ตอนที่ 457 ได้รับรู้ความจริง
ณ ภายในห้องลับ
กู่ฉิงซานใช้มือทั้งสองจับใบหยกค่ายกลที่วางเรียงรายกันอยู่ตามลำดับ และทำการคำนวณแต้มพลังวิญญาณที่จะต้องจ่ายไป
ตอนนี้ ความรอบรู้ทางด้านค่ายกลของเขาได้ยกระดับขึ้นมาถึงขั้นกลางของโลกใบนี้แล้ว
หลังจากนั้นไม่นาน
กู่ฉิงซานก็วางใบหยกลง ขณะที่สีหน้าท่าทีของเขาค่อยๆ เปลี่ยนเป็นหนักอึ้งขึ้นเรื่อยๆ
การเรียนรู้ค่ายกล … มันจำเป็นที่จะต้องใช้แต้มพลังวิญญาณที่มากเกินไป
หากเทียบเปรียบกับสายธาร ความรู้ความเข้าใจในด้านค่ายกลของฉีหยานจักต้องอยู่ในช่วงต้นน้ำเป็นแน่
อย่างไรก็ตาม มันก็พอจะอธิบายได้ว่า หากต้องการจะเรียนรู้การจัดวางค่ายกลเคลื่อนย้ายมิติระหว่างสองโลกที่ถูกสร้างขึ้นมาโดยฉีหยาน ตัวเขาก็จะต้องมีความรู้ความเข้าใจในด้านค่ายกลไม่พอฟัดพอเหวี่ยง ก็เหนือยิ่งกว่าฉีหยานเสียก่อน
แล้วการที่จะทำเช่นนั้น มันก็จำเป็นที่จะต้องใช้แต้มพลังวิญญาณเป็นจำนวนมาก
กู่ฉิงซานมองไปยังแต้มพลังวิญญาณของตนเอง
ในการปลดปล่อยพันธนาการหญิงสาวทั้งสอง เขาได้จ่ายออกไปแล้วอีกหนึ่งร้อยแต้มพลังวิญญาณ
ดังนั้น จึงยังมีแต้มพลังวิญญาณที่หลงเหลืออยู่อีกหนึ่งพันสามแต้ม
และเขามั่นใจว่าตนเองจักต้องใช้แต้มพลังวิญญาณอีกมากกว่าหนึ่งพันสามแต้มอย่างแน่นอน หากคิดจะยกระดับค่ายกลของตนเองให้มาอยู่ในมาตรฐานเดียวกันกับฉีหยาน
โดยสรุปแล้วในตอนนี้ มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะถอดรหัสดิสก์ค่ายกลเพื่อทำการหาพิกัด
กลับกัน หากเขาเลือกที่จะถอยหลังกลับมาก้าวหนึ่ง โดยการเลือกที่จะไม่ปลดพันธนาการสองหญิงสาว … แต้มพลังวิญญาณของเขามันก็ยังไม่เพียงพออยู่ดี
ยังมีวิธีอื่นอยู่อีกไหมนะ?
กู่ฉิงซานเริ่มจมลงสู่สมาธิ
ด้วยหนทางที่เลือกเดินไปแล้วนี้ ทำให้สามารถปลดพันธนาการได้ …
แล้วถ้าหากเขายังคงทำวิธีเดิมต่อไปล่ะ? ทำกับเย่หยิงเหมยและเซ่าหวูชุ่ยเฉกเช่นเดียวกันกับที่ทำกับสองสาวใช้ ปลดปล่อยเขาและเธอให้เป็นอิสระ หากเป็นเช่นนั้นแล้วทุกคนจะช่วยกันลงมือได้หรือไม่?
ฉินรั่ว , ว่านเอ๋อ , เย่หยิงเหมย และเซ่าหวูชุ่ย
สองผู้ฝึกยุทธพันวิบัติ และอีกสองผู้ฝึกยุทธขีดสุดความว่างเปล่า รวมกันโดยสิ้นเชิงแล้วเป็นสี่
หากทั้งสี่ ลงมือพร้อมกัน รุมจัดการหวังหงษ์เต๋าที่ได้รับบาดเจ็บร้ายแรง ก็คงพอมีแนวโน้มที่จะเอาชนะได้
เย่หยิงเหมยน่ะเกลียดหวังหงษ์เต๋าอย่างแน่นอน ดูได้จากการแสดงออกของเธอและข้อมูลต่างๆ ที่ได้รวบรวมมา สามารถพิจารณาได้ว่าตัวเธอน่าจะไม่มีปัญหาใดๆ
แต่สำหรับเซ่าหวูชุ่ย …
ในบรรดาสามปรมาจารย์ตำหนัก เขาเป็นผู้ที่มีพื้นฐานวรยุทธสูงส่งที่สุด
เขาเป็นผู้ฝึกยุทธนักสู้หวูเต๋าในขีดสุดความว่างเปล่า และมีกำลังรบอันน่าอัศจรรย์ใจ
แต่ถ้าหากเซ่าหวูชุ่ยไม่ต้องการที่จะร่วมมือกับฉีหยาน ณ จุดๆ นั้นในเวทีหารือ อีกฝ่ายก็สมควรที่จะลงมือจัดการเขาโดยตรงแล้วสิ?
แต่เซ่าหวูชุ่ยก็มิได้ทำเช่นนั้น
หากมองในมุมนี้ ก็พอจะบอกได้ว่าจุดยืนของสหายเซ่าค่อนข้างที่จะชัดเจนแล้ว
ดังนั้น สรุปได้ว่า หากกู่ฉิงซานสามารถปลดผนึกที่ติดตัวผู้ฝึกยุทธขีดสุดความว่างเปล่าทั้งสองได้ เขาก็จะมีโอกาสบรรลุเป้าหมายของตนได้อย่างแท้จริง!
กู่ฉิงซานรีบเดินออกจากแถวชั้นวางใบหยกค่ายกล และตรงไปยังแถวชั้นวางใบหยกที่บันทึกวิชาต้องห้าม
“นายน้อย นั่นท่านกำลังมองหาใบหยกวิชาใดกัน?” ฉินรั่วถาม
เธอจูงมือว่านเอ๋อเดินเข้ามา ด้วยใบหน้าที่เปื้อนคราบน้ำตาที่ยังไม่ถูกเช็ด
ท่าทีการแสดงออกของสองหญิงสาวผู้นี้ ดูจะแตกต่างออกไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง
พวกเธอราวกับได้รับชีวิตใหม่ เต็มไปด้วยความกระปรี้กระเปร่า ห้วงสติและอารมณ์ของทั้งคนทั้งร่างเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
แล้วกู่ฉิงซานก็บอกถึงเป้าหมายของเขา
“พวกเราจะช่วยนายน้อยมองหามันด้วย เผื่อจะได้เร็วขึ้น” ว่านเอ๋อกล่าว
ขณะกล่าว ทั้งสองสาวก็แอบชำเลืองมองกู่ฉิงซานอย่างลับๆ วูบหนึ่ง และเริ่มต้นทำการค้นหาใบหยกที่ตรงกับความต้องการของเขาทันที
ผ่านไปครู่หนึ่ง ฉินรั่วก็พบเจอกับหนึ่งในใบหยกที่ต้องการ
แต่มันเป็นใบหยกที่บันทึกเกี่ยวกับวิชาต้องห้ามของเซ่าหวูชุ่ย
“อีกใบหนึ่ง ข้าหามันไม่พบเลย” ฉานนู่กล่าว
“บางทีมันอาจจะถูกนำไปเก็บปะปนกับใบหยกในชั้นวางอื่นก็ได้ พวกเราจะแยกกันตามหาอีกครั้ง” ฉินรั่วกล่าว
แล้วสามสาวก็กระจายตัวออกไป เพื่อออกตามหาใบหยกวิชาต้องห้าม
ส่วนกู่ฉิงซานกำลังถือใบหยกต้องห้ามอยู่ในมือ และเฝ้ามองมันอย่างระมัดระวัง
ลักษณะภายนอกของใบหยกชิ้นนี้ถูกห่อหุ้มด้วยชั้นอักษรรูนสีดำ ขณะเดียวกันก็ส่งคลื่นความผันผวนจางๆ ของค่ายกลออกมา
กู่ฉิงซานกวาดสาดตาสำรวจไปกว่าสองสามรอบ และตัดสินได้ว่ามันถูกปกคลุมไปด้วย ค่ายกลต้องห้ามชนิดพิเศษ
ใบหยกนี้ถูกปิดผนึกเอาไว้ และไม่มีใครได้รับอนุญาตให้อ่านมัน
ยามใดที่จิตสัมผัสเทวะถ่ายเทลงบนใบหยกชิ้นนี้ ตัวใบหยกก็จักถูกทำลายทันที!
แต่กู่ฉิงซานก็ยังไม่ยอมแพ้ เขาเบนสายตาไปมองหน้าต่างระบบเทพสงคราม
เห็นแค่เพียงสองบรรทัดแสงหิ่งห้อยปรากฏขึ้นมา
“แมลงมารกลืนชีวิต”
“นี่คือเทคนิคลับประเภทผนึก และเมื่อผู้ฝึกยุทธพยายามที่จะอ่านเทคนิคลับภายในนี้ด้วยจิตสัมผัสเทวะ ใบหยกก็จะถูกทำลายลงทันที”
กู่ฉิงมองอ่านจบ ก็พ่บงึมงำว่าเป็นอย่างที่คิดจริงๆ
ใบหยกชิ้นนี้ เขาไม่สามารถเรียนรู้มันได้-
เดี๋ยวก่อนสิ!
กู่ฉิงซานหันขวับกลับมา ปากเร่งเอ่ยถามทันที “ระบบ เมื่อกี้คุณบอกว่า ‘ผู้ฝึกยุทธจะไม่สามารถใช้จิตสัมผัสเทวะอ่านมันได้’ ใช่ไหม แล้วถ้าหากเป็นคุณล่ะ? ถ้าเป็นตัวระบบเองจะสามารถอ่านเนื้อหาในใบหยกได้รึเปล่า?”
ระบบตอบกลับ “ระบบสามารถทำได้ แต่ระบบจะต้องเรียกเก็บค่าธรรมเนียมแต้มพลังวิญญาณห้าสิบแต้ม , ค่าบริการอีกหนึ่งร้อยแต้ม และค่าเสียเวลาอีกห้าสิบแต้ม ”
“ทำไมต้องจ่ายค่าเสียเวลาเพิ่มขึ้นอีกห้าสิบแต้มด้วย?” กู่ฉิงซานเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“เพราะมันเป็นเรื่องยุ่งยากนักที่จะทำการสำรวจเทคนิคลับต้องห้ามนี้ และระบบจำเป็นต้องมีแต้มพลังวิญญาณเพื่อเพิ่มแรงกระตุ้นให้จิตใจสามารถมุ่งมั่นที่จะทำงาน”
“ … งั้นก็ได้” กู่ฉิงซานบ่นงึมงำ
“คุณแน่ใจหรือไม่ว่าต้องการจ่ายสองร้อยแต้มพลังวิญญาณเพื่อทำการสำรวจเทคนิคลับนี้” ระบบเอ่ยถาม
ระหว่างที่ฟัง กู่ฉิงซานก็บังเกิดความลังเลขึ้นเล็กน้อย แต่ขณะที่เขากำลังจะเริ่มไตร่ตรองมันนั้นเอง
กลับปรากฏเสียงของสามสาวดังขึ้นมาจากเบื้องหลังของเขาพอดี “นายน้อย พวกเราไม่พบใบหยกต้องห้ามอีกใบเลย”
“งั้นหรือ เข้าใจแล้ว” กู่ฉิงซานพยักหน้า
หากเป็นในกรณีนี้ นั่นหมายความว่าผนึกต้องห้ามของเย่หยิงเหมย ตนเองจะไม่สามารถปลดผนึกมันได้
ว่าแต่เขาต้องการที่จะปลดผนึกต้องห้ามของเซ่าหวูชุ่ยจริงๆ น่ะหรือ?
กู่ฉิงซานขบคิดอยู่ครู่หนึ่ง
ลืมมันเถอะ ช่วยก็ช่วยสิ อย่าไปคิดมากเลย
เซ่าหวูชุ่ยเป็นการดำรงอยู่ที่ดุดันและแข็งกร้าว เขาจะเป็นกำลังรบที่ดีของกู่ฉิงซาน
และจักเป็นตัวตนที่มีบทบาทสำคัญในการต่อสู้
ไตร่ตรองเพียงไม่นาน กู่ฉิงซานก็ตัดสินใจเลือกได้ในที่สุด
“ฉันจะจ่ายสองร้อยแต้มพลังวิญญาณระบบ คุณช่วยทำให้ฉันสามารถอ่านเนื้อหาของเทคนิคลับ ต้องห้ามนี้ให้ที”กู่ฉิงซานกล่าว
ระบบตอบรับอย่างรวดเร็ว “ได้รับแต้มพลังวิญญาณแล้ว”
“เริ่มต้นทำการอ่านเนื้อหาบนใบหยกแผ่นนี้”
“นี่คือเทคนิคลับ : แมลงมารกลืนชีวิต”
“แมลงมารกลืนชีวิต : หากฝึกฝนเทคนิคลับนี้ คุณจะสามารถเรียนรู้วิธีการที่จะใส่แมลงมารลงบนตัวของตนเองและอีกคนหนึ่งไปพร้อมๆ กันได้”
“เมื่ออีกคนหนึ่งถูกใส่แมลงมารลงไปแล้ว ชีวิตของเขาก็จะเชื่อมต่อกันกับคุณ ขณะเดียวกันรากฐานต้นกำเนิดชีวิตของเขาก็จะค่อยๆ กลายมาเป็นสารอาหารให้แก่คุณ”
“และชีวิตของคุณกับคนๆ นั้นก็จะเชื่อมโยงกัน หากคุณตกตายลง อีกคนหนึ่งก็จะตายตามไปด้วย แต่ในทางตรงกันข้าม หากอีกฝ่ายตายลง มันก็จะไม่ส่งอิทธิพลใดๆ ต่อคุณ”
“การฝึกฝนและเรียนรู้วิชานี้ มีค่าใช้จ่ายเป็นห้าร้อยแต้มพลังวิญญาณ”
“คุณต้องการที่จะเรียนรู้วิชานี้หรือไม่?”
พอได้อ่านข้อความนี้บนหน้าต่างระบบเทพสงคราม ทั้งคงทั้งร่างของกู่ฉิงซานพลันแข็งค้างไป
ในหัวใจของเขารู้สึกราวกับว่าตนได้ถูกโยนจมลงสู่หุบเหวอันไร้ก้นบึ้ง
“แท้จริงแล้วมันกลับกลายเป็นเช่นนี้ … ”
กู่ฉิงซานบ่นงึมงำด้วยความขมขื่น
ผู้อาวุโสสูงสุดหวังหงษ์เต๋า ช่างเป็นบุคคลที่โหดร้าย และขี้หวาดระแวงอย่างแท้จริง!
ตามอุปนิสัยของเขา เพื่อให้มั่นใจว่าจะไม่เกิดการทรยศขึ้น ในยามที่เขาฝังแมลงมารลงในกายของเซ่าหวูชุ่ย เขาจักต้องบอกเล่าถึงความจริงนี้แก่อีกฝ่ายไปด้วยอย่างแน่นอน!
‘ชีวิตของเขาจะเชื่อมต่อกันกับคุณ เมื่อใดก็ตามที่คุณตกตาย อีกคนหนึ่งก็จะตกตายลงตามไปด้วย’
ความหมายก็คือ หากหวังหงษ์เต๋าตาย เซ่าหวูชุ่ยก็ต้องตายไปด้วยกันพร้อมกับเขา
ซึ่งนั่นหมายความว่า ตราบใดที่เซ่าหวูชุ่ยไม่ต้องการจะตาย เขาก็ไม่สามารถต่อต้าน การควบคุมของหวังหงษ์เต๋าได้!
ว่าแต่ทำไมกัน? หากเป็นเช่นนั้นแล้วทำไมเซ่าหวูชุ่ยจึงได้ร่วมมือกับเย่หยิงเหมยล่ะ? ทำไมเขาต้องทำถึงขั้นหลอมสมบัติมนตราขึ้นเพื่อที่จะจัดการกับหวังหงษ์เต๋าด้วย?
แล้วทำไมในตอนที่ฉีหยานกล่าวเรื่องราวเกี่ยวกับโลกใหม่ออกมา และบอกว่าตัวเองต้องการที่จะกำจัดหวังหงษ์เต๋า เซ่าหวูชุ่ยถึงได้แสดงท่าทีสนับสนุนออกมา?
กู่ฉิงซานวางใบหยกลง และเริ่มเค้นสมองขบคิดอย่างรวดเร็ว
เมื่อตนได้ลองขบคิดและพิจารณาอย่างถี่ถ้วนเกี่ยวกับสถานการณ์นี้ กู่ฉิงซานก็ค่อยๆ เริ่มที่จะปะติดปะต่อเรื่องราวได้มากยิ่งขึ้น
กล่าวได้ว่าในบรรดาสองปรมาจารย์ตำหนัก บุคคลที่ต้องการจะแก้แค้นหวังหงษ์เต๋า แท้จริงแล้วมีเพียงเย่หยิงเหมย เพียงคนเดียวเท่านั้น
ขณะที่เซ่าหวูชุ่ย … ตั้งแต่ต้นจนจบ มันก็แค่เออออไปตามน้ำก็เท่านั้นเอง!
หรืออีกความหมายนึงก็คือ เซ่าหวูชุ่ยมันกำลังเล่นละครตบตาอยู่!!!
ส่วนการที่เซ่าหวูชุ่ยไม่คิดจะต่อต้านหรือคัดค้านใดๆ เกี่ยวกับความคิดของฉีหยานนั้น มันเป็นเพราะว่าเขากำลังอยู่ต่อหน้าเย่หยิงเหมย
แม้ส่วนหนึ่งจะเป็นเพราะฉีหยานมีโลกใบใหม่อยู่ในกำมือ แต่ใจความสำคัญก็คือ ฉีหยานมีความคิดริเริ่มที่จะสังหารหวังหงษ์เต๋าต่างหาก! ซึ่งความคิดดังกล่าวนี้มันบังเอิญไปสอดคล้องกับ ความปรารถนาของเย่หยิงเหมยพอดิบพอดีนั่นเอง!
ในช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมา เย่หยิงเหมยเองก็ได้วางแผนดังกล่าวกับเซ่าหวูชุ่ย เพื่อตระเตรียมการ ที่จะสังหารหวังหงษ์เต๋าอยู่เหมือนกัน
ดังนั้นแล้ว หากเซ่าหวูชุ่ยคัดค้านฉีหยาน การกระทำเช่นนั้นก็จะเท่ากับว่าเป็นการเปิดโปง ความคิดที่แท้จริงของตนเอง
และเย่หยิงเหมยเองก็หาใช่คนโง่ไม่ หากเกิดกรณีนั้นขึ้น เธอก็จะตระหนักได้ทันทีว่าแท้จริงแล้ว หลายปีที่ผ่านมาเซ่าหวูชุ่ยหลอกลวงเธอมาโดยตลอด!
บางทีหากฉีหยานยื่นข้อเสนอให้แก่เขาเฉพาะในเรื่องของโลกใหม่ เซ่าหวูชุ่ยอาจจะร่วมมือกับเขา อย่างเต็มใจและจริงใจก็เป็นได้
แต่มันดันเชื่อมโยงไปถึงเรื่องที่ต้องสังหารหวังหงษ์เต๋าด้วยเนี่ยสิ …
หากเป็นในเรื่องนี้ ต่อให้เซ่าหวูชุ่ยถูกบังคับก็ตามที แต่ตนก็ไม่เต็มใจที่จะให้หวังหงษ์เต๋าตายอยู่ดี
เพราะในกรณีนั้น เขาก็จะต้องตายไปด้วย
ดังนั้น เมื่อฉีหยานให้คำมั่นสาบานว่าจะสังหารหวังหงษ์เต๋า ในชั่ววินาทีนั้นเซ่าหวูชุ่ยก็เลือก ที่จะยืนอยู่ข้างเดียวกันกับหวังหงษ์เต๋าเรียบร้อยแล้ว!
และเซ่าหวูชุ่ยจักต้องบอกเรื่องราวทั้งหมดนี้แก่หวังหงษ์เต๋าอย่างแน่นอน
เมื่อหวังหงษ์เต๋ากลับมา อีกฝ่ายก็จะเร่งรุดมาลงมือสังหารฉีหยานอย่างรวดเร็ว!
สำหรับในเรื่องที่เซ่าหวูชุ่ยได้ทำการร่วมมือกับเย่หยิงเหมยในตลอดหลายปีที่ผ่านมา เกรงว่าบางทีนี่อาจจะเป็นความตั้งใจของหวังหงษ์เต๋าอยู่แล้วก็เป็นได้
คอยจับตาดูศิษย์หญิงที่เฝ้าเพียรพยายามอย่างหนัก ดิ้นรนอย่างเอาเป็นเอาตายเพื่อหมายจะแก้แค้นตน ทั้งๆ ที่มิล่วงรู้เลยว่าตลอดเวลา เธอกำลังวนอยู่ในฝ่ามือของคนที่คิดจะแก้แค้น … บางทีการคอยรับชมเรื่องราวนี้ ก็อาจจะเป็นความสุขอย่างหนึ่งของหวังหงษ์เต๋าก็เป็นได้
หลังจากที่ปะติดปะต่อเรื่องราวเหล่านี้เข้าด้วยกัน กู่ฉิงซานก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจหนักหน่วงออกมา
“นายน้อย เกิดอันใดขึ้นกระนั้นหรือ?” ฉานนู่เดินเข้ามา และเอ่ยถามด้วยความห่วงใย
“มีเรื่องอันใดก็ว่ามาเถอะ ตัวข้ากับว่านเอ๋อสามารถฟื้นฟูพื้นฐานวรยุทธให้กลับคืนดังเดิมได้แล้ว เวลานี้พวกเราย่อมสามารถช่วยเหลือเจ้าได้อย่างแน่นอน” ฉินรั่วกล่าว
“ใช่แล้ว ใช่แล้ว!” ว่านเอ๋อเอ่ยเสริม
กู่ฉิงซานจ้องมองพวกเธอ
ขณะที่ทั้งสามพยักหน้าพร้อมกัน
กู่ฉิงซานส่ายหัวออกมา ก่อนจะเริ่มอธิบายด้วยรอยยิ้มอันขมขื่น “ก็ไม่มีอะไรมากนักหรอก เพียงแต่เดิมทีแล้วข้าหลงคิดว่าตนแสดงละครได้ดีเป็นหนึ่งไม่มีสอง แต่ตอนนี้แท้จริงแล้วดูเหมือนว่าจะมีผู้ที่แสดงได้ดีกว่าข้าเสียอีก”
“เจ้าหมายความว่าอย่างไร?” ฉินรั่วเอ่ยถามออกมา
“ก็หมายความว่า อีกไม่นาน หวังหงษ์เต๋ากำลังจะได้ล่วงรู้ถึงเรื่องราวทั้งหมดที่เพิ่งเกิดขึ้นในนิกายน่ะสิ” กู่ฉิงซานกล่าว
พอได้ฟัง สามสาวก็บังเกิดความตึงเครียดขึ้นมาทันที
“มันเป็นไปได้อย่างไร? เหตุใดเขาจึงสามารถล่วงรู้ได้กัน?” ฉินรั่วเอ่ยถามด้วยความสับสน
กู่ฉิงซานถอนหายใจออกมา
“ก็เปรียบดั่งประโยคที่ว่า ยามเมื่อราชาจากอาณาจักรไปทำสงคราม เขาย่อมจะทิ้งเงาของตนเอาไว้นั่นแล และข้าเองก็เกือบจะตกหลุมพรางของเงาที่เขาทิ้งเอาไว้เสียแล้ว เกือบไปแล้วจริงๆ …”
…………………………………..........