ตอนที่ 371 คำเตือน
กู่ฉิงซานเอนหลังพิงโซฟา ขณะที่ในมือถือแก้วเหล้าฤทธิ์แรงและค่อยๆ แกว่งมันเบาๆ อย่างช้าๆ
“ตราบใดที่โลกผสานรวมเข้าด้วยกัน เรื่องเกี่ยวกับทรัพยากรฝึกยุทธก็จะไม่เป็นปัญหาอีกต่อไป”
“และหกศิลป์ก็จะกลายมาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของผู้คนอย่างรวดเร็ว”
“ส่วนปัญหาในด้านความเป็นธรรมระหว่างโลกต่อโลก…”
เขาครุ่นคิดเกี่ยวกับมันอยู่ครู่หนึ่งและกล่าวว่า “ด้วยสถานะของฉัน ฉันขอรับประกันเลยว่าในอนาคตโลกทุกใบจะได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมต่อกัน”
“เอ…แล้วฉันจะให้คนจากโลกควรจะทำอย่างไรดีนะ? ให้เข้าร่วมกับนิกายดีหรือเปล่า? หรือจะให้รับใช้ประเทศดี? หรือจะปล่อยให้เป็นผู้ฝึกยุทธไร้สังกัดดี?”
“ให้ทำตามใจปรารถนาคงจะดีกว่า เพราะทุกคนย่อมมีสิทธิ์ที่จะเลือก”
เหลียวฮังพอได้ฟังก็ตะลึงงันไป
เนื่องจากเขาเป็นชายที่ฉลาดหลักแหลมมากคนหนึ่ง ดังนั้นแต่ละคำที่กู่ฉิงซานเปล่งออกมา เขาจึงล้วนคิดวิเคราะห์มันอย่างถี่ถ้วน
นั่นคือเหตุผลที่เหลียวฮังตะลึงและไม่อาจทำใจเชื่อไปได้สักพักหนึ่ง
พูดมาขนาดนี้ แสดงว่ากู่ฉิงซานต้องเคยไปอีกโลกหนึ่งมาก่อนแล้วอย่างแน่นอน!
แถมยังมีสถานะที่โดดเด่นในโลกใบนั้นอีกด้วย!
ว่าแต่เขารู้วิธีการผสานรวมระหว่างโลกได้อย่างไร?
และเขาคงจะเตรียมพร้อมที่จะผสานรวมระหว่างสองโลกให้เป็นหนึ่งเดียวใช่หรือไม่!?
ด้วยลักษณะและอุปนิสัยของกู่ฉิงซาน และดูจากคำพูดที่มีสิทธิ์มีเสียงของเขาในปัจจุบันนี้ เหลียวฮังจึงสามารถตัดสินได้ทันทีว่าอีกฝ่ายหนึ่งกำลังพูดความจริง!
เหลียวฮังเอ่ยถามอย่างไม่อยากจะเชื่อ “สามสี่โลก? แกกำลังหมายความว่ายังมีโลกใบอื่นอยู่อีกใช่ไหม?”
กู่ฉิงซานหัวเราะ “ก็การที่ฉันมีวิธีการและเทคนิคฝึกยุทธมากมายขนาดนี้ คุณคงจะไม่ได้คิดว่ามันผุดออกมาจากสุญญากาศหรอกนะใช่ไหม”
เหลียวฮังกับซางหยิงฮ่าวพอได้ฟัง ก็คิดตามว่านั่นมันก็จริง แต่ก็ยังทำใจยอมรับไม่ได้อยู่ดี
แน่นอน เพราะทุกสิ่งที่กู่ฉิงซานนำออกมานั้นมันดูเป็นระบบระเบียบจนเกินไป
จากมุมมองและความรู้ของพวกเขา ส่งผลให้ทั้งสองสามารถเข้าใจได้โดยธรรมชาติว่า เทคนิคฝึกยุทธมากมายเหล่านี้ หากปราศจากซึ่งการพัฒนาอย่างน้อยนับร้อยหรือนับพันปี มันก็แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะรังสรรค์วิธีการฝึกฝนที่สมบูรณ์แบบ และเป็นระบบระเบียบขนาดนี้ออกมาได้
กล่าวได้ว่าคงไม่มีใครสามารถทำสิ่งนี้ได้นอกจากองค์เง็กเซียน!
และพวกเขาก็ค่อนข้างมั่นใจว่ากู่ฉิงซานไม่ใช่เง็กเซียนอย่างแน่นอน
ดังนั้นคำตอบนี้จึงชัดเจนมาก
อย่างไรก็ตาม พวกเขาก็ยังไม่อยากจะเชื่อกับคำตอบนี้อยู่ดี
ตอนนี้ กู่ฉิงซานได้สารภาพความจริงแล้ว มันจึงเป็นไปไม่เลย ที่พวกเขาจะแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องนี้
ซางหยิงฮ่าวเงียบไปนาน จนกระทั่งถึงตอนนี้ที่เขาทนไม่ไหวอีกต่อไป
“ที่พูดมานี่ นายหมายความว่ายังมีอีกโลกหนึ่งเหนือจากโลกของเราอยู่จริงๆ ใช่ไหม?” เขาเอ่ยถาม
“ใช่ แต่มันไม่ใช่แค่อีกโลกหนึ่ง”
“ไม่ใช่แค่อีกโลกหนึ่ง?” ซางหยิงฮ่าวเอ่ยทวนซ้ำ
“ใช่ มันยังมีโลกอื่นอีกมากมาย และฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามีมากขนาดไหน”
กู่ฉิงซานขบคิดและกล่าว “แต่ถ้าจะให้ฉันนับโลกที่รู้จักล่ะก็ เอ่อ...มันก็มีโลกของพวกเรา โลกแห่งผู้ฝึกยุทธ โลกเทวะ แล้วก็โลกที่ฉันกำลังจะได้ไปอีกในไม่ช้า”
“อ๊ะจริงสิ ได้ยินมาว่าโลกที่ฉันกำลังจะได้ไปมันก็กำลังจะถึงจุดจบลงในอีกไม่ช้าแล้วเหมือนกันนี่นา นั่นหมายความว่าผู้คนจำนวนมากในโลกใบนั้นจะต้องหาทางลี้ภัยไปยังโลกอื่นแน่ๆ ฉะนั้นการดำรงอยู่ของโลกอื่นก็น่าจะยังมีอยู่อย่างน้อยอีกหลายใบเลยล่ะ”
ซางหยิงฮ่าวกับเหลียวฮังกลายเป็นโง่งม
เหลียวฮังยกมือขึ้นตบหน้าตัวเองเบาๆ ปากเอ่ยงึมงำซ้ำแล้วซ้ำเล่า “ใจเย็นๆ สิตัวฉัน ใจเย็นๆ ลงก่อนอย่าพึ่งคลั่งไป!”
ทันใดนั้นประตูหน้าก็เปิดออกอย่างกะทันหัน
พร้อมกับเย่เฟย์หยูที่เก็บคู่ปีกกระดูกและเดินเข้ามา
“เฮ้อ เหนื่อยแทบตาย” เขากล่าวพลางทิ้งก้นกระแทกลงกับเบาะโซฟา
“ดูเหมือนว่าจะกลับมาได้อย่างปลอดภัยนะ ว่าแต่ทางด้านทะเลทรายเป็นอย่างไรบ้าง?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม
“ยักษ์แต่ละตัวแข็งแกร่งไม่เลวเลย แถมตำแหน่งสร้างเมืองของพวกมันก็ยอดเยี่ยม ทำเอาฉันต้องใช้เวลาไปพอสมควรเลย” เย่เฟย์หยูบ่นอุบ
เขาเงียบไปสักพัก ก่อนจะเอ่ยถาม “พวกมันก็เป็นประเภทตายไม่เป็นเหมือนกันใช่ไหม?”
“ใช่” กู่ฉิงซานตอบ
“ฉันรับมือกับมันได้ลำบากมากจริงๆ ถ้าคนอื่นๆ ยังไม่สามารถเป็นคู่ต่อสู้ของพวกมันได้ ขอบอกเลยว่าโลกคงจบสิ้นลงแล้วล่ะ” เย่เฟย์หยูปิดตาทั้งสองข้างลง
ซางหยิงฮ่าวกล่าวด้วยความกังวล “แต่ขอแค่ทุกคนสามารถยกระดับได้อย่างว่องไวเหมือนกับซีซวงหยาน พวกเราก็อาจจะรับมือกับนรกได้อยู่นะ”
“ใช่แล้วล่ะ ทว่าถึงแม้จะมีกำไลฝึกยุทธ แต่มนุษย์น่ะพึ่งเริ่มต้นฝึกยุทธอยู่ดี หากต้องการเอาชนะมอนสเตอร์ที่ตายไม่เป็นเหล่านั้น จริงๆ แล้วในตอนนี้ยังไม่สามารถทำได้”
เขามองไปยังหน้าต่างระบบเทพสงคราม
“เวลานับถอยหลังที่กำลังเสริมจากปรภพจะมาถึง ศูนย์หนึ่งจุดศูนย์ห้า”
สิ่งใดกันแน่นะที่จะมาหาพวกเรา?
กู่ฉิงซานเริ่มกระวนกระวายเล็กน้อย
เขาปล่อยจิตสัมผัสเทวะออกมา ส่งผ่านคำพูดไปเอ่ยถามกับภาพพิภพ “ดาบพิภพ ข้าจำได้ว่าครั้งหนึ่งเจ้าเคยกล่าวว่าตนได้หลบซ่อนตัวอยู่ในกระแสความว่างเปล่าอันเชี่ยวกรากเป็นระยะเวลานานใช่หรือไม่”
“ใช่ ครั้งหนึ่งข้าเคยซ่อนตัวอยู่เป็นระยะเวลากว่าหนึ่งหมื่นปี” ดาบพิภพตอบกลับ
“ด้วยระยะเวลาที่ยาวนานถึงขนาดนั้น เจ้าอาจจะได้เคยข้ามผ่านไปยังปรภพมาแล้ว ถูกต้องไหม?”
“เคยแค่คราเดียว แต่มันก็เป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆ และอีกอย่างข้ามิได้ข้ามไปลึกเท่าใดนัก”
“ถ้าอย่างนั้น พอจะบอกได้ไหมว่ามีอะไรอยู่ในส่วนนอกของปรภพ?”
“ส่วนนอกของปรภพเป็นถ้ำน่ะ…ท่ามกลางมิติอันเชี่ยวกราก จะมีถ้ำอันมืดมิดอยู่ และข้าก็ซ่อนตัวอยู่ในถ้ำที่ว่าเป็นระยะเวลาหนึ่ง ทว่ายามที่กำลังจะออกไป ก็ดันได้ยินเสียงกังวานขึ้นมาว่าหากข้ามผ่านถ้ำขนาดใหญ่นี้ไป ก็จะสามารถไปถึงปรภพได้”
ข้อมูลนี้มันแทบจะไม่มีประโยชน์เลย แต่อย่างน้อยมันก็บอกใบ้ถึงทางเข้าข้ามยังปรภพล่ะนะ
ในระหว่างขบคิด จู่ๆ กู่ฉิงซานก็พลันตระหนักถึงปัญหาสำคัญขึ้นมาทันใดว่า
หากกำลังเสริมจากปรภพที่กำลังจะมาถึงมันทรงพลังจริงๆ ถ้าอย่างงั้นที่ปัญหาเกี่ยวกับนรกพวกนี้ก็สมควรจะถูกแก้ไขได้ตั้งแต่ในปรภพแล้วสิ มันจะปล่อยให้นรกมาย่างกรายเข้ามาในโลกได้อย่างไร?
กู่ฉิงซานส่ายหัว และเลิกคิดเรื่องนี้ไปอย่างไว
ลืมมันเถอะ เอาไว้พวกเขาได้มาถึงเสียก่อน ก็ค่อยมาว่าเรื่องนี้กันอีกที
เวลาค่อยๆ ไหลผ่านไปเรื่อยๆ
และหนึ่งชั่วโมงก็ผ่านพ้นไป
ติ๊ง!
เสียงระบบแจ้งเตือนดังขึ้นทันใด
หลากเส้นแสงหิ่งห้อยปรากฏขึ้นบนหน้าต่างระบบเทพสงคราม
“กำลังเสริมจากปรภพกำลังมาถึงในเร็วๆ นี้”
“เนื่องจากความสำเร็จที่ผ่านมาของผู้เล่น ที่สามารถชะลอการแพร่กระจายของนรกเยือกแข็งได้อย่างงดงาม กำลังเสริมจึงจะมาหาคุณก่อนเป็นอันดับแรก”
“ร้องขอให้ผู้เล่นค้นหาสถานที่โล่งกว้าง เพื่อดำเนินการพบปะกับกำลังเสริมจากปรภพก่อนเป็นอันดับแรก”
หลังจากที่อ่านเสร็จ กู่ฉิงซานก็ผุดลุกขึ้นและเดินออกไปข้างนอกทันที
“นั่นนายกำลังจะไปไหนน่ะ?” ซางหยิงฮ่าวเอ่ยถาม
“ไปพบกับใครบางคนที่อาจจะเป็นพันธมิตรใหม่ของพวกเรา นายอยากจะมาด้วยกันไหมล่ะ?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม
“พันธมิตรงั้นเหรอ? ทำไมฉันถึงไม่รู้เลยว่าเราจะมีพันธมิตรใหม่! น่าสนใจ! น่าสนใจไม่เลวเลย ถ้าอย่างงั้นคำตอบมันก็แน่นอนอยู่แล้ว ฉันจะไป!” ซางหยิงฮ่าวลุกขึ้นยืน
เย่เฟย์หยูกับเหลียวฮังก็ดูจะสนใจเช่นกัน
ทั้งสี่จึงเดินทางออกจากวิลล่า
ณ ขณะนี้ สภาพอากาศโดยรอบเริ่มมืดลงแล้ว
ดวงตะวันลับขอบฟ้า เวลาค่ำคืนได้มาถึง
“ว่าแต่พวกเราจะไปพบกับพันธมิตรใหม่ที่ไหนกัน?” ซางหยิงฮ่าวเอ่ยถาม
กู่ฉิงซานหันไปมองรอบๆ
ด้านนอกของวิลล่า มีสถานที่โล่งกว้างตั้งอยู่
มันเป็นสถานที่ ซึ่งกู่ฉิงซานได้พิสูจน์ให้เห็นถึงพลังอำนาจของพลังวิญญาณออกมาเป็นครั้งแรก โดยการสาธิตต่อสู้กับแอนนาเป็นระยะเวลาสั้นๆ
“พวกเราจะรออยู่ในที่โล่งกว้างตรงนี้แหละ” เขากล่าว
หลายคนพยักหน้า บ่งบอกว่าตัวเองเข้าใจ
มันกลับกลายเป็นว่า อีกฝ่ายเลือกที่จะมาเยี่ยมเยือนถึงหน้าประตูบ้านของพวกเขาเอง
และเห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายย่อมมีสถานะไม่เลวเลย มิฉะนั้นกู่ฉิงซานคงไม่ลากพวกเขามาด้วยเพื่อให้ดูเหมือนกับว่ามีคนมารอต้อนรับไม่น้อยเลยแบบนี้
พันธมิตรใหม่คือใครกันนะ?
ขณะที่กำลังสงสัย พวกเขาก็ได้มาถึงใจกลางของพื้นที่โล่งกว้าง
กู่ฉิงซานก้มลงดูหน้าต่างระบบเทพสงคราม
“เหลือเวลาอีกหนึ่งนาที กำลังเสริมก็จะมาถึง”
กู่ฉิงซานหันไปมองทั้งสามคนและกล่าว “วันนี้ฉันได้บอกพวกนายเกี่ยวกับโลกอื่นแล้วก็จริง แต่ว่าฉากต่อไปนี้อาจจะทำลายความรู้ความเข้าใจเดิมของพวกนายไปโดยสิ้นเชิงเลยก็ได้นะ”
อีกสามคนหันมามองหน้ากัน ทั้งหมดเริ่มรู้สึกประหม่า
เหลียวฮังยกมือขึ้นขยี้ตาแล้วกล่าว “วันนี้ฉันว่าตัวเองก็โดนมาหนักไม่น้อยแล้วนา ให้ตายสิ...รู้แบบนี้น่าจะดื่มให้มันเมากว่านี้”
“ว่าแต่ใครกันเหรอที่กำลังจะมาหาพวกเราน่ะ?” เย่เฟย์หยูเอ่ยถามด้วยความสนอกสนใจ
“ฉันก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าอะไรกำลังจะมา แต่โดยสังเขปแล้ว มันสมควรที่จะมาเพื่อช่วยพวกเรา” กู่ฉิงซานกล่าว
บนหน้าต่างระบบเทพสงคราม เวลานับถอยหลังนาทีสุดท้ายได้กลายเป็นศูนย์
“มาแล้ว” กู่ฉิงซานกระตุ้นเตือนคนอื่นๆ
ทั้งหมดรีบหันไปมองรอบๆ
แต่กลับไม่พบอะไรเลย
แต่แล้วจู่ๆ ท่ามกลางท้องฟ้าอันมืดมิด ก็พลันบังเกิดแสงสว่างสาดขึ้นอย่างกะทันหัน
“ข้างบน!” ซางหยิงฮ่าวกล่าวพลางชี้ไม้ชี้มือให้ทุกคนดู
เห็นแค่เพียงม้วนคัมภีร์ขนาดใหญ่ที่สาดแสงปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า
มันลดระดับลงมา และค่อยๆ คลี่ออกต่อหน้ากู่ฉิงซานและคนอื่นๆ อย่างช้าๆ
พื้นผิวของม้วนคัมภีร์เป็นสีเหลืองเล็กน้อย ตามขอบตามมุมก็ชำรุดทรุดโทรม แม้กระทั่งใจกลางม้วนคัมภีร์ก็มีรูสีดำอมเหลืองขนาดเล็กราวกับว่าพึ่งถูกเผาไหม้มา
กล่าวโดยรวมแล้ว ม้วนคัมภีร์นี้ดูราวกับว่าได้ผ่านพ้นช่วงเวลาแห่งความเปลี่ยนแปลงมานานนับหลายปี
มันค่อยๆ คลี่ออกอย่างช้าๆ และทันใดนั้นตัวอักษรสีเลือดขนาดใหญ่สองตัวก็ปรากฏขึ้น
“คำเตือน!”
ทั้งสี่จ้องมองสองตัวอักษรนี้ด้วยสีหน้าขึงขังจริงจัง
และทันทีหลังจากนั้น บรรทัดตัวอักษรอื่นๆ ก็ปรากฏขึ้นตามมา
“ถ้าคุณยังเป็นเด็กน้อยมือใหม่ที่พึ่งก้าวเข้าสู่นรก ก็ขอให้ถือว่าคำเตือนนี้มอบให้แด่คุณ”
“เมื่อใดก็ตามที่คุณเห็นคำเหล่านี้ ชัดเจนว่าคุณมันเป็นขยะ! ขยะที่เสียโอกาสมากมายที่จะเป็นคนดีในชีวิต ในแต่ละวันคุณไม่ทำอะไรดีๆ บ้างเลยหรือไง? ชีวิตของคุณมันช่างว่างเปล่าเหลือเกิน ไม่มีงานอดิเรกอื่นใดทำนอกไปจากสิ่งเลวร้ายเลยหรือ หรือว่าคุณจะเป็นพวกหัวอ่อน คุณเอาแต่คอยฟังคนอื่นๆ แต่ไม่กล้าที่จะเอ่ยถามหรือต่อต้านพวกรุ่นใหญ่หรือหัวหน้าแก๊งใช่ไหม? ชีวิตของคุณมันแย่เกินไป ดังนั้นฉันจะขอถามคุณอีกครั้ง ในชีวิตที่ยาวนานหรือสั้นนี้ของคุณ คุณมันไม่สามารถทำอะไรได้เลยหรือ นอกไปจากสิ่งชั่วร้าย?”
“เอาล่ะ ในเมื่อทำผิด ก็จงเพลิดเพลินไปกับความเจ็บปวดของนรกอันไร้ที่สิ้นสุดนี้เสีย และวันหนึ่งหากคุณได้กลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้ง ได้โปรดอย่าเอาแต่นั่งอยู่เฉยๆ และทิ้งคอมพิวเตอร์ของคุณไปเสีย! โปรดริเริ่มความคิดที่จะออกไปจากห้องด้วยตัวเองเพื่อค้นหาเพื่อนใหม่ ค้นหาโลกกว้าง ค้นหาสิ่งที่คุณปรารถนาและเริ่มที่จะสู้เพื่อมัน จงพิสูจน์สิ! พิสูจน์ว่าชีวิตของคุณมันมีความหมาย! และสาบานว่าจะไม่ใช้มันในทางที่ผิดแบบเดิมอีก! จงอย่าได้โยนตัวเองเข้ามาในอ้อมอกของนรกอีก! เวลานี้ เราได้เตือนคุณแล้วนะ! เอาล่ะตอนนี้ก็จงชดใช้กรรมของคุณในนรกเสีย แล้วอดทนเฝ้ารอจนกว่าการเดินทางครั้งใหม่ของคุณจึงจะเริ่มขึ้นอีกครั้ง!”
ทั้งสี่คนจ้องมองประโยคบนม้วนคัมภีร์ และตกลงสู่ความเงียบ
“ดูนั่นสิ ฉันว่ามันกำลังหมายถึงคุณนะ” ซางหยิงฮ่าวตบแปะๆ ลงบนไหล่ของเหลียวฮัง
…………………………………………….