน และเปลี่ยนร่างกลายเป็นฉานนู่
“นายน้อย เวลาถูกหยุดลง” ฉานนู่กล่าว
กู่ฉิงซานเปล่งเสียงกระซิบ “สงบใจไว้ เฝ้ารอดูก่อนว่ามันจะมีอะไรเกิดขึ้นต่อไป”
เขาคว้าจับดาบเช่าหยิน และกุมมันเอาไว้ในมือ
ทันใดนั้นเอง วัยรุ่นคนหนึ่งก็ตกลงมาจากฟากฟ้า
เป็นเต่ายักษ์...
เต่ายักษ์ในสภาพร่างของวัยรุ่นตัวน้อยได้ปรากฏกายขึ้น
นี่นับว่าเป็นครั้งแรกเลยที่มันโผล่มาให้กู่ฉิงซานเห็น นับตั้งแต่ที่ส่งเขามาในยุคนี้
“เต่าน้อย เกิดอะไรขึ้นงั้นหรือ?” กู่ฉิงซานถามอีกฝ่าย
สีหน้าของเต่าน้อยค่อนข้างตึงเครียด
มันกล่าวว่า “ใช่ มันเกิดเรื่องขึ้นจริงๆ ข้าสัมผัสได้ถึงความผันผวนอย่างฉับพลันของสายธารแห่งกาลเวลา นั่นหมายความว่ามีอะไรบางอย่างกำลังแทรกแซงเข้ามาในชิ้นส่วนภาพทับซ้อนของยุคสมัยนี้”
“แทรกแซงเข้ามา?” กู่ฉิงซานทวนซ้ำ
“ถูกต้อง แต่ข้าเองก็ไม่ทราบเหมือนกันว่ามันคือสิ่งใด”
“นี่มันเกิดขึ้นได้อย่างไรกัน ว่าแต่เรื่องราวทำนองนี้เคยเกิดขึ้นมาก่อนหรือไม่?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม
ร่างของเต่าน้อยเริ่มส่งกลิ่นอายของความโกรธ “ย่อมไม่! ในความเป็นจริงหน้าที่ของข้าคือการปกป้องภาพทับซ้อนของยุคโบราณนี้ หากมีใครกล้าที่จะสอดแนมและพยายามจะแอบเข้ามา ก็จะถูกข้าสังหารลงโดยตรง”
“งั้นตอนนี้เจ้าสิ่งนั้นเป็นอย่างไรบ้าง?”
บนใบหน้าของเต่าน้อยเผยให้เห็นถึงความไม่ยินยอม “เจ้าสิ่งนั้นมันใช้วิธีการมหัศจรรย์บางอย่าง ในการย้อนกลับมาจากยุคอนาคตอันไกลแสนไกล มันสามารถละเว้นการป้องกันของข้า และเข้าสู่ภาพทับซ้อนยุคโบราณโดยตรง”
“ตัวข้า แม้ว่าจะเป็นเต่าโบราณ แต่ข้ากลับค้นพบว่าตนเองไม่สามารถหยุดยั้งเจ้าสิ่งนั้นได้ อาจเป็นเพราะข้ายังเด็กเกินไป ที่จะจัดการกับมันด้วยความแข็งแกร่งที่ข้ามี ดังนั้นข้าจึงมาหาเจ้าในตอนนี้”
มันจ้องมองกู่ฉิงซานและเอ่ยต่อ “เผ่าพันธุ์เต่ามีความเก่งกาจในการป้องกันและทำนายชะตา ซึ่งข้าได้ทำนายชะตาให้เจ้าแล้ว และค้นพบว่า หากเจ้ายังอยู่ที่นี่ต่อไป มันมีโอกาสเป็นไปได้สูงจริงๆ ที่จะตกตาย”
“ดังนั้น ในปัจจุบันเจ้าจึงยังมีเหลืออยู่สองตัวเลือก หนึ่งคือเก็บเกี่ยวแต่เพียงเท่านี้ แล้วถอนตัวออกจากภาพทับซ้อน กลับออกไปกับข้าในทันที”
“สองคือยังอยู่ที่นี่ต่อ แต่ขณะเดียวกันก็ต้องหลีกเลี่ยงเจ้าสิ่งนั้น ที่กำลังสำรวจยุคโบราณนี้อย่างต่อเนื่อง”
กู่ฉิงซานเงียบ
เต่าน้อยไม่ทราบว่าตัวเขาได้รับสืบทอดเทคนิคดาบโบราณมาแล้ว ดังนั้นหากจะให้เขาไป มันก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้
กู่ฉิงซานเอ่ยถาม “การถอนตัวออกไป แท้จริงแล้วเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด แต่หลังจากที่ข้าออกไปจากที่นี่แล้ว ข้าจะสามารถออกตามหาดาบนภาได้หรือไม่?”
เต่าน้อยถอนหายใจและกล่าว “ไม่ แต่ดูจากสถานการณ์ที่ร้ายแรงยิ่งแล้ว ข้าสามารถบอกเจ้าอย่างตรงไปตรงมาว่า เจ้าจักต้องเดินทางอยู่ในภาพทับซ้อนยุคโบราณนี่ต่อไป จึงจะมีคุณสมบัติในการค้นหาดาบนภา”
“เช่นนั้นข้าก็จะอยู่ที่นี่ต่อ” กู่ฉิงซานตัดสินใจเฉียบขาด
“ข้าต้องการจะเตือนเจ้านะ ว่าเป้าหมายของสิ่งนั้นมันคือเจ้า และตัวเจ้าในตอนนี้มิใช่คู่ต่อสู้ของมันเลย เจ้าอาจจะตกตายลงที่นี่” เต่าน้อยกล่าว
กู่ฉิงซานส่ายหัว “ไปมิได้ เพราะหากข้าจากไป ดาบที่อยู่เคียงคู่กันมากับข้าตั้งแต่แรกเริ่มก็จะตายจากไปด้วยเช่นกัน”
........................................