ตอนที่ 444 ความลี้ลับของทุกสรรพวัตถุ
“เจ้าน่ะหรือจะจัดการกับเขา?”
สองปรมาจารย์ตำหนักเอ่ยเป็นเสียงเดียวกัน
“ฉีหยาน แม้ว่าหวังหงส์เต๋าจะได้รับบาดเจ็บรุนแรง แต่เจ้าก็ยังมิใช่คู่ต่อสู้ของเขาอยู่ดี” เซ่าหวูชุ่ยอดไม่ได้ที่จะกล่าวออกมา
“ข้ารู้ แต่ตอนนี้ พวกเรามีเพียงหนทางเดียวเท่านั้น” กู่ฉิงซานกล่าว
“เจ้าต้องการที่จะวางกับดักเขา…เจ้ามิทราบหรือ ว่าตัวหวังหงส์เต๋าเองก็เป็นผู้ที่เชี่ยวชาญในเรื่องนี้มากเช่นกัน เขานับว่าเป็นมือฉมังในสายนี้เลยด้วยซ้ำ…ดูอย่างข้าและสหายเซ่าสิ” เย่หยิงเหมยกล่าว
“มันยังมีหนทางอื่นอยู่อีกหรือ?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม “สถานการณ์ปัจจุบันนี้หากมิใช่เขาตาย ก็คงเป็นข้าที่พินาศ ข้าคงทำอะไรอื่นไม่ได้นอกจากทุ่มสุดตัว”
“แบบนั้นไม่ดีแน่ เจ้าลองทบทวนดูดีๆ อีกครั้งเถอะ” เซ่าหวูชุ่ยส่ายหัวครั้งแล้วครั้งเล่า
“ข้าขอหารือกับสหายเซ่าก่อน ฉีหยาน เจ้ารอสักครู่” เย่หยิงเหมยกล่าว
ว่าแล้วเธอก็หันมาสบตากับเซ่าหวูชุ่ย จ้องมองกันและกัน สนทนาแลกเปลี่ยนโดยใช้จิตสัมผัสเทวะ
เขาและเธอริเริ่มที่จะช่วยกันเค้นความคิด ค้นหาหนทางที่จะจัดการกับอาจารย์ของตนเอง
กู่ฉิงซานเมื่อเห็นเหตุการณ์นี้ เขาก็หุบปากลง
เขายกเอาถ้วยชาขึ้นมา และจิบมันอย่างช้าๆ
สถานการณ์ในปัจจุบันก็คือ ผู้นำฉีรั่วหยาและผู้อาวุโสสูงสุดหวังหงส์เต๋ายังไม่ได้กลับมา
ภายในนิกายกวงหยางจึงเหลืออยู่แค่สองผู้ฝึกยุทธขีดสุดความว่างเปล่า นั่นคือปรมาจารย์ตำหนักเซ่าและปรมาจารย์ตำหนักเย่ แต่บัดนี้ทั้งสองก็ได้เบนเข็มมาอยู่ฝ่ายฉีหยานเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
อันที่จริงตั้งแต่แรกเริ่ม สำหรับกู่ฉิงซานแล้ว ก็เป็นปรมาจารย์ตำหนักทั้งสองคนนี้นี่แหละที่เขารู้สึกว่ากำลังคุกคามชีวิตตนเองมากที่สุด
แถมทั้งสองยังเป็นศิษย์ของหวังหงส์เต๋าอีก
พอได้ย้อนคิดถึงเรื่องราวอันสลับซับซ้อน พลิกผันไปมานี่แล้ว…เขากลับรู้สึกว่ามันช่างน่าขันเสียจริง
อาวุโสสูงสุดไปสังหารผู้นำ
ขณะที่ลูกศิษย์ทรยศอาจารย์
ในหัวใจของผู้คนในโลกใบนี้ ช่างชั่วร้ายราวกับปีศาจโดยแท้
พวกเขาไม่ได้มีเจตนาดีต่อผู้อื่นเลยสักนิด
หากหวังหงส์เต๋าได้รับศิษย์ฝึกหัดที่ดีมา แล้วมอบความรักให้กับพวกเขาอย่างแท้จริง ในช่วงเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อ อันสำคัญเยี่ยงนี้ ต่อให้ถูกอีกฝ่ายยั่วยวนด้วยโลกใบใหม่บางทีสองปรมาจารย์ตำหนักก็อาจจะยังคงเลือกยืนอยู่ข้าง
หวังหงส์เต๋าก็ได้
อย่างไรก็ตาม หวังหงส์เต๋ามีนิสัยขี้ระแวงเป็นธรรมชาติ เขาบังเกิดความคิดชั่วร้าย และต้องการที่จะควบคุม สาวกของตนให้อยู่ใต้อายัดโดยสมบูรณ์
ดังนั้นบนตัวของศิษย์ทั้งสอง หวังหงส์เต๋าจึงได้ใช้วิธีการที่โหดร้ายที่สุด
วิธีการดังกล่าวนี้ แน่นอนว่าย่อมสามารถทำให้สองศิษย์ไม่กล้าคิดจะลุกฮือขึ้นต่อต้านได้
แต่ก็นั่นล่ะนะ เมื่อเรื่องราวได้มาถึงช่วงเวลาสำคัญ ทุกอย่างก็มีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนแปลงไปได้ตลอดเวลา
แถมตอนนี้หวังหงส์เต๋าก็ยังไม่ได้อยู่ในนิกายอีก
สองศิษย์หัวแก้วหัวแหวนจึงบังเกิดความไม่ซื่อสัตย์ขึ้น โดยคำยุยงปลุกปั่นของกู่ฉิงซาน ที่ได้บอกข้อมูลเกี่ยวกับโลกใหม่ และพวกเขาก็ได้เลือกที่จะทรยศหวังหงส์เต๋าในจุดนี้ทันที
เวลานี้ ในจิตใจของพวกเขามีเพียงแค่ความกระหายที่ต้องการจะกำจัดอาจารย์ตนเท่านั้น
กู่ฉิงซานยังคงยกชาดื่มต่อไป และเริ่มทบทวนถึงสถานการณ์ทั้งหมดอีกครั้ง
กล่าวได้ว่าอย่างน้อย เฉพาะในช่วงเวลานี้ เขาก็ไม่จำเป็นที่จะต้องมามัวพะวงเกี่ยวกับชีวิตและความตายของตนเองอีกแล้ว
หมากตัวต่อไป ก็คือการสมคบคิดว่าจะทำอย่างไรดีจึงจะสามารถสังหารหวังหงส์เต๋าได้
ขอบเขตลมปราณจิต...
เพียงแค่นึกถึงมัน ในสมองของเขาก็แทบไม่อาจหาหนทางออกได้เลย
กู่ฉิงซานยังคงยกชาขึ้นจิบอย่างช้าๆ
ขณะที่หน้ากากสตรีแห่งรากษส ยังคงวางอยู่บนโต๊ะน้ำชา
สถานการณ์ในช่วงเวลานี้นับว่าตึงเครียดมาก ในทุกๆ คำกล่าวล้วนเป็นเรื่องเกี่ยวกับชีวิตและความตาย ดังนั้นในช่วงก่อนหน้านี้ เขาจึงไม่ได้ให้ความสนใจใดๆ กับหน้ากากใบนี้มากนัก
อย่างไรก็ตาม แม้นี่คือช่วงเวลาว่างเล็กๆ น้อยๆ ที่กู่ฉิงซานพอจะมีเวลาได้ผ่อนคลาย แต่แท้จริงแล้วในหัวใจของเขากลับบังเกิดความรู้สึกกังวลใจขึ้นมาอย่างน่าฉงน
ในปัจจุบัน ลั่วชาเฟิงคือนิกายใหญ่เพียงหนึ่งเดียวเท่านั้นที่ยังมิได้หลบลี้หนีไป
แล้วสตรีแห่งรากษส คนที่เป็นถึงผู้นำนิกาย กลับดันมามอบหน้ากากใบนี้ให้กับตนเอง
ความหมายของการกระทำของเธอคืออะไรกันแน่?
หากในหัวใจของสตรีแห่งรากษสมีฉีหยานอยู่จริงๆ เรื่องนี้มันคงทำให้ผู้คนพากันหัวเราะจนฟันร่วงเป็นแน่
บอกตรงๆ เลยว่า กระทั่งตัวกู่ฉิงซานเองก็ไม่เชื่อเหมือนกัน
ดังนั้น หน้ากากชิ้นนี้ จะต้องมีความนัยบางอย่างแฝงเอาไว้อย่างแน่นอน
และช่วงเวลานี้ อสูรวิญญาณของสตรีแห่งรากษส จิ้งจอกขาวก็มิได้อยู่ที่นี่ ดังนั้นคงถึงเวลาแล้วที่ตนจะต้องทำการศึกษาหน้ากากนี้อย่างจริงจัง
ขณะขบคิด กู่ฉิงซานก็อดไม่ได้ที่จะหยิบหน้ากากสตรีแห่งรากษสขึ้นมา
และแทบจะทันที ในวิสัยทัศน์ของเขา หน้าต่างระบบเทพสงครามก็ได้กะพริบไหวทันใด
กู่ฉิงซานตกใจในทีแรก และอดไม่ได้ที่จะวางหน้ากากลง
แต่ในวินาทีต่อมา เขาก็ยกหน้ากากที่ว่าขึ้นมาอีกครั้ง ยื่นมันขึ้นมาตรงหน้า ประสานตาต่อตาและเริ่มแสดงออกถึงความสุขยามเมื่อได้มองมัน
ตลอดทั้งกระบวนการก็ไม่มีอะไรที่ผิดปกติ ตัวหน้ากากไร้ซึ่งการเคลื่อนไหวใดๆ ไม่มีแม้กระทั่งการสั่นไหวเพียงเล็กน้อย
กู่ฉิงซานจ้องมองหน้ากากอย่างพิถีพิถัน ทำท่าทีราวกับว่ากำลังชื่นชมความงดงามของสตรีแห่งรากษสอยู่
ทว่าแท้จริงแล้ว สายตาเขากลับมุ่งความสนใจไปกับหน้าต่างระบบเทพสงคราม
แท้จริงแล้วกลับเห็นแค่เพียงในส่วนล่างของหน้าต่างระบบเทพสงคราม ‘วิชายุทธเทพสงคราม’ ที่สาดแสงสีเลือดออกมา
บรรทัดแสงตัวอักษรสีเลือดขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นตรงใจกลางของหน้าต่างระบบ
“คุณได้ค้นพบหน้ากากของสตรีแห่งรากษส”
“คุณได้รับใบหน้าของสตรีแห่งรากษส”
“ใบหน้าของสตรีแห่งรากษสเป็น ‘วิชาลี้ลับ’และ ‘สิ่งที่แปลกประหลาดยิ่ง’ , เริ่มทำการแสดงรายละเอียดของวิชาจำเพาะ มีดังต่อไปนี้”
“วิชาความลี้ลับของทุกสรรพวัตถุ”
“ความลี้ลับของทุกสรรพวัตถุ คุณจะสามารถเรียนรู้ที่จะแยกแยะถึงองค์ประกอบ ขั้นพื้นฐานที่สุดของทุกสิ่งอย่างได้ และจะได้รับความสามารถในการเปลี่ยนตนเองให้เป็นสสารชนิดนั้นๆ ”
“คำอธิบาย คุณจะต้องได้รับส่วนประกอบของวัตถุดังกล่าวมาเสียก่อน จากนั้นจึงทำการแยกแยกแยะถึงคุณสมบัติขององค์ประกอบและกฎเกณฑ์ เพื่อที่จะปลอมตัวอำพรางเป็นวัตถุดังกล่าว”
“หมายเหตุ คำว่าทุกสิ่งอย่างในที่นี้ หมายความว่าสิ่งนั้นจะต้องเป็นวัตถุที่ไม่มีจิตวิญญาณ”
“คำเตือน นี่มิใช่สิ่งประดิษฐ์ที่แท้จริง ดังนั้นคุณจึงไม่สามารถที่จะได้รับวิชาลี้ลับจากมันได้”
บังเกิดความเงียบงันขึ้นบนแท่นเวที กู่ฉิงซานรู้สึกราวกับว่ามีเสียงสายฟ้าฟาดลงเข้ากลางเบ้าหูของตัวเอง
กู่ฉิงซานพยายามอย่างยิ่งที่จะรักษาความสงบบนใบหน้าเอาไว้
เขาค่อยๆ วางหน้ากากลง ยกถ้วยชาขึ้นมาอีกครั้ง และซดน้ำชาที่เหลือเพียงน้อยนิดในแก้วหมดลงในอึกเดียว
การเคลื่อนไหวของเขามิได้แตกต่างจากเดิมเลย แต่มีเพียงรอยยิ้มบนใบหน้าของเขาเท่านั้นที่ผุดขึ้นมา
การแสดงออกของเขาราวกับว่าเพิ่งเสร็จสิ้นจากการเพลิดเพลินไปกับการรับชมถึงความงดงามอันหาที่ใดเปรียบ
หน้ากากของสตรีแห่งรากษสได้เปิดเผยให้เห็นถึงความงดงามของเธอโดยสมบูรณ์
“พวกเจ้าได้ความว่าอย่างไรบ้าง?” กู่ฉิงซานเอ่ยปากถามปรมาจารย์ตำหนักทั้งสอง
“รอก่อน” เย่หยิงเหมยกล่าว
เธอยังคงอยู่ในระหว่างการแลกเปลี่ยนจิตสัมผัสเทวะกับเซ่าหวูชุ่ย
ฉินรั่วกับว่านเอ๋อได้ออกไปแล้ว ดังนั้นกู่ฉิงซานจึงต้องเป็นผู้ไปหยิบกาน้ำชามาด้วยตนเอง และรินมันลงบนถ้วย
เขายกถ้วยชาที่กำลังร้อนๆ และปริ่มไปด้วยชาวิญญาณชั้นดีขึ้นมา
หมอกละอองน้ำพวยพุ่งขึ้นจากถ้วย และมันช่วยปกคลุมบดบังใบหน้าของเขาเล็กน้อย
เมื่อมาถึงเวลานี้ สีหน้าที่ใช้เล่นละครอยู่ตลอดเวลาของกู่ฉิงซานจึงได้คลายลง
ในความเป็นจริงแล้ว บนโลกล่องเวหาใบนี้ จู่ๆ เขากลับได้ค้นพบกับวิชาลี้ลับอีกอย่างหนึ่งขึ้นมาอย่างกะทันหัน!
นี่มันเป็นสิ่งที่ตัวเขามิเคยได้คาดคิดมาก่อนเลย!
ร่างใหญ่อายุหนึ่งแสนปี ได้สอน ความลี้ลับของทุกสรรพชีวิตให้แก่เขา
และความลี้ลับของทุก ‘สรรพชีวิต’ นี้ มันจะช่วยให้ตนสามารถแปรสภาพเป็นสิ่งมีชีวิตอื่นใดก็ได้ที่ ‘มีจิตวิญญาณ’
อย่างไรก็ตาม เมื่อเขาได้เข้ามายังโลกใบใหม่นี้ จู่ๆ ตนก็ได้พบเจอกับ ความลี้ลับของทุก ‘สรรพวัตถุ’ อย่างกะทันหัน และการแสดงผลก็มันก็คือ จะช่วยให้ผู้ใช้สามารถแปรสภาพเป็นวัตถุอื่นใดก็ได้ที่ ‘ไม่มีจิตวิญญาณ’
และวิชายุทธเทพสงครามก็ได้ย้ำเตือนให้เขาระวังเกี่ยวกับเจ้าสิ่งนี้
“คำเตือน นี่มิใช่สิ่งประดิษฐ์ที่แท้จริง ดังนั้นคุณจึงไม่สามารถที่จะได้รับความลี้ลับจากมันได้”
กล่าวได้ว่า ในอีกความหมายหนึ่งก็คือ
หน้ากากหยกวิญญาณที่บางเบาราวกับปีกจักจั่นใบนี้ แท้จริงแล้วก็คือสตรีแห่งรากษสที่ปลอมตัวมา!
เธอได้ใช้ความลี้ลับของทุกสรรพวัตถุ แปรสภาพตนเองให้กลายเป็นหน้ากากหยกวิญญาณ และถูกส่งมอบให้เก็บไว้ข้างกายของฉีหยาน!
เธอต้องการที่จะล่วงรู้ถึงเรื่องลับภายในที่เกิดขึ้นกับนิกายกวงหยาง
และเธอก็ได้ประสบความสำเร็จแล้ว!
เธอไม่เพียงได้ยินถึงเรื่องราวการต่อสู้ระหว่างผู้อาวุโสสูงสุดผู้นำนิกาย แต่ยังรู้ถึงการร่วมมือกัน ของสามปรมาจารย์ตำหนักและการดำรงอยู่ของสองโลกใหม่ ทั้งหมดได้ผ่านหูเธอไปจนหมดสิ้น
สตรีแห่งรากษสได้ยินทุกอย่างเลย!
กู่ฉิงซานพยายามยับยั้งอารมณ์ที่กำลังกระชากไปมาอย่างต่อเนื่อง บนใบหน้าของเขาแสดงออก ถึงความรุนแรงเล็กน้อย
“ขอขัดจังหวะหน่อยนะ”
เขาหันไปกล่าวกับทางสองปรมาจารย์ตำหนัก
“ก่อนที่พวกเราจะหารือกันต่อ ข้ามีบางสิ่งที่ต้องการจะรบกวนปรมาจารย์ตำหนักเซ่า” เขาเอ่ยต่อ
“มีเรื่องอะไรอย่างนั้นหรือ” เซ่าหวูชุ่ยเอ่ยถาม
“ข้าอยากจะให้ศิษย์ข้าข้ามผ่านโทษทัณฑ์ขึ้นเป็นประทับเทพในทันที สหายเซ่า เจ้าเป็นผู้รับผิดชอบค่ายกลทั้งหมดในนิกายนี่นา ข้าจึงต้องการให้เจ้าช่วยอำนวยความสะดวกให้สักเล็กน้อย”
สีหน้าของเซ่าหวูชุ่ยผ่อนคลายลงทันใด ปากเอ่ยกล่าว “เรื่องนี้ไม่นับว่ายากเย็นอะไร”
ว่าแล้วเขาก็โยนตราในมือออกไป
ตราที่ว่าลอยไปและมาหยุดอยู่เบื้องหน้าของ ‘กู่ฉิงซาน’
“ขอบเขตประทับเทพอย่างนั้นสินะ ขอให้ข้าได้ขบคิดเกี่ยวกับมันสักครู่ อืมมม เจ้าคงต้องไปใช้ค่ายกลรูนทมิฬ และค่ายกลที่ว่ามันจะสามารถถูกเปิดใช้งานได้ด้วยตรานั่น เมื่อเปิดใช้งานแล้ว ตัวเจ้าก็จะถูกส่งไปยัง กระแสมิติอันเชี่ยวกราก แล้วถึงเวลานั้นศิษย์เจ้าก็สามารถทำการก้าวข้ามผ่านโทษทัณฑ์ได้ตามสบาย”
กู่ฉิงซานเอ่ยรับด้วยรอยยิ้ม “ข้าทราบถึงเรื่องนี้ดี แต่ศิษย์ข้าน่ะมักจะเป็นตัวชอบสร้างปัญหา เพราะอย่างไรก็ดี เขาน่ะเป็นผู้ฝึกดาบ บางครั้งจึงชอบทำอะไรเสี่ยงๆ ไม่ยั้งคิดไปบ้าง ข้าละอดเป็นห่วงเขาไม่ได้จริงๆ ”
“แบบนั้นไม่ดีแน่ มันมิใช่เรื่องน่าตลกเลย” เซ่าหวูชุ่ยกล่าวด้วยความเคร่งขรึม
เมื่อคิดถึง ‘กู่ฉิงซาน’ ที่เป็นเมล็ดพันธุ์ชั้นเลิศแห่งวิถีดาบ ในหัวใจของเขาก็บังเกิดความเอ็นดูในพรสวรรค์ของอีกฝ่ายขึ้นมา
ฉีหยานยังมิได้รับเขาเป็นศิษย์อย่างเป็นทางการ และหากมันมิได้อธิบายสิ่งต่างๆ ให้กับ ‘กู่ฉิงซาน’ เข้าใจอย่างถ่องแท้แล้วล่ะก็ บางทีในระหว่างการก้าวข้ามโทษทัณฑ์ มันอาจจะเกิดอะไรผิดพลาดขึ้นมาก็ได้
เมื่อคิดถึงจุดนี้ เซ่าหวุชุ่ยก็กล่าวออกมาว่า “ฉีหยาน เจ้ายังมิได้ยอมรับเขาเป็นศิษย์อย่างเป็นทางการเลย และตัวเจ้าเองก็คงจะไม่มีเวลามาสอนศิษย์หรอก มันจะดีกว่าไหม หากมอบกู่ฉิงซานให้ข้า แล้วข้าจะสอนสั่งเทคนิคดาบของนิกายให้แก่เขาเอง”
“เจ้าไปจัดการมารที่อยู่ภายใต้การควบคุมของหวังหงส์เต๋าให้ได้ก่อนเถอะ แล้วค่อยมาวุ่นวายเรื่องของคนอื่น” กู่ฉิงซานกล่าวอย่างแผ่วเบา
เซ่าหวูชุ่ยพูดไม่ออกทันที
เมื่อเห็นแบบนั้นเย่หยิงเหมยก็เริ่มที่จะไกล่เกลี่ยว่า “มิติที่ว่างเปล่ามันช่างกว้างใหญ่นัก ชนิดที่ว่าไม่สามารถสำรวจขอบเขตของมันได้โดยสมบูรณ์ ขณะที่หากเปิดใช้ค่ายกล มันก็จะทำงานโดยการดึงดูดเขาเข้าไปในพื้นที่แบบสุ่ม หากให้ไปโดยลำพัง ก็คงยากที่จะกลับมาได้ด้วยตนเอง”
“ดังนั้นถ้าหากจะให้ทุกอย่างราบรื่น ให้ตราแก่เขาเพียงอย่างเดียวมันยังไม่พอ แต่เจ้าจะต้องเข้าไปกับเขาด้วย” เธอกระตุ้นเตือน
“แน่นอน เรื่องนั้นข้ารู้หรอกน่า” กู่ฉิงซานรับเอาตรามา
เขาเปลี่ยนหัวข้อสนทนาทันทีและเอ่ยถามว่า “ในเมื่อเจ้ามีเวลาพูดกับข้าแล้วเช่นนี้ นั่นก็หมายความว่าเจ้า ค้นพบวิธีแก้ปัญหาแล้วใช่หรือไม่?
เย่หยิงเหมยกล่าว “แท้จริงแล้วเราก็พอจะคิดถึงวิธีที่พอจะสามารถจัดการกับหวังหงส์เต๋าได้อยู่บ้าง”
“มันคือวิธีใด?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม
เขามองไปที่เย่หยิงเหมย ทว่าในหางตาของเขาก็ยังคงให้ความสนใจอยู่กับ หน้ากากหยกวิญญาณของสตรีแห่งรากษสอยู่
หน้ากากที่ถูกวางไว้อยู่บนโต๊ะอย่างเงียบๆ แม้จะมันนิ่งงันไม่ไหวติง…
แต่สตรีแห่งรากษสอยู่ที่นี่เสมอมา...
และเธอกำลังตั้งใจฟังอย่างจริงจัง เกี่ยวกับแผนการสมคบคิดของสามปรมาจารย์ตำหนักแห่งนิกายกวงหยาง!
…………………………………..........