webnovel

0229 ขั้วโลกเหนือ

ตอนที่ 229 ขั้วโลกเหนือ

เห็นได้ชัดว่านี่มันเป็นสิ่งที่ตัวเขาเป็นคนเตือนตัวเธอเอง แล้วทำไมตอนนี้จู่ๆ เธอถึงมาย้ำมันให้เขาฟังกันล่ะนี่?

ในสมองของกู่ฉิงซานกำลังปั่นความคิดอย่างรวดเร็ว

ทั้งสองพูดคุยกันอยู่สักพัก และทางฝั่งซูเซี่ยเอ๋อร์ก็ดูเหมือนว่าจะมีเรื่องอะไรบางอย่างที่ต้องรีบไปทำ เธอจึงขอวางสายไป

กู่ฉิงซานลังเลเล็กน้อยจึงเอ่ยถาม “เทพธิดากงเจิ้ง ก่อนหน้านี้ฉันเคยสั่งให้ทำการตรวจสอบข้อมูลจากทางฝั่งซูเซี่ยเอ๋อร์แบบเรียลไทม์แล้วใช่ไหม ตอนนี้เธอมีปัญหาอะไรหรือเปล่า”

“ตัวควบคุมการส่งสัญญาณของเพลิงนางฟ้ายังคงปกติดีทุกอย่าง นั่นหมายความว่าทางฝั่งเธอไม่ได้มีปัญหาใดๆ” เทพธิดากล่าว

“อย่างนั้นเหรอ ถ้าแบบนั้นก็ดีแล้วล่ะ” กู่ฉิงซานรู้สึกโล่งใจ

ย้อนเวลากลับไปสักเล็กน้อย

ณ ที่ราบอันเปล่าเปลี่ยวรกร้าง

กว้างใหญ่ไพศาล และไร้ซึ่งสิ่งมีชีวิตใดๆ

ซูเซี่ยเอ๋อร์กำลังย่างไปทีละก้าว มุ่งตรงไปยังเบื้องหน้า

โดยเบื้องหน้าของเธอ มีอีกแปดจ้าวมณฑลคอยเดินนำอยู่

แม้ว่ามันจะสามารถใช้อากาศยานที่แสนจะสะดวกสบายเดินทางไปยังจุดหมายเลยโดยตรงก็ได้ แต่พวกเขาก็ไม่ทำเช่นนั้น แต่เลือกที่จะเดินทางเท้าเพื่อปฏิบัติตามมรดกพิธีกรรมโบราณ

ที่แห่งนี้คือขั้วโลกเหนือ

ยิ่งก้าวตรงไปยังเบื้องหน้ามากเท่าไหร่ สภาพภูมิอากาศ ก็จะยิ่งดูจะสมชื่อของมันมากขึ้นเท่านั้น

ขณะนี้ดวงอาทิตย์อยู่ทางทิศใต้ของขอบฟ้า ทว่าแสงสว่างของมันไม่อาจแผ่ความอบอุ่นลงมาถึงพื้นดินได้

และช่วงเวลากลางวันก็จะเป็นเช่นนี้ต่อไปตลอดทั้งช่วงฤดูร้อน

จนกว่าจะผ่านไปอีกหลายเดือน ขั้วโลกเหนือจึงจะพบกับช่วงเวลาบ่าย

ข่าวดีเพียงอย่างเดียวสำหรับคนทั้งเก้าก็คือ นี่เป็นเพียงแค่ช่วงกลางของฤดูร้อน นั่นจึงหมายความว่าสภาพแวดล้อมของขั้วโลกในขณะนี้ ยังอยู่ในระดับที่มนุษย์พอจะสามารถทนรับได้

พวกเขาย่ำเดินไปพร้อมด้วยชุดคลุมดวงดาราที่กำลังสวมใส่ ไม่มีการใช้ยานพาหนะใดๆ ไม่มีบริวารติดตามใดๆ ที่ต้องทำก็แค่ย่ำเดินทางต่อไปเท่านั้น

หลังจากเดินฝ่าความหนาวเหน็บไปได้กี่ไม่ชั่วโมง ทั้งหมดก็ตัดสินใจหยุดพัก

“เวลามาที่นี่ทีไร หลังจากกลับไป ฉันถึงขั้นต้องนอนซมรักษาตัวอยู่นานทุกที” จ้าวมณฑลชราภาพคนหนึ่งบ่นออกมา ขณะใช้กำปั้นทุบๆ นวดๆ ขาของตัวเอง

“มีชุดคลุมดาราคอยสนับสนุน อย่ามาทำเป็นบ่นว่าเหนื่อยหน่อยเลย โกหกทั้งเพ” จ้าวมณฑลอีกคนกล่าวด้วยรอยยิ้ม

ทั้งหมดกำลังนั่งพูดคุยกันเล็กๆ น้อยๆ

แต่ก็ยังมีจ้าวมณฑลอยู่คนหนึ่งที่เอาแต่หลับตาลงอยู่ตลอดเวลา และไม่ได้เอ่ยพูดคุยอะไรออกมาสักพักแล้ว

เมื่อคนที่อยู่ข้างๆ เห็นเขาก็ยื่นมีมาตบไหล่อีกฝ่ายเบาๆ

“มีอะไร?” เขาเปิดตาขึ้นและเอ่ยปากถาม

“ก็กำลังจะเช็กว่าคุณทำอะไรน่ะสิ? งีบหลับอย่างนั้นเหรอ?”

“เปล่า ฉันกำลังดูสังเวียนการแข่งขัน พวกคุณพักผ่อนกันตามสะดวกเถอะ”

เมื่อคนอื่นๆ ได้ฟัง สีหน้าของแต่ละเห็นก็เผยถึงความเข้าใจอย่างชัดเจน

เกมแห่งชีวิตนิรันดร์กำลังอยู่ในระหว่างแข่งขัน ในขณะนี้

“มันเป็นเกมเพื่อช่วงชิงความเป็นอมตะ หากผู้เข้าร่วมไม่แข็งแกร่งมากพอ หรือมีแต่พวกอ่อนแอ มันก็ไม่มีอะไรน่าดึงดูดให้เข้าไปดูหรอก” จ้าวมณฑลคนหนึ่งกล่าว

“มนุษย์ทุกคนล้วนหวาดกลัวเพชฌฆาตตัวตลกกันทั้งนั้น” จ้าวมณฑลอีกคนกล่าว

พวกเขาพูดคุยกันอย่างสบายๆ ราวกับว่ามีความคุ้นเคยกับเกมแห่งชีวิตนิรันดร์เป็นอย่างดี

ซูเซี่ยเอ๋อร์ที่พึ่งมาเข้าร่วม คิดว่านี่มันออกจะแปลกเกินไปหน่อย

จู่ๆ เธอพลันฉุกคิดได้ถึงคำแนะนำของกู่ฉิงซาน เลยอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามจ้าวมณฑลที่ดูรอบรู้ออกไป “ทำไมพอได้ฟัง หนูถึงรู้สึกเหมือนกับว่าทุกคนดูจะคุ้นเคยกับเกมๆ นี้กันหมดเลยล่ะคะ?”

จ้าวมณฑลกล่าวตอบ “อ้อจริงสิ ฉันลืมบอกเธอไปเลยเกี่ยวกับเรื่องนี้”

“ขอกล่าวอย่างเป็นทางการหน่อยนะ จ้าวมณฑลตระกูลซู เจ้ามีความคิดเห็นอย่างไรเกี่ยวกับเกมๆ นี้ และตั้งแต่ที่มันได้เปิดตัวขึ้น เจ้าเคยได้ยินมาว่ามีคนของเก้าตระกูลได้เข้าไปมีส่วนร่วมหรือไม่?”

“บางที...อาจจะไม่มีเลย”

“ถูกต้อง นั่นเพราะท่านปู่ของเจ้าและพวกเราทุกคน ไม่อนุญาตให้ใครเข้าร่วมทั้งนั้น”

“ทำไมล่ะคะ?”

“ถ้าเกมนี้มันดีจริงๆ เชื่อเถอะว่าผู้เข้าแข่งขันทั้งหมด ก็คงตกตายไม่มีเหลือ และมีเพียงแต่พวกเราเก้าตระกูลเท่านั้น ที่ได้รับชัยชนะ”

จ้าวมณฑลอีกคนที่นั่งอยู่ข้างๆ เธอเอ่ยปากออกมา “ถึงแม้ว่าเธอจะยังไม่ได้รับมรดก และดูเหมือนว่าตอนนี้มันยังเร็วเกินไป แต่ฉันคิดว่าเรื่องนี้ก็น่าจะพอบอกกับเธอก่อนได้”

เขาเบนสายตาไปขอความคิดเห็นจากจ้าวมณฑลคนอื่นๆ

ทุกคนพยักหน้าเห็นด้วย

จ้าวมณฑลคนหนึ่งทำเสียงกลั้วในลำคอ ก่อนจะเฉลยออกมาว่า “เกมแห่งชีวิตนิรันดร์น่ะ มันกลืนกินจิตวิญญาณเป็นอาหาร”

“กลืนกิน…จิตวิญญาณ?” ร่างของซูเซี่ยเอ๋อร์แข็งเกร็งโดยไม่รู้ตัว เธอเริ่มประหม่า

“ถูกต้องแล้วล่ะ พอมีคนตายลงในสังเวียน มันก็จะกลืนกินสิ่งเหล่านั้นเพื่อบำรุงและหล่อเลี้ยงตนเอง”

“ถ้าอย่างงั้น...แล้วแชมป์เปี้ยนล่ะคะ?”

“แชมป์เปี้ยนก็จะกลายเป็นทาสรับใช้ของมันตลอดไป”

ซูเซี่ยเอ๋อร์เอ่ยถามออกไปโดยไม่รู้ตัว “โดยไม่มีข้อยกเว้นเลยหรือคะ?”

พอเธอเอ่ยคำนี้ออกไป เธอกลับพบว่าสีหน้าของจ้าวมณฑลทุกคนหม่นลงหนึ่งส่วน

ความผ่อนคลายบนใบหน้าของพวกเขาหายไปโดยสิ้นเชิง ดูเหมือนว่าพวกเขาจะกำลังนึกถึงบางสิ่งบางอย่างที่ทำให้รู้สึกไม่สบายใจและตื่นตระหนก

“…เดี๋ยวเธอก็จะได้รู้เองในไม่ช้า” จ้าวมณฑลคนหนึ่งกล่าวอย่างคลุมเครือ

ซูเซี่ยเอ๋อร์มิได้เอ่ยถามต่อ ในหัวของเธอบังเกิดความคิดคำนึงถึงคำกล่าวของกู่ฉิงซานได้ในทันใด

หรือว่าพี่ใหญ่ฉิงซานจะไปได้ยินอะไรบางอย่างมา?

แต่เขาต้องไม่มีทางรู้ความจริงในเรื่องนี้อย่างแน่นอน

ซูเซี่ยเอ๋อร์รีบเอ่ยถามต่อ “แล้วเรื่องนี้ นอกเหนือจากพวกเราเก้าตระกูล ยังมีคนอื่นๆ รู้อีกไหม?”

พอได้ยินคำถามนี้ของเธอ สีหน้าของทุกคนก็ดูจะคลายลง

จ้าวมณฑลคนหนึ่งกล่าว

“บางคนก็พอจะรู้ถึงเบาะแสเล็กๆ น้อยๆ ของมันอยู่บ้าง แต่ไม่มีใครรู้ถึงความจริงทั้งหมด”

“คนเหล่านั้นมักจะพยายามโน้มน้าวผู้อื่นไม่ให้เข้าร่วม แต่พวกเขาดันไปมีส่วนร่วมในการแข่งขันท้าทายของเกมซะเอง ไม่ว่าจะด้วยความอยากรู้อยากเห็นหรืออยากจะทำการตรวจสอบเกมๆ นี้ก็ตามที”

“การกระทำแบบนั้น มีแต่จะตายลงเร็วยิ่งกว่าเดิม”

“ใช่แล้วล่ะ บางคนมีความสามารถโดดเด่น และตระหนักได้ถึงความอันตรายได้ตั้งแต่แรกแล้ว แต่สุดท้ายก็ทนไม่ไหว โยนตัวเองเข้าไปมีส่วนร่วมในเกมอยู่ดี”

“มนุษย์มีความโลภอยู่ในตัว และพวกเขามักจะคิดว่าตนเองนั้นยอดเยี่ยม ไม่เว้นแม้กระทั่งในยามที่ต้องเผชิญกับอันตราย ทุกคนยังคงเชื่อว่าจะมีเพียงแค่ตนเองเท่านั้นที่ได้รับการยกเว้นเป็นกรณีพิเศษ”

“แต่ในความเป็นจริง มันไม่มีหรอก ไอ้คนที่เป็นข้อยกเว้น”

ในหัวใจของซูเซี่ยเอ๋อร์เริ่มหนักอึ้ง

จ้าวมณฑลทั้งหมดทุกคน จะไม่มีทางโกหกเรื่องอะไรแบบนี้เป็นเสียงเดียวกันอย่างแน่นอน

กู่ฉิงซานคงได้รู้อะไรบางอย่างมา เขาเลยเตือนตัวเธอเองไม่ให้เข้าร่วม

ยังไงก็ตาม แล้วตัวเขาเองล่ะ?

บางทีเขาอาจจะเป็นอย่างที่จ้าวมณฑลคนอื่นๆ บอก ห้ามคนอื่น แต่ตัวเองกลับเลือกที่จะเข้าร่วมเกมๆ นั้นเพื่อทำการค้นหาเบาะแส!

ซูเซี่ยเอ๋อร์เดินปลีกตัวออกมาในจุดที่ไกลออกไป

“นั่นเธอจะไปไหนน่ะ?” จ้าวมณฑลคนหนึ่งเอ่ยถาม

“หนูจะไปห้องน้ำ…แต่ที่นี่คงไม่มี หนูหมายถึงจะแวะไปทำธุระ เดี๋ยวจะรีบกลับมาค่ะ” เธอกล่าวโดยไม่ได้เหลียวหลังกลับมามอง

จ้าวมณฑลคนอื่นๆ จึงพากันถอนสายตาออกจากเธอ

หลังจากที่เว้นระยะมาไกลพอสมควรแล้ว ซูเซี่ยเอ๋อร์ก็พบกับสถานที่ที่สามารถบดบังสายตาของจ้าวมณฑลคนอื่นๆได้ และเริ่มเปิดสมองควอนตัมของตนเองอย่างรวดเร็ว

เธอเรียกดูข้อมูลการติดต่อส่วนบุคคลของกู่ฉิงซาน และใช้ปลายนิ้วสัมผัสลงบนชื่อของเขาอย่างอ่อนโยน

และปลายสายก็กดตอบรับการเชื่อมต่ออย่างรวดเร็ว

“พี่ใหญ่ฉิงซาน ฉันมีเรื่องสำคัญมากที่จะต้องบอกนาย”

“ห้ามเข้าร่วมเกมแห่งชีวิตนิรันดร์นะ มันเป็นกับดัก”

“นายต้องสัญญากับฉันนะ ว่าจะไม่ไปมีส่วนร่วมใดๆ กับมันเด็ดขาด”

พอได้ฟังคำมั่นสัญญาจากปากของปลายสาย ซูเซี่ยเอ๋อร์ก็รู้สึกโล่งใจในที่สุด

“อื้อ ไม่มีอะไรหรอก แค่นี้ก่อนนะ” เธอเอ่ยงึมงำ

“เดี๋ยวก่อนสิ! ว่าแต่ฉันพึ่งส่งของไปนะ เธอได้รับมันหรือยัง?” อีกฝ่ายถาม

ซูเซี่ยเอ๋อร์อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา ปากเอ่ยกล่าว “ของส่งมาถึงแล้ว มันเป็นขวดหยก กับหนังสือเล่มเล็กๆ”

“แล้วการ์ดล่ะ?”

“การ์ดก็ได้รับมาแล้ว”

“ถ้าอย่างนั้นก็ดี อันที่จริงแล้วฉันต้องการจะนำมันไปที่นั่นแล้วมอบมันด้วยตัวเอง แต่น่าเสียดายที่บังเอิญฉันได้รับบาดเจ็บนิดหน่อย ทำให้ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้สะดวก แล้วอีกอย่างฉันกลัวว่าพ่อแม่ของเธอจะยังฝังความประทับใจแย่ๆ เกี่ยวกับฉันเอาไว้อยู่ด้วย”

“นายได้รับบาดเจ็บ? เกิดอะไรขึ้น ร้ายแรงรึเปล่า?” เธอเอ่ยถามด้วยความตึงเครียดในจิตใจ

“ไม่เป็นอะไรหรอก ตอนนี้ดีขึ้นมากแล้ว” กู่ฉิงซานเอ่ยด้วยความสุข

ได้ยินแบบนั้น ซูเซี่ยเอ๋อร์ก็ถอนหายใจโล่งอก

เธอคิดเกี่ยวกับมัน และพูดออกมา “รอฉันก่อนนะ ไว้ฉันแก้ไขสิ่งต่างๆ ได้แล้ว ฉันจะไปรับนายมาที่เกาะกลางทะเลสาบเอง ถึงตอนนั้นนายมั่นใจได้เลยว่าพ่อแม่ของฉันจะไม่รังเกียจนายอีกต่อไป”

“อ๋า? นี่พูดจริงๆ เหรอ?” เสียงจากปลายสายดูจะประหลาดใจมาก

“จริงๆ สิ” ซูเซี่ยเอ๋อร์กล่าว ในหัวใจของเธอเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น

ช่วงเวลานี้ เธอรู้สึกว่าความเหน็ดเหนื่อย เจ็บปวด และหวาดกลัว ในทุกย่างก้าวที่ผ่านมา ได้ปลิดปลิวหายไปในชั้นอากาศบางๆ ตามสายลม

ใช่แล้ว นี่แหละ

เรื่องราวต่อจากนี้ไปของตระกูลซู ฉันจะเป็นผู้มีอำนาจตัดสินทุกสิ่งอย่าง อำนาจที่เหนือกว่าทุกผู้คน!

จะไม่มีใครสามารถควบคุมโชคชะตาของฉันได้ ไม่สามารถบังคับให้ฉันทำเรื่องอะไรได้ทั้งนั้น

สองมือกำแน่นจนเล็บจิกลงบนผิวขาวๆ ในหัวใจกำลังขบคิดอย่างเงียบๆ

และเธอก็ได้สติขึ้นมาอีกครั้งด้วยคำพูดของกู่ฉิงซาน “ฉันให้หนังสือเล่มนั้นกับเธอ อย่าลืมนำมันไปฝึกฝนด้วยล่ะ มันดีต่อตัวเธอเองนะ”

“อ้อใช่ๆ เข้าใจแล้ว ฉันจะจำไว้”

“แล้วเป็นยังไงบ้าง การฝึกฝนด้วยตัวเองที่บ้าน มันหนักมากไหม?” ปลายสายถามอีกครั้ง

“อืมก็...” ซูเซี่ยเอ๋อร์เงยหน้าขึ้น หันไปข้างหลัง

และพบว่าจ้าวมณฑลอีกแปดคนที่เหลือยังอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล

แต่จะกังวลไปทำไม? ในเมื่อตัวเธอเอง ก็คือจ้าวมณฑลเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง เธอกลับต้องการที่จะรอจนกว่าจะได้พบเจอกับเขาอีกครั้ง จึงจะยอมบอกเล่าเรื่องราวต่างๆ ที่พึ่งเกิดขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้ออกไปแบบละเอียด

“มันไม่ลำบากมากนักหรอก ฉันยังพอรับไหว” เธอกล่าว

“ธาตุลมขั้นสี่ตอนนี้เสถียรรึยัง?”

“เสถียรแล้ว สามารถควบคุมพลังของมันได้อย่างใจนึกเลยล่ะ”

“ร้ายกาจ!” ปลายสายถอนหายใจ ปากเอ่ยกล่าวชื่นชม

“ฮึ! รอฉันก่อนเถอะ ฉันยังจำสัญญาของนายได้นะว่าถ้าฉันก้าวขึ้นมาเป็นผู้ใช้ธาตุทั้งห้าในขั้นห้าได้ นายจะผสมเหล้าให้ฉันกินแบบเป็นการส่วนตัว”

ขณะที่ซูเซี่ยเอ๋อร์กำลังพูด จู่ๆ เธอก็รู้สึกราวกับว่าทั้งคนทั้งร่างได้ถูกส่งย้อนเวลากลับไปในช่วงอดีตที่ผ่านมา...กลับไปยังช่วงเวลาดีๆ ระหว่างทั้งสอง

เธอจึงตระหนักได้ในทันที ว่าตัวเธอเองไม่ได้พูดคุยอะไรแบบนี้มาตั้งนานแล้ว

“ฮ่าๆๆ ตกลง เอาตามนั้นเลย!” ในสมองควอนตัม กู่ฉิงซานกล่าวตอบด้วยเสียงหัวเราะแห่งความสุข

และในเวลานั้นเอง จ้าวมณฑลคนอื่นๆ ก็ลุกขึ้นยืน และเตรียมที่จะเริ่มต้นเดินทางต่ออีกครั้ง

ซูเซี่ยเอ๋อร์รีบกล่าวทันที “ฉันคงคุยได้แค่นี้แหละ ตอนนี้มีบางอย่างที่จะต้องทำ เอาไว้ค่อยคุยกันอีกทีหลังจากนี้นะ”

“โอเค เรื่องฝึกยุทธก็พยายามเข้าล่ะ” กู่ฉิงซานกล่าว

และการเชื่อมต่อก็ถูกตัดสายลง

ซูเซี่ยเอ๋อร์รู้สึกได้ทันทีว่าอารมณ์ของเธอดีมากขึ้นเป็นพิเศษ

“เป็นผู้ใช้ธาตุทั้งห้า…ที่สามารถปลดผนึกไปถึงขั้นที่ห้า…ฉันจะต้องทำมันได้สิ!” เธอกัดริมฝีปาก สองมือกำแน่นอย่างเงียบๆ

ณ ขณะนี้ ดวงอาทิตย์เบื้องบนได้ถูกบดบังด้วยชั้นเมฆเรียบร้อยแล้ว ท้องฟ้าบังเกิดเสียงร้อง และเม็ดฝนก็เริ่มสาดเทลงมา

เม็ดฝนที่ตกลงมา ทำให้พื้นดินเริ่มหนาขึ้น

ซูเซี่ยเอ๋อร์ยื่นมือออกจากชุดคลุมไปอังน้ำฝน แล้วก็ต้องรีบสะบัดมันออกทันที

นี่มันลูกเห็บ ลูกเห็บที่ไอเย็นของมันสามารถเสียดทานลึกเข้าไปได้ถึงไขกระดูก

จ้าวมณฑลทั้งเก้าเริ่มออกเดินทางอีกครั้ง เริ่มต้นเดินทางไปยังใจกลางของขั้วโลกเหนือ

และเม็ดฝนก็ยังร่วงโรยต่อไป ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดตก

ลมเหนือพัดโชย บังเกิดเสียงหอนคำรามของสายลม

สภาพภูมิอากาศเลวร้ายแบบนี้ ต่อให้คนที่มาเป็นถึงมืออาชีพ บางทีพวกเขาก็อาจจะไม่สามารถทานทนได้ไหวก็เป็นได้

แต่สิ่งที่น่ามหัศจรรย์ก็คือ เม็ดฝนและลมเหล่านี้ ไม่สามารถกระทบเข้ามาใกล้กับคนทั้งเก้าได้เลย

ซูเซี่ยเอ๋อร์สังเกตเห็นว่าตั้งแต่ที่เธอเข้ามายังที่นี่ ชุดคลุมดวงดาราของเธอที่ปกคลุมบนร่างกาย กำลังกระพือไปในอากาศราวกับกำลังเต้นระบำอย่างอ่อนโยน

ภายในชุดคลุม มีอะไรบางอย่างคอยให้อุณหภูมิที่เหมาะสม และอากาศที่สดชื่น

นี่คือหลักประกันสำหรับจ้าวมณฑล ว่าพวกเขาจะสามารถก้าวเดินต่อไปข้างหน้าได้อย่างไม่หยุดยั้ง จนกระทั่งถึงที่หมาย

ขณะที่กำลังเดินอยู่นั้นเอง พวกเขาก็เริ่มพบกับศพแห้งตายตามรายทาง

ร่างของศพเหล่านี้ได้สูญเสียความชุ่มชื่นไปจนหมดสิ้น ตัวหดลีบม้วนเป็นลูกบอล ขณะที่ซากบางส่วนอยู่มานานเกินไป บางทีพวกมันก็ถูกพัดปลิวไปตามสายลม

“ไม่ต้องไปมองมันหรอก พวกมันทุกคนก็แค่พวกที่พยายามลอบเข้ามาตรวจสอบความลับของเก้าตระกูลของพวกเรานั่นแหละ”

“แล้วพวกเขาตายได้ยังไงกัน?” ซูเซี่ยเอ๋อร์ถาม

“นั่นเพราะพวกเขาไม่มีชุดคลุมดวงดารา สิ่งมีชีวิตใดๆ ก็ตามที่ไม่มีมัน หากย่างกรายมาที่นี่ล้วนต้องตกตาย” จ้าวมณฑลอีกคนหนึ่งกล่าว

“ฉันรู้สึกว่าไอ้ลูกเห็บพวกนี้มันชักจะเริ่มสร้างปัญหาขึ้นมาเล็กๆ น้อยๆ ซะแล้ว พวกเราคงต้องเร่งฝีเท้ากันหน่อยแล้วล่ะ!” จ้าวมณฑลที่อยู่หัวแถวตะโกน

ซูเซี่ยเอ๋อร์พยักหน้า และไล่ตามติดพวกเขาไปอย่างใกล้ชิด

ตลอดเส้นทาง เม็ดฝนเริ่มมีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ

สายลมแรงคอยพัดพาเม็ดฝนให้ร่วงหล่นลงบนพื้นดิน บังเกิดเสียงเปาะแปะดังสะท้อนไปทั่ว

พื้นที่ราบหลายจุดถูกชะล้างด้วยน้ำฝน เปิดเผยให้เห็นถึงตัวโลหะแข็งที่ผสานอยู่ภายใน

พอได้เห็น ซูเซี่ยเอ๋อร์ก็ผงะไป เธอรู้สึกตกใจมาก

บนพื้นผิวในที่แบบนี้ จะมีโลหะผสมอยู่ได้อย่างไรกัน?

จิตใต้สำนึกของเธอสั่งให้ย่ำเท้าลงบนพื้นอย่างแรงโดยไม่รู้ตัว ก่อนจะยกเท้าขึ้นมา และพบว่ามันมีความแข็งมากกว่าปกติที่ควรจะเป็น

ในหัวใจของซูเซี่ยเอ๋อร์บังเกิดความสนใจขึ้นมาทันที

เธอเลือกที่จะไม่ย่ำลงบนพื้นที่ถูกปกคลุมด้วยหิมะหรือก้อนหิน แต่กลับเลือกที่จะย่ำลงบนพื้นที่ราบ ซึ่งง่ายต่อการสำรวจแทน

และเธอก็ต้องค้นพบกับความจริงอันน่าเหลือเชื่ออย่างรวดเร็ว

ใต้พื้นผิวโดยรอบนี้ แท้จริงแล้วเต็มไปด้วยโลหะแข็งแทบทั้งสิ้น!

“จงอย่าซุกซนให้มันมากนัก เผอิญว่าพวกเราไม่ได้ใส่ใจที่จะถมพื้นที่บริเวณนี้ให้มันหนาซักเท่าไหร่ อยู่นิ่งๆ เถอะ เดินไปอีกหน่อยพวกเราก็จะไปถึงแผงควบคุมแล้ว”

“แผงควบคุม?” ซูเซี่ยเอ๋อร์ถาม

“แล้วก็อีกอย่างนะ จะบอกให้รู้ไว้ โลหะผสมพวกนี้ มันไม่ใช่วัสดุของดาวดวงนี้หรอกนะ”

“ไม่ใช่ของดาวดวงนี้?”

“ถูกต้อง ถ้าจะให้พูดกันตามความเป็นจริง สำหรับดาวดวงนี้น่ะ แม้ว่าจะจะใช้เทคโนโลยีปัจจุบันที่ทันสมัยที่สุด ก็ยังไม่มีทางที่จะสามารถหล่อเจ้าโลหะผสมตัวนี้ขึ้นมาได้”

“เทคโนโลยีทันสมัยที่สุด…หล่อโลหะผสม…” ซูเซี่ยเอ๋อร์เริ่มมืดแปดด้าน

จ้าวมณฑลอีกคนเอ่ยแทรกขึ้นมา “พวกเราเกือบจะถึงใจกลางของมันแล้ว เพราะฉะนั้นใต้เท้าของพวกเราทั้งหมด จึงถือว่าเป็นส่วนบนของมันยังไงล่ะ”

ซูเซี่ยเอ๋อร์ชะงักงัน

ทันใดนั้นเอง ความคิดอันน่าตื่นตาตื่นใจของผุดออกมาจากในหัวใจ

“อย่าบอกนะว่า” เธอเอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง

“นั่นแหละ เธอคิดถูกแล้วล่ะ” จ้าวมณฑลคนเดิมเอ่ยตอบ

“มียานอวกาศขนาดยักษ์ ตั้งอยู่บนทั้งขั้วโลกเหนือ!”

.......................................................