webnovel

0166 ไตรภาคี

ตอนที่ 166 ไตรภาคี (3) 

มองไปยังการต่อสู้ระหว่างไตรภาคีและวิหารดำที่ดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง มารนักปราชญ์ที่ยังหลงเหลืออยู่ก็เริ่มตอบสนองทันที 

“อย่าคิดเลยว่าพวกข้าจะปล่อยให้เจ้าคว้าชัยชนะ!” 

พวกเขาเหินอากาศข้ามผ่านไปยังธารเมฆามาร หมายมั่นที่จะกระโจนเข้าร่วมต่อสู้ 

ซวนหยวนส่งสายตาไปให้เซี่ยเต๋าหลิง 

เซี่ยเต๋าหลิงโบกสะบัดแขนเสื้อ รวบเอาเป่ยหยวนเข้ามา 

“ข้าจะไปฆ่าพวกมันเอง ส่วนเจ้า ข้าขอฝากรับมือกับมารสวรรค์ที่นี่ไปก่อนก็แล้วกัน” เซี่ยเต๋าหลิงกล่าว 

“ตกลง” น้อมสวรรค์ซวนหยวนพยักหน้า 

เซี่ยเต๋าหลิงหายตัวไป และในวินาทีต่อมาก็ปรากฏตัวขึ้นเบื้องหลังมารนักปราชญ์ตนหนึ่ง 

สองมือของเธอวูบไหวเห็นเพียงภาพติดตา เพียงชั่วลมหายใจสั้นๆ ทั้งกำปั้นและฝ่ามือก็โถมเข้าใส่ฝ่ายตรงข้ามไปแล้วกว่าร้อยครั้ง! 

เสียงปะทะหนักทึบยังคงดังขึ้นเป็นกลองชุด กำปั้นและฝ่ามือโจมตีต่อเนื่องไม่มีทีท่าว่าจะหยุดยั้ง และสุดท้าย ก็ปิดฉากลงด้วยหนึ่งฝ่ามือที่สับลงบนคอของอีกฝ่ายด้วยเจตนาร้าย 

หวูเต๋ากุ่ยชั่งหวนคืนไร้ลักษณ์ สวรรค์ล่มสลาย! 

บังเกิดเสียง ‘กริ๊ก’ ดังออกมาจากลำคอของมารนักปราชญ์ ทันใดนั้นมันก็รู้สึกว่ามุมมองสายตาของตนโค้งงอลงแปลกๆ 

“ตายซะ!” 

เซี่ยเต๋าหลิงตะคอกคำหนึ่ง กระแทกอีกหนึ่งฝ่ามือออกไป ตบฉาดเข้าใส่แผ่นหลังของมัน 

มารนักปราชญ์ที่ถูกตบ ร่วงพุ่งกระเด็นออกไปกลายเป็นเงา พริบตาเดียวมันก็จูบลงกับพื้นดินจนบังเกิดการสั่นสะเทือนของผืนโลก เสียงระเบิดกึกก้องราวสายฟ้าฟาด 

ในหลุมขนาดยักษ์ ปรากฏซึ่งร่างของมารนักปราชญ์นอนแน่นิ่งไม่ไหวติงอย่างไร้สรรพเสียงอยู่เบื้องล่าง 

ในตอนนั้นเอง มารนักปราชญ์อีกหลายตนก็ฉวยโอกาสนี้ เร่งโถมเข้าโจมตีอย่างรวดเร็ว 

เซี่ยเต๋าหลิงจำต้องบินล่าถอยกลับไป นิ้วโป้งและกลางยกขึ้นแนบปาก ผิวเสียงนกหวีดลอยออกไปกับสายลม 

เสี้ยวลมหายใจนั้นเอง บังเกิดเมฆหลากสีสันบนท้องฟ้าอันห่างไกล ลอยตรงเข้ามาอย่างรวดเร็ว 

เมฆหลากสีแปรเปลี่ยนรูปร่างกลายเป็นมารนกยูงนักปราชญ์ ร่อนลงมาหยุดอยู่เบื้องหน้าเซี่ยเต๋าหลิง 

“นางเซียนเรียกข้ากระนั้นหรือ?” 

“อื้ม เกรงว่าคงต้องรบกวนให้เจ้าร่วมต่อสู้กับข้า” เซี่ยเต๋าหลิงกล่าวอย่างอ่อนโยน 

“เจ้าค่ะ” มารนกยูงขานรับ 

มารนักปราชญ์ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามพลันหยุดฝีเท้าลง สีหน้าท่าทีของพวกมันแสดงให้เห็นถึงความลังเล 

จากในบรรดาสิบสามมารนักปราชญ์ หกตนถูกสังหารตกตายไปโง่ๆ โดยซินจุนจี ยามนี้หากประเมินคร่าวๆ สมควรตกตายโดยเซี่ยเต๋าหลิงไปแล้วอีกหนึ่ง ดังนั้นบัดนี้จึงเหลืออยู่เพียงห้า 

และศัตรูฝั่งตรงข้ามก็คือนางเซียนไป่ฮั่ว หนุนเสริมด้วยมารนกยูงนักปราชญ์ สองตัวตนเหล่านี้ มิใช่คู่ต่อสู้ที่พวกเขาจะสามารถต่อกรได้โดยง่าย 

เซี่ยเต๋าหลิงนั้นเป็นตัวตนเช่นใด? แค่นางคนเดียวพวกเขาก็หวาดกลัวและลำบากใจมากพออยู่แล้ว 

เธอก้าวมายังเบื้องหน้าหนึ่งก้าว สาดสายตามองไปยังมารนักปราชญ์ทั้งห้าฝั่งตรงข้ามที่ยังหลงเหลืออยู่ด้วยท่าทีเฉยเมย 

“อยากจะมีชีวิตรอด…หรือตกตาย? พวกเจ้าจักต้องตัดสินใจด้วยตนเอง” เธอกล่าว 

“จะ...เจ้า...เจ้าคิดจริงๆ หรือว่าพวกข้าทั้งห้าจะหวาดกลัวปราชญ์แห่งมนุษยชาติเพียงหนึ่ง?” มารนักปราชญ์ตนหนึ่งรวบรวมความกล้า กัดฟันเอ่ยปากในสิ่งที่ตรงกันข้ามกับใจคิด 

เมื่อครู่เซี่ยเต๋าหลิงเพียงลงมือโดยผิวเผิน ทว่ากลับสามารถฆ่าสังหารมารนักปราชญ์ตกตายลงไปหนึ่ง แม้กระทั่งตอนนี้ที่คิดถึงฉากเมื่อครู่ ในหัวของเขาก็ยังคงสั่นสะท้าน 

“แล้วพวกเจ้าตนอื่นๆ เล่า คิดเห็นว่าอย่างไร?” มารนักปราชญ์ตนหนึ่งที่ดูจะหมายมั่นว่าตนสมควรที่จะมีชีวิตรอดอยู่อย่างจริงจัง ได้เอ่ยถามเสียงทุ้มลึก 

เหล่ามารนักปราชญ์ หันมามองหน้ากันด้วยความลังเลใจ และหลังจากที่สื่อสารกันผ่านจิตสัมผัสเทวะ มารนักปราชญ์ที่ดูจะเป็นผู้นำมากที่สุดก็ก้าวออกมา ปากเอ่ยกล่าว “พวกเรายินดีถอนตัวจากการต่อสู้ในครั้งนี้ด้วยดี ทว่าก็ย่อมต้องมีเงื่อนไข” 

“จงอย่าได้เข้าใจผิดไป” คู่ดวงตาอันงดงามของเซี่ยเต๋าหลิงหรี่แคบลง ปากเอ่ยกล่าวอย่างสงบและรื่นรมย์ “ข้าเพียงให้พวกเจ้าเลือกว่าจะมีชีวิตรอดหรือตกตายเท่านั้น หากเจ้ายอมจำนนในตอนนี้ ก็ยังสามารถที่จะรักษาชีวิตเอาไว้ได้ นอกจากนั้น มิจำเป็นต้องมีเงื่อนไขอื่นใดมาโต้แย้งกันอีก” 

มารนักปราชญ์จมลงสู่ความเงียบ 

“รีบๆ ตัดสินใจโดยเร็ว ความอดทนของข้ามีขีดจำกัด”  

เซี่ยเต๋าหลิงขมวดคิ้วเบาๆ เอ่ยถามอย่างหงุดหงิด 

ทว่ามารนักปราชญ์กลับมิได้เผยถึงความโกรธแค้นหรือตื่นตระหนกใดๆ พวกมันถอนหายใจออกมา และเอ่ยปากกล่าว  

“ข้ายอมแพ้” 

“ข้าก็ยอมแพ้” 

“ยอมแล้ว อย่าทุบตีข้าอีกเลย” 

พวกเขากล่าวอย่างเศร้าสลด 

“เช่นนั้นก็จงไปควบคุมพวกมารเบื้องล่างเสีย จงหยุดยั้งพวกมัน หากมีตนใดอาจหาญเปล่งจิตสังหารเข้าใส่มนุษย์อีกล่ะก็ พวกเจ้าจะต้องรับผิดชอบโดยการตกตายไปแทนมัน” กล่าวจบ เซี่ยเต๋าหลิงก็เหินอากาศจากไปพร้อมกับมารนกยูง 

เหล่ามารนักปราชญ์หันมาสบตากัน เจ้ามองข้า ข้ามองเจ้า เงียบไปชั่วขณะหนึ่ง มิอาจเอ่ยปากกล่าวคำใดออกมาได้ 

หลังจากผ่านไปนาน มารนักปราชญ์จึงเอ่ย “นี่พวกเราต้องเชื่อฟังนางจริงๆ งั้นหรือ?” 

มารนักปราชญ์อีกตนแสยะยิ้ม ปากเอ่ยกล่าว “เป่ยหยวนกับซวนหยวนน่ะมันไม่นับว่าเป็นตัวอันตรายใดๆ ทว่านางเซี่ยเต๋าหลิงย่อมต่างออกไป ข้าขอบอกตามตรงว่ามันมิง่ายดายเลยกว่าข้าจะสามารถฝึกฝนจนก้าวขึ้นสู่ขอบเขตประทับเทพได้ และแน่นอนว่าข้าย่อมอยากที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปอีกหลายร้อยปี” 

ขณะกล่าว เขาก็บินออกไป และเอ่ยตะโกนสั่งเผ่ามารให้ทำการล่าถอย 

มารนักปราชญ์อีกหลายตนขบคิด ถอนหายใจเฮือกหนึ่ง และร่อนตัวลงไป 

สมควรเป็นเช่นนั้น หากคิดอย่างจริงจังและถี่ถ้วน จะตระหนักได้เลยว่า หากพวกพ้องและกองกำลังมิเหลือล้นจริงๆ ย่อมไม่เป็นการดีที่จะขัดใจนางเซี่ยเต๋าหลิงอีกเป็นครั้งที่สอง 

“นางเซียน นับตั้งแต่ที่พวกเขาได้เอ่ยตอบรับแล้ว เหตุใดพวกเราจึงต้องปล่อยพวกเขาไป มิเอ่ยสั่งให้ทำการโจมตีวิหารมารเล่า?” มารนกยูงเอ่ยปากถาม 

“ทุกสิ่งอย่างย่อมมีขอบเขตที่จำกัด หากล้ำเส้นเกินไป ผลลัพธ์ที่ตามมาย่อมจะส่งผลตรงกันข้าม” เซี่ยเต๋าหลิงกล่าว 

“มารนกยูง การสู้รบนับจากนี้ ค่อนข้างที่จะเสี่ยงอันตรายมากเกินไป เจ้ามิจำเป็นต้องมีส่วนร่วมใดๆ อีก จงไปช่วยเหลือข้าจัดการเฝ้าดูพวกมารนักปราชญ์ตนอื่นๆ จักดีกว่า” เซี่ยเต๋าหลิงกล่าว 

“เจ้าค่ะ” มารนกยูงขานรับอย่างเชื่อฟังและชื่นชมอย่างสุดหัวใจ 

เซี่ยเต๋าหลิงผงกหัวเล็กน้อย ก่อนจะบินกลับไปสมทบกับน้อมสวรรค์ซวนหยวนอีกครา 

เธอจ้องมองไปยังวิหารดำ 

มองไปยังสรรพาวุธที่สาดประกายแสงสีเขียวนับไม่ถ้วน ที่ทยอยออกมาจากวิหารเพื่อต้านทานการโจมตีของสามอสูรเทวะอย่างต่อเนื่อง 

“เจ้าจัดการเรียบร้อยแล้วหรือ?” ซวนหยวนเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ 

“พวกเขาเลือกที่จะยอมจำนน” เซี่ยเต๋าหลิงกล่าว 

ซวนหยวนกวาดจิตสัมผัสเทวะออกไป และพบว่าเหล่ามารนักปราชญ์กำลังยืนควบคุมกลุ่มกองทัพมารอย่างสัตย์ซื่อ  

“ไม่เลวนี่ ในเมื่อสหายเต๋ายังแสดงผลงานได้ยอดเยี่ยมเช่นนี้ ฉะนั้น เรื่องวิหารดำนี่ก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้าเองเถอะ” 

น้อมสวรรค์ซวนหยวนกล่าว 

เขาตบลงบนถุงสัมภาระ คว้าจับเอายันต์สีเหลืองออกมาอย่างระมัดระวัง 

ซวนหยวนยกนิ้วโป้งข้างหนึ่งขึ้นมากัด และปาดเลือดบนนิ้วลงบนยันต์เหลือง นิ้วมือเขาวูบไหวราวกับฉากของหงส์ร่อนมังกรรำ วาดอักษรรูนต่างๆ ที่แลคล้ายกับตัวแมลงปอลงไป

เมื่อทำทั้งหมดนี้เสร็จสิ้นลงแล้ว เขาก็ถือยันต์เหลืองที่เติมแต่งไปด้วยรูน และเริ่มทำการพับมันเป็นบางสิ่ง 

สองมือของเขาคล่องแคล่ว กระฉับกระเฉงยิ่ง ลมหายใจเดียวอักษรรูนมากมายก็ถูกวาดลงในยันต์ใบแล้วใบเล่า พับๆกันจนเกินจะนับไหว กลายเป็นกองกระดาษสูงเท่าภูเขาขนาดย่อม 

ซวนหยวนพับยันต์เหลืองวางส่วนสุดท้ายที่แลดูเป็นยอดเขาลง และพ่นลมหายใจ ส่งพวกมันลอยออกไป 

ทันใดนั้นขุนเขากระดาษก็ลอยห่างออกจากฝ่ามือของเขา ก่อนจะหยุดนิ่งอยู่เหนือวิหารดำอย่างเงียบๆ 

“จงแปรเปลี่ยน!” ซวนหยวนจีบมือออก ด้วยวิชาลับ 

ในเสี้ยววินาที ยันต์สีเหลืองก็หายวับไป 

และถูกแทนที่ด้วย ขุนเขาเขียวขจีขนาดมหึมา ใหญ่โตบดบังทั้งผืนฟ้าและดวงอาทิตย์ 

สกิลเทวะนิกายเต๋า ย้ายขุนเขา! 

ขุนเขาสูงตระหง่านล่องลอยอยู่กลางผืนฟ้าเพียงไม่กี่ลมหายใจ มันก็พลันวูบตกลงไปตามแรงโน้มถ่วงเฉกเช่นเดียวกับสัญญาณมือของซวนหยวนที่สะบัดลง 

ผืนดินผืนฟ้าสั่นสะเทือนเลือนลั่น ดวงดาราหลบลี้ปลีกตัวไปซ่อน กระทั่งตะวันหรือจันทราก็มิกล้าเปล่งแสง 

ไม่ว่าจะเป็นเผ่ามารหรือผู้ฝึกยุทธมนุษย์ ต่างแหงนหน้ามองอยู่เนิ่นนาน มิอาจเรียกสติกลับคืนมาได้ 

วิหารมารทั้งหมดถูกกลบฝัง ลึกลงไปภายใต้แรงกระแทกของขุนเขานี้ 

ซวนหยวนยังไม่หยุดยั้ง เขาหยิบยันต์สีเหลืองออกมาอีกครั้ง และเริ่มใช้เลือดขีดเขียนตัวอักษรรูนลึกลับลงไป 

หลังจากที่เขียนเสร็จ เขาก็เพ่งมองยันต์สีเหลืองและพยักหน้าเบาๆ ปากเอ่ยตะโกนออกมา “ขจัดมาร!” 

ยันต์เหลืองกระพือไปในอากาศ และมุดหายลงไปในขุนเขาที่ร่วงหล่นทันที 

ทั่วทั้งสวรรค์และโลกจมลงสู่ความเงียบ 

ทันใดนั้นเอง บังเกิดเสียงกรีดร้องคร่ำครวญของผู้คนนับล้านล้าน ดังสะท้อนลอดออกมาจากขุนเขา ตัดผ่านขึ้นมาถึงชั้นฟ้า 

เสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดและโศกสลดนี้ ราวกับว่าผู้ที่กรีดร้องออกมา มิอาจฝืนทนทุกข์ทรมานอยู่ในโลกใบนี้ได้อีกต่อไป

เลือดไหลทะลักล้นออกมาจากขุนเขา ย้อมสีเขียวขจีของมันทั้งลูกจนกลายเป็นสีแดงฉาน กลิ่นสาบลอยตลบอบอวลคละคลุ้งไปทั่ว 

เปรี้ยง! 

ขุนเขาถูกแยกออกเป็นซีก วิหารดำพวยพุ่งขึ้นไปมาพร้อมกระแสแสง ทะลุทะลวงกวาดขึ้นไปบนชั้นฟ้า 

“ฝากไว้ก่อนเถอะ ข้าสาบานว่าจะกลับมา กลับมาพร้อมกับมารสวรรค์นับล้านๆ เพื่อฆ่าสังหารเจ้า!” 

บังเกิดระลอกเสียงที่ฟังดูคลุมเครือทว่าแฝงไว้ซึ่งความเกลียดชังอย่างลึกซึ้งดังลอดออกมาจากวิหารดำ 

ซวนหยวนได้ฟัง ก็ฮัมเสียงฮึฮะ ปากเอ่ยกล่าว “บังอาจทำลายขุนเขาของข้า แล้วยังคิดจะหลบลี้หนีหายไปดื้อๆ กระนั้นหรือ?” 

เขาตบลงในถุงสัมภาระและหยิบเอาขลุ่ยหยกขึ้นมาวางแนบลงบนริมฝีปากของตน 

และเสียงสายลมที่บรรเลงเป็นท่วงทำนองก็หลุดลอยออกมาตามรูต่างๆ

นางเซียนไป่ฮั่วได้ยินเสียงขลุ่ย ปากอ้าถอนหายใจทันที “กี่ปีแล้วหนอ ที่ข้ามิได้ยินท่วงทำนองเทวะแห่งขุนเขา ที่หลงเหลือทิ้งไว้จากยุครุ่งเรืองในตำนาน” 

ด้วยท่วงทำนองของขลุ่ยนี้ ขุนเขาสีเขียวขจีที่ถูกย้อมไปด้วยเลือดก็แปรเปลี่ยนรูปทรงเป็นฝ่ามือยักษ์ เชื่อมต่อเข้ากับแขนมโหฬารเบื้องล่างในพื้นดิน พริบตานั้นเอง มันก็พรวดทะยานขึ้นไปบนฟากฟ้าอย่างฉับไว เอื้อมมือคว้าจับบางสิ่งในอากาศ

วิหารดำนั้นแม้จะรวดเร็ว ทว่ามันก็มิอาจรวดเร็วไปกว่าผืนโลกได้ 

ฝ่ามือยักษ์ผุดขึ้นมาจากพื้นดิน มันลากยาวขึ้นไปบนชั้นฟ้าราวกับต้องการเชื่อมต่อสวรรค์และโลก ก่อบังเกิดกระแสลมอันโหดร้ายกวาดกระจายไปทั่ว ไล่ตามติดไปยังชั้นฟ้า และเอื้อมมือคว้าจับวิหารดำจนได้ในที่สุด

........................................