ตอนที่ 735 โลกเบื้องล่าง
“เซี่ย…เต๋า…หลิง ข้าจะจดจำนามนี้ไว้”
กู่ฉิงซานก้มลงมองเด็กสาวตัวน้อยที่ถูกผนึกอยู่ในผลึกน้ำแข็ง ประสานกำปั้น ท่าทีแสดงออกดูจริงจัง “ท่านอาจารย์โปรดมั่นใจ ตราบใดที่ข้ายังมีชีวิตอยู่ ข้าจะปกป้องนางเอง”
ปรมาจารย์วังพยักหน้าเล็กน้อย
เขารู้สึกพึงพอใจกับศิษย์คนนี้มาก
ทันทีที่เขาพลิกฝ่ามือ ผลึกน้ำแข็งที่ลอยอยู่กลางอากาศก็หายวับไป
ทว่ากลับปรากฏกำไลผลึกน้ำแข็งในมือของเขาแทน
“นี่คือกำไลน้ำแข็ง มันเป็นตัวเชื่อมต่อกับโลกใบเล็กๆ ที่บุตรสาวข้าหลับใหลอยู่ ภายในโลกใบเล็กๆ มิได้มีสิ่งใด มันมีแค่เพียงแปดสิบภูเขาศิลาวิญญาณ ซึ่งได้รับการออกแบบมาเป็นพิเศษ เพื่อเสริมพลังทางจิตวิญญาณจากผลึกน้ำแข็งของนาง”
ปรมาจารย์วังวางกำไลน้ำแข็งบนมือของเขา ลูบไล้มันอย่างระมัดระวัง ในที่สุดก็ถอนหายใจออกมา และมอบแหวนนี้ให้แก่เฉินหยาง
เฉินหยางรับกำไลน้ำแข็งมา และสวมใส่มันลงบนข้อมือของเขา
หวงซานมองกำไลน้ำแข็ง สลับไปมองหน้าของเฉินหยางอีกครั้งด้วยความวิตกกังวล
จ้าวควนเองก็จ้องมองกำไลน้ำแข็ง เริ่มขมวดคิ้ว
ในเวลานั้นเอง ปรมาจารย์วังพลันได้สติกลับคืน เอ่ยต่อศิษย์ทั้งสาม “เอาล่ะ พวกเจ้าจงตรงไปยังภูเขาเบื้องล่างของวังสวรรค์เสีย ที่นั่น ทางนิกายได้เตรียมเรือเหาะสำหรับทะลวงมิติเอาไว้ให้แล้ว หากหลังจากลงไปยังโลกเบื้องล่าง จงตัดการติดต่อซึ่งกันและกันเสีย มันจะปลอดภัยยิ่งกว่า เอ้า รีบไปสิ!”
เมื่อเห็นว่าทั้งสามยังคงลังเล ปรมาจารย์วังก็เริ่มโกรธ “ความพินาศของนิกายยามนี้เป็นเพียงเรื่องชั่วคราวเท่านั้น ขณะที่พวกเจ้าแต่ละคนกำลังแบกรับความไว้วางใจจากข้า แล้วยังจะมัวโง่ยืนรอความตายอยู่ที่นี่อีกหรือ?”
“จงไปซะ! มิฉะนั้นข้าคงตายเปล่าแล้ว!”
ทั้งสามเร่งรับคำทันที “ขอรับท่านอาจารย์!”
หวงซานอดไม่ได้อีกต่อไป ระบายความอัดอั้นในจิตใจ พุ่งกระแทกเปิดประตูด้วยความโศกเศร้า วิ่งหายไป
จ้าวควนเองพอเห็นแบบนั้น ก็เร่งไล่ตามเขาไปติดๆ
เหลือเพียงกู่ฉิงซาน ที่กล่าวต่อปรมาจารย์วังว่า “ท่านอาจารย์ โปรดดูแลตัวเองด้วย หากคิดว่าไม่ไหว ก็ขอให้เลือกหนทางประนีประนอม ช่วยเลือกหนทางที่ท่านจักสามารถคงชีวิตต่อไปได้ด้วยเถอะ”
แม้จะถูกตักเตือน ทว่าปรมาจารย์วังกลับไม่โกรธ เขาเพียงมองอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้มและดุเบาๆ ว่า “เจ้าศิษย์โง่ ข้ามีหรือต้องให้เจ้ามาสอน? รีบไปให้พ้นได้แล้ว!”
กู่ฉิงซานประสานกำปั้น โค้งคำนับอีกฝ่าย หมุนกายเดินจากไป
สามศิษย์ได้ออกไปจากวังสวรรค์ในที่สุด
ประตูถูกปิดลง
ปรมาจารย์วังยังคงยืนอยู่อย่างสงบ
ทันใดนั้นเบื้องหน้าเขา พลันปรากฏร่างหนึ่งลอยอยู่กลางอากาศ
เป็นชายชราที่ผมทั้งหัวเป็นสีขาว
“ท่านราชาอมตะ” ปรมาจารย์วังประสานมือคารวะ ทักทายอีกฝ่าย
ชายชราพยักหน้ารับ กล่าวด้วยความสับสน “ปรมาจารย์นิกายเซี่ย แต่เดิมเจ้าตั้งใจจะให้เฉินหยางสืบทอดมิใช่หรือ เหตุใดท้ายสุดแล้วจึงส่งต่อให้จ้าวควน?”
ปรมาจารย์วังถอนหายใจเบาๆ และกล่าว “จ้าวควนเป็นผู้ที่สามารถทำงานในทุกด้านได้อย่างพิถีพิถันและรอบคอบ แต่สิ่งที่เลวร้ายเพียงหนึ่งเดียวของเขาก็คือ ความริษยาอันแรงกล้าที่เด่นชัด ส่งผลให้จิตแห่งเต๋าของเขาบกพร่องเล็กน้อย ดังนั้นจึงมิอาจบรรลุทักษะดาบขั้นสูงจนสำเร็จได้ ด้วยเหตุนี้เอง ข้าจึงทำเพื่อเขา ให้เขาลงไปยังโลกเบื้องล่าง ขัดเกลาจิตใจตน ก่อตั้งนิกายขึ้น สืบทอดเจตนารมต่อจากข้า”
“หวงซานเองก็ฉกาจในด้านเทคนิคมนตรา ให้ความรู้สึกที่ดี เป็นคนแข็งแกร่งและน่าเชื่อถือ ดังนั้นเขาย่อมสามารถเก็บความลับเอาไว้ได้ ข้าจึงรู้สึกวางใจที่มอบดาบพิภพให้แก่เขา”
เมื่อมาถึงคนสุดท้าย สีหน้าของปรมาจารย์วังก็แลดูซับซ้อน “ส่วนเฉินหยาง แม้ว่าจักไม่มีภูมิปัญญาที่ดี ทว่ามีความอุตสาหะเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้นหากเขาสามารถละทิ้งสิ่งต่างๆ ที่มันซับซ้อนทั้งหมดไป ให้จิตวิญญาณมุ่งมั่นอยู่ในเรื่องของการฝึกยุทธ ลองคิดดูว่าจะเป็นเช่นไร? ดังนั้น แต่เดิมเฉินหยางจึงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับผู้นำนิกายรุ่นต่อไป ทว่ายามนี้สถานการณ์เกิดการเปลี่ยนแปลงกะทันหัน เทพวิญญาณข่มเหงเรา ทางเราจะเริ่มก่อจลาจลขึ้น มันจึงเป็นการดีที่สุดที่จะซ่อนเฉินหยางไว้ ไม่ต้องให้เขามาเหนื่อยหน่ายกับนิกาย หรือถูกรบกวนจากทุกสิ่ง จะได้มุ่งมั่นสู่วิถีนักสู้ต่อไป บางทีในอนาคต เขาอาจจะเหนือยิ่งกว่าพวกเราทุกคนก็ได้”
ชายชราถอนหายใจ “ข้าคาดหวังว่าเขาจะแซงหน้าพวกเรา และโค่นล้มเทพวิญญาณลงได้ หากเป็นเช่นนั้น ข้าก็จะไม่จำเป็นต้องตระเตรียมแผนการมากมาย เผื่อไว้ในยามสิ้นใจแล้ว”
ปรมาจารย์วังฝืนยิ้มและกล่าว “ข้ามั่นใจว่าเขาสามารถแซงหน้าข้าได้ แต่หากถึงขั้นเหนือล้ำยิ่งกว่าท่านราชาอมตะ เกรงว่าบางทีเขาคงต้องอาศัยโชคไม่น้อย”
…
อีกด้านหนึ่ง
กู่ฉิงซานบินไปตามความทรงจำของเฉินหยาง ลงมายังเบื้องล่างของภูเขาวังสวรรค์
เขางง
สรุปแล้วเขาถูกส่งมาที่นี่ทำไมกันแน่?
หรือว่าสิ่งที่เขาทำในตอนนี้ มันจะส่งอิทธิพลไปถึงยุคโบราณอันไกลโพ้นด้วยใช่หรือไม่?
หากตนเองย้อนกลับมายังสมัยโบราณจริงๆ แล้วเข้ามาแทนที่เฉินหยาง ทุกสิ่งที่เขาทำ จะสามารถเปลี่ยนแปลงอนาคตทั้งหมดรึเปล่า?
มันค่อนข้างจะรู้สึกแปลกๆ หากหลายหมื่นปีข้างหน้า จักถูกเปลี่ยนแปลงไปโดยสิ้นเชิงด้วยฝีมือของคนคนเดียว
กู่ฉิงซานไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายส่ายหัวอย่างเงียบๆ
เมื่อลองพิจารณาตามสถานการณ์ต่างๆ ที่ผ่านมาก่อนหน้านี้แล้ว คาดว่าในยุคอดีต พลังของเผ่ามนุษย์สมควรที่จะสามารถคุกคามสถานะของเทพวิญญาณได้
แต่เขาล่วงรู้ชัดเจนว่าพลังของเทพวิญญาณ ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงเวลาได้
อนุมานจากสิ่งนี้ เผ่ามนุษย์เองก็ไม่น่าจะสามารถทำได้เช่นเดียวกัน
ดังนั้น สถานการณ์ในปัจจุบันของกู่ฉิงซาน คาดว่าตนสมควรถูกส่งมายังเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นแล้วในประวัติศาสตร์
ตอนนี้เขาสวมบทบาทเป็นเฉินหยาง
ถ้านี่เป็นการทดสอบแล้วละก็...
เช่นนั้น วัตถุประสงค์ของการทดสอบ อาจจะต้องการดูว่า เขาจะสามารถทำได้ดีเพียงใด หากเทียบกับเฉินหยาง
กู่ฉิงซานคิดเกี่ยวกับมันอีกครั้ง และอีกครั้ง เพื่อยืนยันมุมมองนี้
ในเวลานั้นเอง เขาก็ได้เดินทางมาถึงเบื้องล่างของภูเขาแล้ว
ปรากฏเรือเหาะสีเทาจอดเรียงรายเอาไว้มากมาย ทั้งหมดสลักไปด้วยอักษรรูนโบราณสีเทา เพื่อใช้สำหรับการทะลวงฝ่าเป็นพิเศษ
การสลักเรือเหาะด้วยอักษรรูนโบราณเช่นนี้ มีไว้เพื่อทะลวงขีดจำกัดของโลก ตัดผ่านโลกสวรรค์มุ่งหน้าไปยังโลกอื่นในหกวิถีโดยตรง
ซึ่งอักษรรูนที่ถูกสลักไว้ตามแต่ละเรือเหาะ จะแตกต่างกันออกไป บางลำมุ่งไปยังอาณาจักรอาชูร่า บางลำก็มุ่งไปยังโลกมนุษย์
โลกสวรรค์ โลกมนุษย์ และโลกอาชูร่า นับเป็นสามอาณาจักรชั้นดี ที่ผู้ฝึกยุทธเลือกที่จะตัดผ่านมิติมุ่งไป
สำหรับสามอาณาจักรชั้นเลวอย่างโลกผีร้าย โลกจ้าวอสูร และโลกปรภพ ล้วนไม่มีผู้ใดคิดจะย่างกรายเข้าไป
ในเวลานี้ ผู้อาวุโสกำลังลงมาจัดการที่นี่
เหล่าผู้ฝึกยุทธรุ่นเยาว์หลายคนในนิกาย กำลังถูกจัดส่งไปตามเรือเหาะต่างๆ โดยพวกเขา
เมื่อเรือเหาะเต็ม ผู้ฝึกยุทธชั้นนำก็จะกระตุ้นเรือเหาะ ให้ออกตัวทันที ให้มันเปิดช่องว่างมิติ และเคลื่อนย้ายหลบหนีไปยังโลกอื่น
ผู้อาวุโสสังเกตเห็นถึงการปรากฏกายของทั้งสาม
“เป็นพวกเจ้าทั้งสามนั่นเอง มาเถอะ เรือเหาะของพวกเจ้าอยู่ที่นี่”
ผู้อาวุโสนำพวกเขาไปยังเรือเหาะขนาดเล็กทั้งสามลำ
“ทุกคนมีภารกิจเป็นของตัวเอง ดังนั้นทางนิกายจึงแยกเรือเหาะเอาไว้ต่างหากสำหรับพวกเจ้า”
“ลำแรกเป็นของจ้าวควน ลำที่สองเป็นของหวงซาน สุดท้ายเป็นเฉินหยาง พวกเจ้าจงอย่าได้นั่งผิดไป”
เปรี้ยง!
ระหว่างสนทนา พื้นดินพลันสะเทือนเลือนลั่น
บังเกิดเสียงอึกทึกจากฟากฟ้าที่ห่างไกล พร้อมกับเสียงที่ฟังดูยิ่งใหญ่ดังตามมา
“วังสวรรค์เมฆาวิเวก ไม่เคารพต่อเทพวิญญาณ สมคบคิดกับโลกบรรพกาล บาปของพวกเจ้าสมควรได้รับโทษ!”
ปรากฏรังสีแสงตกลงมาจากฟากฟ้า ม่านยามค่ำคืนถูกแสงสว่างกลบไป
ใบหน้าของอาวุโสแปรเปลี่ยน ปากอ้าตะโกน “เร็วเข้า! จงไปเสีย!”
แล้วร่างของเขาก็กะพริบไหว หายไปจากเบื้องหน้าของทั้งสามคน
ทั้งสามไม่ลังเลอีกต่อไป สาวเท้ายาวๆ ตรงไปที่เรือของตนเอง
จ้าวควนโยนใบหยกไปทางหวงซานกับกู่ฉิงซาน
เขาเอ่ยอย่างรวดเร็ว “ศิษย์น้องหวง ศิษย์น้องเฉิน หากได้ไปถึงโลกเบื้องล่างแล้ว ยันต์สื่อสารเดิมของพวกเราคงใช้ไม่ได้อีกต่อไป ดังนั้นพวกเจ้าควรรับใบหยกนี่ไว้ มันจะสามารถช่วยให้รับรู้ตำแหน่งของกันและกันได้ ถึงเวลานั้นพวกเราค่อยมารวมตัวกันอีกครั้ง!”
หวงซานพยักหน้า คว้ารับใบหยกเอาไว้ทันที
กู่ฉิงซานรับมันมา เก็บลงในถุงสัมภาระ
เวลากระชั้นชิดนัก ทั้งสามไม่มีเวลาจะสนทนากันอีกต่อไป กระโจนเข้าไปในเรือเหาะ และเร่งกระตุ้นค่ายกลบนเรือทันที
เรือเหาะส่งเสียงหวีดคำราม บังเกิดเสียงอันคมชัด เจาะผ่านเข้าไปในมิติที่ว่างเปล่า มุ่งหน้าสู่โลกเบื้องล่างในฉับพลัน
…
ท่ามกลางกระแสมิติที่ว่างเปล่า
เห็นแค่เพียงคลื่นความโกลาหลภายในมัน
ทันทีที่เรือเหาะทะลวงผ่าน กู่ฉิงซานก็เฝ้ามองมองเรือเหาะอีกสองลำหายไปในทิศทางอื่น
ดูเหมือนว่าที่หมายของทั้งสามลำจะแตกต่างกันออกไป
เขาเฝ้าสังเกตรอบตัวอย่างระมัดระวังอีกครั้ง
ท่ามกลางกระแสมิติสีเทาหม่น สายลมกระโชกแรงไม่มีหยุดยั้ง
นี่คือมิติภายนอกโลก ทุกการดำรงอยู่อันแปลกประหลาดสามารถปรากฏกายขึ้นได้ตลอดเวลา
อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางกระแสมิติในยุคอดีตนี้ ไม่เหมือนกับในยุคต่อๆ มา นอกเหนือไปจากสายลมแรงแล้ว กู่ฉิงซานยังมิได้พบเห็นถึงอะไรอย่างอื่นเป็นพิเศษเลย
บางทีอาจเป็นเพราะเกิดสงครามในโลกสวรรค์ขึ้นบ่อยครั้ง ส่งผลให้ทุกการดำรงอยู่ที่ไม่รู้จักหลีกลี้ หนีห่างจากมิติบริเวณนี้ก็เป็นได้
คิดได้แบบนี้ กู่ฉิงซานจึงค่อยคลายใจลง
อาศัยประโยชน์จากช่วงเวลาที่อาจจะสงบและมั่นคงเป็นครั้งสุดท้ายนี้ คุกเข่าลง และเริ่มต้นทำสมาธิ
ทักษะการต่อสู้ทั้งหมดของเฉินหวาง ทักษะแล้ว ทักษะเล่าทยอยกันผลุบเข้ามาในหัวใจของกู่ฉิงซาน
เขาริเริ่มคิดเกี่ยวกับกระบวนการของเทคนิคนักสู้ ทั้งรุกและรับ
จากนั้นก็ผสานรวมเทคนิคนักสู้ของเฉินหยาง เข้ากันกับวิธีการต่อสู้ในรูปแบบของตนเอง
เวลาไหลผ่านไปอย่างช้าๆ
ขณะที่กู่ฉิงซานกำลังพิจารณาถึงทักษะการต่อสู้ของเขาอย่างเงียบๆ ก็ปรากฏเรือเหาะลำหนึ่งขึ้น
เรือเหาะลำนี้คล้ายกับว่าทำเป็นตกใจ มันโฉบไปมาอย่างระมัดระวังอยู่สองสามครั้ง
กู่ฉิงซานผุดลุกขึ้น และมองไปทางเรือเหาะ
เขาพบว่ามันช่างเป็นเรือเหาะที่ดูค้นตา
และคนที่ยืนอยู่บนมันก็แสนจะคุ้นเคย
“ศิษย์พี่ใหญ่?” กู่ฉิงซานอุทานด้วยความประหลาดใจ
“มันช่างเป็นเรื่องบังเอิญจริงๆ นะศิษย์น้องสาม ดูเหมือนว่าทิศทางที่พวกเรากำลังจะมุ่งไป จะอยู่ใกล้ๆ กัน” จ้าวควนกล่าว
กู่ฉิงซานยิ้ม “เช่นนั้นก็ยอดไปเลย ตราบใดที่พวกเราศิษย์พี่ศิษย์น้องอยู่ด้วยกัน ในโลกมนุษย์ก็ไม่มีสิ่งใดสามารถขวางกั้นพวกเราได้แล้ว”
จ้าวควนหัวเราะ ตอบกลับมาว่า “ข้าเองก็คิดเช่นนั้น เอาอย่างนี้ดีหรือไม่ ข้าจะเก็บเรือเหาะของข้า แล้วโดยสารไปกับเรือของเจ้า แล้วค่อยแยกย้ายจากกันในภายหลัง”
กู่ฉิงซานกล่าวด้วยความปีติ “ด้วยความยินดี”
จ้าวควนเก็บเรือเหาะ ทะยานร่างวูบไหว กระโดดมายังทิศทางเรือเหาะของกู่ฉิงซาน
กู่ฉิงซานตบลงในถุงสัมภาระ และหยิบเอาใบหยกออกมา
“ศิษย์พี่ หลังจากนี้ไป ใบหยกคงไม่จำเป็นแล้ว ขอมอบคืนให้แก่ท่าน”
เขาโยนใบหยกไปทางจ้าวควน
จ้าวควนหรี่ตาแคบลง เพ่งมองใบหยก
แต่ก็พบว่ามันเป็นใบหยกที่เขาพึ่งมอบให้อีกฝ่ายด้วยตัวเองเมื่อครู่นี้ เพื่อใช้รับรู้ถึงตำแหน่งของกันและกัน
“นั่นสินะ ใบหยกนี่คงไม่จำเป็นแล้วจริงๆ”
จ้าวควนหัวเราะ และเอื้อมมือไปหมายจะคว้าจับใบหยก
แต่พลันบังเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น
ฟิ้ว!
ใบหยกหายวับไปอย่างกะทันหัน แต่ดันเป็นเฉินหยางปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าจ้าวควนแทน
สกิลเทวะ ร่างเงาแทนที่!
เฉินหยางปรากฏกายขึ้น และย่ำลงบนมือของจ้าวควนทันใด
สีหน้าของจ้าวควนแปรเปลี่ยนกลับกลาย แต่ทันใดนั้นร่างกายของเขากลับด้านชา มันนิ่งงันไม่ไหวติง กระทั่งพลังวิญญาณอันไร้ที่สิ้นสุดก็มิอาจกระตุ้นได้
ตัดขาดการเชื่อมต่อ!
ชั่วเวลานั้นเอง กำปั้นของเฉินหยางก็กระแทกเข้าใส่ร่างของจ้าวควน
“ตุบตับๆๆ!”
ในเสี้ยววินาที เขาเหวี่ยงหมัดหนัก หมัดแล้วหมัดเล่าอัดเข้าใส่ตามร่างกายของจ้าวควนโดยตรง แสงสวรรค์เรืองรองกระจัดกระจาย สิ่งที่ใช้ปกป้องตัวจ้าวควรทั้งหมดเริ่มถูกลบหายไป
จ้าวควนแทบคลั่ง ทว่าเขากลับไม่มีแม้โอกาสที่จะต่อต้าน
สามวินาทีกำลังจะจบลง
แต่ในตอนนั้นเอง ท่ามกลางความว่างเปล่า หญิงสาวในชุดคลุมฟ้าที่ครอบครองใบหน้าอันแสนเย็นชาและกุมดาบยาวในมือก็ปรากฏขึ้น
หญิงสาวคนนั้นฟาดดาบลงมา
ตัดขาดการเชื่อมต่อ!
ดาบยาวที่จ้าวควนเรียกมาอย่างยากลำบากพลันหลุดจากมือ กระเด็นไปท่ามกลางกระแสมิติและหายไปอย่างรวดเร็ว
เขาสูญสิ้นการควบคุมร่างกายตัวเองเป็นครั้งที่สอง!
กำปั้นทรงพลานุภาพกระแทกกระทั้นเข้าใส่อีกครา
ใบหน้าของเฉินหยางปราศจากซึ่งความรู้สึกใด เขาเพียงชกๆๆ...ด้วยพละกำลังทั้งหมดที่ตนมี
ในเวลานี้เอง สิ่งที่ใช้ป้องกันตัวตลอดทั้งกายของจ้าวควนได้ถูกทำลายลงอย่างสิ้นเชิง ส่งผลให้เขาไม่สามารถป้องกันการโจมตีนับจากนี้ หรือรักษาชีวิตเอาไว้ได้อีกต่อไป
เฉินหยางฉวยโอกาสนี้ ทุบทำลายกระดูก และข้อต่อทั้งหมดของศัตรูเบื้องหน้า
หวดด้วยเท้าสุดท้าย!
เปรี้ยง!
จ้าวควนปลิวกระเด็นออกไป
เฉิยหยางหายวับไปจากสถานที่เดิม คว้าจับจ้าวควนที่ลอยคว้านท่ามกลางกระแสมิติ ลากอีกฝ่ายกลับมาทุ่มฟาดลงบนดาดฟ้าเรือ
จ้าวควนในเวลานี้ไร้ซึ่งกำลัง มิอาจขัดขืนได้โดยสมบูรณ์
เขากระอักเลือดออกมา เอ่ยซ้ำๆ “เฉินหยาง! เจ้าคนพาลลวงหลอกท่านอาจารย์ ทรยศบรรพชน!”
“คนพาลลวงหลอกท่านอาจารย์งั้นหรือ?” กู่ฉิงซานเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
“ใช่! เป็นข้าที่ได้รับมอบหมายให้รับตำแหน่งปรมาจารย์วังคนต่อไป ทว่าเจ้าแท้จริงกลับฉวยประโยชน์ในจังหวะที่ข้าพลั้งเผลอ ลอบทำร้ายข้า เพราะเจ้าต้องการเป็นปรมาจารย์วังเองใช่หรือไม่?” จ้าวควนพ่นเลือดพลางถาม
กู่ฉิงซานย่อตัวลงช้าๆ แล้วส่ายหัวให้อีกฝ่าย “เจ้าน่ะสิคนพาล ลวงหลอกท่านอาจารย์ ทรยศต่อบรรพชน”
จ้าวควนตวาดด้วยความโกรธ “ผายลม! ข้าจ้าวควนสัตย์ซื่อต่อนิกาย ภักดีต่อท่านอาจารย์สุดหัวใจ สารเลวอย่างเจ้ามิอาจป้ายสีข้าเช่นนี้ได้!”
กู่ฉิงซานยิ้ม กล่าวเสียงกระซิบ “เช่นนั้นขอถาม ท่านอาจารย์เตือนพวกเราชัดเจนว่าให้แยกกัน และห้ามติดต่อกัน นั่นก็เพื่อความปลอดภัย แล้วเหตุใดหลังจากลงไปยังโลกเบื้องล่าง พวกเราต้องพบเจอกันด้วย เหตุใดเจ้าจึงส่งใบหยกที่สามารถระบุตำแหน่งกันและกันมาให้ข้า?”
จ้าวควนชะงักงัน
กู่ฉิงซานกล่าวอีกครั้ง “อีกเรื่องหนึ่ง ก็แล้วหากเจ้ากับข้าต้องไปในทิศทางเดียวกัน แล้วเหตุใดทางนิกายจึงต้องจัดเรือเหาะแยกเป็นสามลำด้วย? นั่นมันไม่เห็นจำเป็นเลย?”
เขาถอนหายใจ “ศิษย์พี่หวงนั่นสัตย์ซื่อและจริงใจ ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่อย่างกะทันหัน ในหัวใจเขาย่อมตื่นตระหนก และเมื่อเห็นว่าศิษย์พี่ใหญ่อย่างเจ้าปรากฏกาย เขาย่อมไม่ทันตั้งข้อสังเกตถึงความผิดปกติ และเกรงว่าอาจจะถูกเจ้าฆ่าตายไปแล้ว”
“จ้าวควนนะ จ้าวควน แต่เจ้าคิดจริงๆ หรือว่าข้าจะถูกหลอกลวงได้ง่ายดายดั่งเช่นศิษย์พี่หวง?”
………………………………….