ตอนที่ 632 ผู้มาเยือน
ภายในกระท่อมบนยอดเขา
แบรี่ไม่คาดคิดเลยว่าจะถูกถามคำถามนี้ เล่นเอาเขาตะลึงไปเล็กน้อย
เมื่อเห็นถึงสายตาที่กำลังเฝ้ารอคอยคำตอบอย่างร้อนรนของเย่เฟย์หยู เสี่ยวเหมียวก็ยิ้มออกมา
“แน่นอนว่าไม่มีปัญหา ยินดีต้อนรับเป็นอย่างยิ่ง” เธอกล่าว
แบรี่ได้สติกลับคืน เข้าพยักหน้า และหัวเราะ
กระทั่งในช่วงเวลาที่ตนกำลังจะได้รับความแข็งแกร่งขึ้น ชายหนุ่มยังคงคิดถึงแฟนของเขาอย่างจริงใจ แลดูน่ารักไม่ใช่น้อย
ผู้ชายแบบนี้ เหมาะสมที่จะเป็นสมาชิกของสมาคมจริงๆ
“หมายความว่าตกลงใช่ไหม?” กู่ฉิงซานถาม
“แน่นอนว่าไม่มีปัญหา” แบรี่ตอบ
แล้วพวกเขาก็สามารถจบประเด็นของเย่เฟย์หยูได้ในที่สุด
นับตั้งแต่นี้ไป เย่เฟย์หยูได้เข้าร่วมกับสมาคมกำปั้นเหล็กแห่งความยุติธรรมอย่างเป็นทางการแล้ว!
“ถ้างั้น ผมจะสามารถทำอะไรเพื่อสมาคมได้บ้าง?” เย่เฟย์หยูถามด้วยความสงสัย
ทำอะไรเพื่อสมาคมได้บ้าง…
คำถามนี้ทำให้ทั้งสามคนต้องเงียบไป
‘นอกเหนือไปจากการต่อสู้และหาอาหารแล้ว ดูเหมือนว่าในสมาคมจะไม่มีเรื่องอื่นให้ทำอีกเลย’ นี่คือสิ่งที่กู่ฉิงซานคิด
ซึ่งเขาคงคิดไม่ถึงเหมือนกัน ว่านั่นคือสิ่งที่แบรี่กับเสี่ยวเหมียวกำลังคิดอยู่เช่นกัน
แบรี่กระแอม และเอ่ยถามอย่างจริงจัง “เอาอย่างนี้ดีกว่า ไหนลองบอกมาหน่อยสิว่านายถนัดเรื่องอะไร?”
“ถนัดเล่นเกม ในบรรดาการจัดอันดับโลก ผมเป็นหนึ่งในคนที่อยู่อันดับสูงที่สุด” เย่เฟย์หยูกล่าวอย่างภาคภูมิใจ
“เล่นเกม? จัดอันดับโลก?” เสี่ยวเหมียวงง
กู่ฉิงซานช่วยพูด “นั่นไม่นับนะ นายช่วยนึกอย่างอื่นแล้วบอกพวกเราอีกทีได้ไหม”
เย่เฟย์หยูขมวดคิ้ว ครุ่นคิดอยู่นาน ก่อนจะกล่าวในที่สุด “ผมสามารถอยู่บ้านเฉยๆ ได้เป็นเวลานาน ตราบใดที่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ผมสามารถไม่ออกไปไหนเลยได้เป็นเวลาหลายปี”
“…” กู่ฉิงซาน
เขาหยุดความคิดที่จะช่วยเย่เฟย์หยูพูดอีกครั้งไปโดยสิ้นเชิง
อย่างไรก็ตาม กลับเหนือความคาดหมาย เพราะพอได้ฟัง เสี่ยวเหมียวก็ปรบมือขึ้นอย่างมีความสุข “นั่นมันยอดไปเลยนี่นา! ในที่สุดช่วงเวลาที่พวกเราไม่อยู่ ก็จะมีใครบางคนคอยจัดการกับทางเข้าสัญญาณของโลกมิติอนันต์สักที!”
“อ้าว ไม่ใช่ว่าทางเข้ามิติอนันต์ อยู่ในการควบคุมของคุณตลอดเวลาหรอกเหรอ?” กู่ฉิงซานถาม
“นี่ฟังนะ ฉันถูกขังอยู่ในสมาคมมานานเกือบจะพันปีแล้ว ฉะนั้นตอนนี้ฉันจะทิ้งสมาคมไป ไม่อยากจะสนใจมัน จะขอใช้วันหยุด! ฉันจะไปช็อปปิ้ง! ฉันจะไปเที่ยวเล่น!” เสี่ยวเหมียวตะโกน
แบรี่พยักหน้า เขาเองก็รู้สึกแบบนั้นเหมือนกัน
“ฉันเองก็ไม่ได้ไปเที่ยวบาร์ หรือเล่นกาสิโนแบบเต็มอิ่มมานานแล้ว” เขากล่าวด้วยอารมณ์
ทั้งสองเฝ้ามองเย่เฟย์หยู และเริ่มพูดคุยเกี่ยวกับอีกฝ่าย
“น่าเสียดายที่ความแข็งแกร่งของเขายังอ่อนแอเกินไป และความรู้เกี่ยวกับโลกเก้าร้อยล้านชั้นก็ยังน้อยนิด จำเป็นต้องใช้เวลาอีกสักพักถึงจะเติบโตขึ้น”
“ใช่ หลังจากที่พวกเราสามารถผสานรวมทั้งหกโลกเข้าด้วยกันได้แล้ว พวกเราจะพาเขาไปออกล่าทุกสารทิศ เพื่อช่วยผลักดันให้เขาวิวัฒนาการไปยังขั้นต่อไป”
ในเวลานั้นเอง สมองควอนตั้มในอ้อมแขนของกู่ฉิงซานก็ส่องสว่างขึ้น
“ใต้เท้า ฉันมีอะไรบางอย่างที่ต้องรายงาน”
“ว่ามาเลย”
“ราชาผีเพลิงน้ำแข็งจากโลกผีร้าย กำลังนำคนของเขาออกไปปล้นฆ่า และจับตัวผู้คน แปรสภาพมนุษย์ให้กลายเป็นพวกผีร้าย”
แล้วฉากดังกล่าวก็ถูกฉายขึ้นบนจอม่านแสง
ราชาผีเพลิงน้ำแข็งที่อยู่ในเมืองผี กำลังตะโกนสั่งเสียงดัง
มนุษย์ที่ถูกจับตัวมาโดยผีร้ายทุกคนก็เร่งวิ่งไปยังจัตุรัส เพื่อเข้าร่วมพิธีแปรสภาพขนาดใหญ่
กู่ฉิงซานมองไปบนจอม่านแสงและเอ่ยถาม “พวกมันเองก็เป็นตัวการทำลายโลกใช่ไหม?”
“ใช่แล้วใต้เท้า พวกผีร้ายเป็นกลุ่มที่สร้างความเสียหายแก่โลกมนุษย์มากที่สุด ใครไม่เชื่อฟังพวกมันก็จะถูกฆ่าและจับกิน มีเพียงหนทางเดียวเท่านั้นที่มนุษย์จะสามารถรอดไปจากเงื้อมมือของมันได้ นั่นคือจะต้องเลือกแปรสภาพตนเองเป็นผีร้าย” เทพธิดากงเจิ้งอธิบาย
กู่ฉิงซานค่อยๆ ขมวดคิ้ว
เจตนาฆ่าเริ่มพวยพุ่งขึ้นจากตัวเขา
“ดูเหมือนว่าตอนนี้ พวกเราจะมีที่ที่สามารถพาเย่เฟย์หยูออกไปล่าสังหารทุกสารทิศได้เสียแล้ว” เขากล่าวเสียงกระซิบ
เสี่ยวเหมียว “นี่เป็นเรื่องง่ายที่จะจัดการ ขอแค่บอกพิกัดของมันให้กับฉันก็พอ”
แล้วเทพธิดากงเจิ้งก็บอกตำแหน่งพิกัดออกไป
“พวกเราไปกันเถอะ”
เสี่ยวเหมียวลูบแหวนบนนิ้วมือของเธอ
ในเสี้ยววินาที แบรี่ เสี่ยวเหมียว กู่ฉิงซาน และเย่เฟย์หยูก็หายวับไป
ณ เมืองของผีร้าย
ราชาผีเพลิงน้ำแข็งกำลังเร่งความเร็ว เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับพิธีแปรสภาพขนาดใหญ่
เนื่องด้วยความแข็งแกร่งของกลุ่มคนก่อนหน้านี้ที่เขาเพิ่งเผชิญมามันน่าหวาดกลัวเกินไป แม้จะอยู่ไกลแต่ในหัวใจตนก็รู้สึกว่ายากที่จะต้านทาน
ราชาผีเพลิงน้ำแข็งตระหนักได้ว่าโลกมนุษย์ไม่สามารถอยู่ได้นานกว่านี้อีกต่อไป
เมื่อพิธีแปรสภาพขนาดใหญ่นี้เสร็จสมบูรณ์ ตัวมันก็ตั้งใจที่จะกลับไปยังโลกของตนทันที และไม่คิดย้อนกลับมาที่นี่ในระยะเวลาสั้นๆ
“ดีมาก ตอนนี้ทุกอย่างก็พร้อมแล้ว ข้าขอเริ่มพิธีแปรสภาพบัดเดี๋ยวนี้!” ราชาผีเพลิงน้ำแข็งสั่ง
อย่างไรก็ตาม ไม่มีใครเลยที่ตอบสนองต่อคำของเขา
มีเพียงความเงียบตลอดทั้งเมืองผี
ผีร้ายทั้งหมดหยุดนิ่งอยู่ในตำแหน่งเดิมของพวกมัน แม้จะใช้กำลังทั้งหมดที่มีของตน พวกมันก็ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้
มิติโดยรอบของพวกมันแข็งตัวไปแล้วโดยสมบูรณ์ ไม่มีกระทั่งที่ช่องว่างที่จะให้พวกมันเปิดปาก
ในหัวใจของราชาผีตระหนักชัดถึงลางไม่ดี มันเร่งใช้เทคนิคมนตราเคลื่อนย้ายทันที
แต่มันกลับพบว่าตนเองไม่สามารถเคลื่อนไหวได้
วินาทีต่อมา ม่านแสงก็กะพริบไหว
สมาชิกทั้งหมดของสมาคมกำปั้นเหล็กปรากฏตัวขึ้นในจัตุรัส
“เทพธิดากงเจิ้ง ช่วยส่งเกราะรบขับเคลื่อน กับเรือขนส่งมาที่นี่ เพื่อช่วยลำเลียงผู้คนกลับไปหน่อยสิ” กู่ฉิงซานกล่าว
“รับทราบใต้เท้า”
กู่ฉิงซานมองไปที่เสี่ยวเหมียวอีกครั้งและเอ่ยถาม “คุณแน่ใจใช่ไหมว่าผีร้ายพวกนี้จะไม่สามารถเคลื่อนไหวได้?”
“พวกมันไม่สามารถเคลื่อนไหวได้อย่างแน่นอน เรื่องนี้ปล่อยให้เป็นหน้าที่พวกนายก็แล้วกันนะ ส่วนฉันจะขอไปสำรวจค่ายกลนั่นก่อน มันดูน่าสนใจไม่น้อยเลย”
เธอเดินตรงไปยังค่ายกลเคลื่อนย้ายขนาดใหญ่
ซึ่งเป็นค่ายกลมิติที่ใช้กลับไปยังโลกของผีร้าย
“เฟย์หยู ตานายแล้ว” กู่ฉิงซานกล่าว
เย่เฟย์หยูเลียริมฝีปากของเขาด้วยความตื่นเต้น และกล่าวว่า “ความแข็งแกร่งของพวกมันไม่เลวเลย นี่เป็นวัตถุดิบสำคัญที่จะช่วยให้ฉันสามารถวิวัฒนาการขึ้นได้ ฉันสามารถฆ่าพวกมันได้จริงๆ ใช่ไหม?”
“ฆ่าให้หมดเลย” กู่ฉิงซานสนับสนุน
เย่เฟย์หยูร้องคำราม แปรเปลี่ยนตนเป็นเส้นแสงสีเลือด โฉบไปยังราชาผีเพลิงน้ำแข็ง
ตะขอเกี่ยววิญญาณที่สาดรังสีแสงสีเหลืองอ่อนๆ ผุดออกมาจากหลังมือของเขา ใบมีดอันคมกริบ ตัดผ่านต้นคอของราชาผีเพลิงน้ำแข็งอย่างแผ่วเบา
ส่วนหัวพลันถูกแยกออกจากลำตัว
ราชาผีเพลิงน้ำแข็ง ผู้ซึ่งเป็นผู้นำผีร้ายทั้งมวล และเป็นตัวตั้งตัวตีในการบุกโจมตีโลกในครั้งนี้ ตกตายลงโดยไม่ทันได้ต่อต้านใดๆ
ปัง!
เลือดสังหารพวยพุ่งออกจากร่างกายของเย่เฟย์หยู
เขาได้รับพลังทั้งหมดของราชาผีเพลิงน้ำแข็งมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว!
“มันสะดวกสบายจริงๆ นี่ใช่ไหมคือความสนุกของการที่ได้ฆ่ามอนสเตอร์ที่เลเวลมากกว่า” เย่เฟย์หยูเปล่งเสียงกระซิบที่ฟังดูกำลังรื่นรมย์ออกมา
ตะขอเกี่ยววิญญาณสาดประกายกะพริบไหว
อีกหัวหนึ่งของผีร้ายที่ทรงพลังถูกแยกออกจากลำตัว
เลือดสังหารที่ปะทุออกจากร่างของเย่เฟย์หยูยิ่งมากกว่าเดิม
แบรี่ที่ยืนอยู่ข้างๆ กู่ฉิงซานยกสองแขนขึ้นกอดอกและกล่าว “อะไรคือการมอนสเตอร์ที่เลเวลมากกว่า?”
“มันเป็นศัพท์ในเกม คุณไม่จำเป็นต้องสนใจที่เขาพูดหรอก” กู่ฉิงซานตอบ
“งั้นนายตั้งใจที่จะทำอะไรต่อไป” แบรี่ถามอีกครั้ง
“ตอนนี้ก็รอให้พวกผีร้ายที่นี่ทั้งหมดถูกฆ่า จากนั้นก็เข้าไปในโลกผีร้าย และผสานรวมโลกของพวกมันเข้ากับโลกมนุษย์”
“จากนั้นล่ะ?”
“จากนั้นก็เป็นโลกสวรรค์ โลกจ้าวอสูร และโลกอาชูร่า จับแต่ละโลกมาผสานรวมเข้าด้วยกันทีละโลก ทีละโลก”
กู่ฉิงซานนึกขึ้นได้ถึงบางสิ่ง และกล่าว “แต่สำหรับโลกอาชูร่าคงต้องอ่อนโยนกันหน่อย เพราะพวกเขามีความสัมพันธ์กับผมอยู่”
“ที่พูดมามันไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไร” แบรี่พยักหน้า
เสี่ยวเหมียวเดินกลับมาและกล่าว “ฉันได้ทำการตรวจสอบค่ายกลของผีร้ายเรียบร้อยแล้ว บางจุดของค่ายกลติดตั้งกับดักที่ส่งผลให้มีเพียงผีร้ายเท่านั้นที่สามารถผ่านมันไปได้ แต่พวกเราไม่จำเป็นต้องเดินทางผ่านค่ายกลของมัน เพราะฉันได้รับพิกัดโลกของผีร้ายมาแล้ว นั่นหมายความว่าฉันสามารถส่งนายไปยังโลกของพวกมันได้เลยโดยตรง”
“งั้นรอให้เย่เฟย์หยูจัดการให้จบลงก่อน แล้วพวกเราค่อยไปกันนะครับ” กู่ฉิงซานกล่าว
ทั้งสามเบนสายตามองออกไป
หลายสิบลมหายใจผ่านพ้น
ในที่สุด เย่เฟย์หยูก็สามารถล้างบางผีร้ายทั้งเมืองจนหมดสิ้น
เขาคุกเข่าลงกับพื้น และเริ่มส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวด
ร่องรอยจางของเลือดสังหารเริ่มควบรวมเป็นเส้นบางๆ คล้ายดั่งผ้าไหมที่มีจิตวิญญาณ เริ่มว่ายวนรัดพันรอบตัวเย่เฟย์หยู
เสียงร่ำร้องของเย่เฟย์หยูค่อยๆ ถูกตัดขาดออกจากภายในด้ายเลือด
“การวิวัฒนาการกำลังจะเริ่มต้นขึ้น”
แบรี่เฝ้ามองดูฉากนี้และกล่าว
“จะเกิดอะไรขึ้นกับเขา?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม
“ฉันเองก็อยากจะรู้เหมือนกัน แต่ไม่มีใครสามารถคาดเดาได้ พวกเราจะต้องรอดูเอง จนกว่าจะรู้ผล” แบรี่กล่าวด้วยความสนใจ
เสี่ยวเหมียวยิ้ม “ตอนนี้ ฉันไม่เพียงแต่ได้มาเห็นทิวทัศน์ของโลกหกวิถีด้วยตาตัวเอง แต่ยังสามารถได้คอยเฝ้ามองการวิวัฒนาการของพิฆาตโลกอีก การเลือกเดินทางมาในครั้งนี้มันช่างคุ้มค่าเสียจริงๆ”
แต่กู่ฉิงซานเหมือนจะไม่ได้ฟังเธอ เขาจมลงไปในห้วงความคิดอย่างเงียบๆ
หลังจากที่เย่เฟย์หยูวิวัฒนาการแล้ว เอาไว้เขาค่อยตรวจสอบด้วยตัวเองก็ได้ ตอนนี้คาดเดาไปก็เท่านั้น
ทุกอย่างจะเป็นไปตามขั้นตอน เริ่มจากการผสานรวมโลกหกวิถีเข้าด้วยกันโดยสมบูรณ์ และจากนั้นก็สำรวจความลับของสุสานแห่งโลก
อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดนี้เป็นกระบวนการที่ยุ่งยากและซับซ้อน
แต่โชคยังดี ที่มีแบรี่กับเสี่ยวเหมียว ทำให้กู่ฉิงซานสามารถหลีกเลี่ยงการต่อสู้ครั้งใหญ่ไปได้
กู่ฉิงซานถอนหายใจเล็กน้อย
เขาอยากจะรู้จริงๆ ว่าเทพบรรพกาลได้ซ่อนสิ่งใดเอาไว้ในโลกหกวิถี
ขณะกำลังขบคิด ในหัวใจของกู่ฉิงซานก็รับรู้ได้ถึงบางอย่าง
เขาตบลงในถุงสัมภาระ และหยิบวัตถุบางสิ่งออกมา
เป็น ‘กระดิ่งมารสวรรค์’
บนตัวกระดิ่งกำลังสั่นไหว สาดบรรยากาศเย็นเยียบออกมาอย่างต่อเนื่อง
สายกระดิ่งยังคงสั่นไหว คอยเขย่ากระดิ่งให้เกิดเสียงดังไม่หยุด
เสียงของกระดิ่งมารสวรรค์กังวานไปยังโลกอันไร้ที่สิ้นสุด
“เธอจะมาอย่างงั้นเหรอ?”
กู่ฉิงซานพึมพำด้วยความสงสัย
แต่ในไม่ช้า เขาก็เหมือนจะนึกออกในที่สุด
เพราะตนได้เคยสัญญาณเอาไว้ว่าจะมอบโลกใบหนึ่งให้แก่อีกฝ่าย แต่นี่ก็ผ่านมาเนิ่นนานแล้ว เขากลับยังไม่มอบมันให้เสียที
เกรงว่าเธอคงจะมาหาเขาเพื่อทวงหนี้
อย่างไรก็ตาม ตัวเขาก็เป็นหนี้มานานแล้ว ดังนั้นปัจจุบันจึงเป็นเวลาที่เหมาะสมในการชำระ
หลังจากนั้นไม่กี่ลมหายใจ
ในความว่างเปล่าก็เริ่มขยับไหว
“ไม่เป็นไรหรอก คนที่กำลังจะมาอยู่ฝ่ายเดียวกัน”
กู่ฉิงซานหันไปพูดกับแบรี่และเสี่ยวเหมียว
ระหว่างกล่าว เห็นแค่เพียงเด็กสาวชุดดำคนหนึ่งค่อยๆ ตกลง
เธอร่อนลงมาหยุดอยู่เบื้องหน้ากู่ฉิงซานโดยไม่พูดอะไรเลยสักคำ
แบรี่กับเสี่ยวเหมียวเฝ้าสังเกตเด็กสาวคนนั้น การแสดงออกทางสีหน้าของพวกเขาค่อยๆ ผิดแปลกไป
นั่นเพราะสองพี่น้องสามารถสัมผัสได้ถึงพลังของกฎเกณฑ์ของสวรรค์และโลก ที่ควบรวมกันแน่นอยู่ในตัวเด็กสาวชุดดำผู้นั้น
มันเป็นชนิดของการอนุญาต วางใจ และยินยอม
โลกใบนี้เต็มใจต้อนรับการมาเยือนของเธอ
“น้องสาว นั่นใช่มารสวรรค์แห่งโลกหกวิถีรึเปล่า?” แบรี่ถาม
“ดูเหมือนจะเป็นอย่างนั้นนะ ช่างเป็นรูปแบบชีวิตที่พบเจอได้ยากยิ่งจริงๆ” เสี่ยวเหมียวอุทาน
กู่ฉิงซานหยิบบอลคริสทัลออกมา
นี่คือโลกที่ลอร่ามอบให้กับเขา
ครั้งหนึ่งมันเคยเป็นของทริสเต้ แต่ตอนนี้มันตกอยู่ในมือของกู่ฉิงซาน
“นี่สำหรับเจ้า เป็นสิ่งชำระของหนี้ในคราวก่อนที่ตกลงกันไว้”
กู่ฉิงซานส่งบอลคริสทัลออกไป
หลี่อันรับบอลคริสทัล และตรวจสอบมันอย่างเป็นเรื่องเป็นราว
เธอพบว่ามันคือโลกที่ถูกทิ้งไว้โดยเทพบรรพกาล
มันคือโลกที่มีค่ามากๆ และอาจจะยังมีความลับอีกมากมายให้ทำการสำรวจ
กู่ฉิงซานกล่าวด้วยความจริงใจ “ก่อนอื่นเลยข้าอยากจะขอบคุณเจ้าที่ให้ความช่วยเหลือ และหวังว่าในอนาคตพวกเราจะยังคงได้ร่วมมือกันอีกครั้ง”
หลี่อันพอได้ฟัง ก็เผยรอยยิ้มอันอบอุ่นออกมา
แล้วเธอก็เริ่มเผยอริมฝีปากเบาๆ “ข้าไม่ได้มาเพื่อขอให้เจ้าจ่ายหนี้”
“งั้น...”
“ข้าอยากจะมาหาเจ้าเฉยๆ มันไม่ได้รึไง?”
“แน่นอนว่าได้”
“ล้อเล่นน่ะ อันที่จริงแล้วข้ามีบางอย่างที่ต้องบอกมันแก่เจ้า”
“…” กู่ฉิงซาน
เขายังคงแสดงท่าทีจริงใจและเอ่ยถามต่อ “เป็นเรื่องอะไรกัน ที่ทำให้เจ้าถึงกับต้องมาบอกด้วยตนเอง”
หลี่อัน “ตอนนี้สถานการณ์ของโลกเทวะตึงเครียดมาก สงครามระหว่างอาณาจักรทั้งปวงได้ปะทุขึ้นแล้ว ข้าจึงคิดว่าเรื่องนี้จำเป็นที่จะต้องแจ้งให้เจ้าทราบ”
ในหัวใจของกู่ฉิงซานหม่นทะมึนลง เขาถามออกไป “สงคราม? ทำไมจึงเกิดสงครามขึ้น?”
เมื่อเผชิญกับความสงสัยของกู่ฉิงซาน หลี่อันก็อดไม่ได้ที่จะย้อนนึกไปถึงเหตุการณ์ในช่วงสงครามครั้งก่อนหน้า กระทั่งในช่วงเวลานี้ ในหัวใจของเธอก็ยังคงเต็มไปด้วยความประหลาดใจ และชื่นชมในกลยุทธ์ของเขา
“เพราะอาจารย์ของเจ้าได้กระทำบางสิ่งที่ก่อให้เกิดการสั่นสะเทือนครั้งใหญ่”
ในที่สุดหลี่อันก็เฉลยออกมา
............................................