ตอนที่ 83 ออกเดินทาง
ซันหมิงหยู กล่าว “ฉันพอจะรู้จักบาร์ดีๆ อยู่ที่หนึ่งละ”
“ที่ไหนงั้นเหรอ?” ซูเซี่ยเอ๋อถามด้วยความสนใจ
“เรนโบว์บาร์” ซันหมิงหยูกล่าว
หลี่ตงขมวดคิ้วและหันไปทางซันหมิงหยู
แต่ซันหมิงหยูดูจะเจตนาแกล้งทำเป็นมองไม่เห็น เธอยังคงเอ่ยต่อ “เซี่ยเอ๋อ เชื่อฉันสิ ในเขตเมืองหลวง บาร์นี้บรรยากาศดีที่สุดแล้ว ถ้าเธอไปรับรองว่าจะไม่เสียใจอย่างแน่นอน”
“แต่นี่” ซูเซี่ยเอ๋อหันไปมองกู่ฉิงซาน ราวกับต้องการจะเอ่ยอะไรบางอย่าง
แต่กู่ฉิงซานกลับยิ้ม และพยักหน้าให้เป็นเชิงว่าสำหรับเขามันไม่เป็นปัญหา
“งั้นพวกเราไปกันเถอะ!” ซูเซี่ยเอ๋อกระโดดจนตัวลอยอย่างมีความสุข “รอก่อนนะ ฉันจะไปเรียกรถเหินเวหามารับพวกเธอเอง”
“งั้นฉันไปด้วย” กู่ฉิงซานกล่าวและเดินตามซูเซี่ยเอ๋อออกจากร้านกาแฟไป
เมื่อประตูร้านปิดลง หลี่ตงก็เปิดปากถาม “นี่เธอกำลังคิดจะทำอะไรกันแน่ ร้านเรนโบว์บาร์นั่นน่ะต้อนรับเฉพาะพวกชนชั้นสูง ต่อให้เขาเป็นเพื่อนของซูเซี่ยเอ๋อก็เถอะ แต่ดูจากเสื้อผ้าที่สวม ก็พอจะบอกได้ว่าเขาเป็นเพียงคนธรรมดา เธอกำลังจะทำให้เขาอับอายนะ”
ซันหมิงหยูกล่าว “แบบนี้มันจะดีต่อเซี่ยเอ๋อมากกว่า ช่องว่างสถานะของทั้งสองคนมันกว้างเกินไป เขาไม่คู่ควรกับเซี่ยเอ๋อหรอก”
“แต่นั่นมันขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเซี่ยเอ๋อนะ” หลี่ตงกล่าว
“ผู้หญิงที่ตกอยู่ในห้วงความรักน่ะ ไม่อาจตัดสินใจอะไรได้หรอก พวกเราที่เป็นเพื่อนต่างหากล่ะที่ควรจะช่วยเธอตัดสินใจไม่ให้นอกลู่นอกทาง อีกฝ่ายเป็นคางคกแต่คิดก้าวกระโดดขึ้นมาตะครุบชนชั้นสูง เขาสมควรจะรู้ตัว ว่าราคาที่ต้องจ่ายออกน่ะมันแพงขนาดไหน”
“คอยดูนะ แล้วเซี่ยเอ๋อจะรู้สึกขอบคุณฉันในภายหลัง” เธอกล่าว
หลี่ตงอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ
อันที่จริงแล้วสิ่งที่ทั้งสองพูดคุยกันในที่นี้มันไม่ได้สำคัญอะไรเลย เพราะไม่ว่าอย่างไรในค่ำคืนนี้ก็ย่อมไม่แคล้วเป็นค่ำคืนแห่งความสุข…
หลังจากนั้นไม่นาน ซูเซี่ยเอ๋อก็ขับรถเหินเวหามารับเพื่อนสาวทั้งสอง และขับออกไปยังเรนโบว์บาร์โดยมีกู่ฉิงซานนั่งไปด้วย
แล้วก็เหมือนอย่างที่ซันหมิงหยูกล่าวจริงๆ บรรยากาศของบาร์ที่นี่ไม่เลวเลย
แม้ว่ามันจะจำเป็นต้องทำการสแกนสมองควอนตัมส่วนบุคคล แต่กระบวนการของมันก็ช่างรวดเร็ว แถมเจ้าของบาร์และผู้จัดการทุกคนต่างก็พากันวิ่งออกมาต้อนรับพวกเธอด้วยตัวเอง ทั้งหมดต่างทักทายอย่างกระตือรือร้นและเต็มไปด้วยมารยาทที่น่าพึงพอใจ
แต่สิ่งที่น่าแปลกใจก็คือ ดูเหมือนพวกเขาไม่ลังเลเลยที่จะเข้าไปพูดคุยกับกู่ฉิงซาน
ไม่เพียงทุกคนจะขอจับมือกับเขา แต่ยังขอถ่ายรูปหมู่อีกด้วย
นี่มันชักจะแปลกเกินไปแล้วนะ
จากนั้น กู่ฉิงซานก็เลือกที่จะเป็นคนผสมค็อกเทลด้วยตัวเอง ส่วนนักศึกษาสาวผู้งดงามทั้งสามก็มีหน้าที่ลิ้มรสค็อกเทลอันหลากหลายรูปแบบ
เมื่อพิจารณาแล้วว่านี่คือการดื่มครั้งแรกของซูเซี่ยเอ๋อ แถมยังมีเพื่อนนักศึกษาสาวพ่วงมาด้วยอีกสองคน ระหว่างผสมค็อกเทล กู่ฉิงซานจึงไม่ลืมที่จะควบคุมระดับแอลกอฮอล์ให้เหมาะสม เพื่อที่จะให้ทุกคนพอกรุ้มกริ่มอย่างสนุกสนานและไม่เมามากจนเกินไป
ผ่านไปได้ครึ่งทาง ซันหมิงหยูก็เริ่มลงมืออีกครั้ง ในเมื่อวิธีแรกอย่างการสแกนสมองควอนตัมไม่ได้ผล เธอจึงใช้วิธีการต่อไป โดยเริ่มจากการถามถึงมหาวิทยาลัยของกู่ฉิงซาน พอรับรู้ว่าเป็นมหาวิทยาลัยกั่วฟาง เธอจึงแสร้งโทรไปตามเพื่อนๆ ในมหาวิทยาลัยกั่วฟางมา โดยกล่าวว่าจะช่วยกู่ฉิงซานหาเพื่อนๆ ล่วงหน้าเสียหน่อย
เธอไม่เคยได้ยินมาว่าปีนี้มหาวิทยาลัยกั่วฟางได้มีการเชิญนักเรียนเข้าไปเรียนในสถาบันเองโดยตรง และเมื่อเพื่อนๆ ของเธอมาถึง ทุกคนกลับบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า ไม่มีใครเคยได้พบเคยได้เจอกับกู่ฉิงซานมาก่อนเลย และที่สำคัญที่สุดคือไม่มีชื่อของเขาอยู่ในรายชื่อนักศึกษาใหม่อีกด้วย…นายเสร็จฉันล่ะ!
บรรยากาศโดยรอบค่อนข้างแข็งทื่อ
โชคยังดีที่กู่ฉิงซานทำการเชื่อมต่อกับเทพธิดากงเจิ้งในสมองควอนตัมส่วนบุคคลอยู่แล้ว เขาจึงเปิดมันให้กับเหล่าสาวๆ เบื้องหน้าได้ดูเพื่อแสดงถึงหลักฐาน
แต่แล้วก็กลับกลายเป็นตัวเขาเองที่ต้องประหลาดใจเมื่อพบว่าตนเองได้เข้ามหาวิทยาลัยก็จริง แต่อยู่ในฐานะศาสตราจารย์!
และแน่นอนว่าขนาดเจ้าตัวยังประหลาดใจ แล้วคนอื่นๆ โดยรอบก็คงไม่ต้องกล่าวถึง
เทพธิดากงเจิ้งไม่มีทางให้ข้อมูลที่ผิดพลาด
อายุยังน้อยแต่กลับเป็นถึงผู้เชี่ยวชาญด้านการวิจัยหุ่นรบ นี่มันพรสวรรค์ระดับปีศาจแล้วนะ!
ซันหมิงหยูรีบเอ่ยขอโทษขอโพย ขณะที่เหล่านักศึกษาที่พึ่งได้เข้ามหาวิทยาลัยกั่วฟางต่างก็หน้าเปลี่ยนสีและพากันแยกย้ายเดินจากไปโดยตรง
หลังจากเหตุการณ์นี้ ซันหมิงหยูก็ไม่กล้าที่จะเงยหน้าขึ้นมามองเขาอีกเลย
หลี่ตงสาวสวยตัวสูงจ้องมองไปยังกู่ฉิงซานด้วยตาเป็นประกาย ดูเหมือนว่าเธอจะไม่ค่อยสนใจเรื่องศีลธรรมใดๆ สักเท่าไหร่นัก
เธอมองเข้าไปในแววตาของกู่ฉิงซาน ราวกับว่ากำลังจ้องมองสมบัติที่พบเจอได้ยากอย่างไรอย่างงั้น
แต่ทางด้านซูเซี่ยเอ๋อ นอกจากเผยอปากด้วยความพอใจเล็กน้อยและเอาแต่ดื่มค็อกเทลที่กู่ฉิงซานผสมให้ตั้งแต่ต้นจนจบแล้วนั้น ที่เธอทำก็เพียงแต่ยิ้มหวานให้กับเขาอยู่ตลอดเวลา
จนกระทั่งสามนักศึกษาสาวกลับไปยังหอพัก ซูเซี่ยเอ๋อก็พูดคุยกับกู่ฉิงซานเล็กน้อย ก่อนจะดึงซันหมิงหยูแยกออกมา และกล่าวอะไรบางอย่างเป็นเรื่องเป็นราวด้วยท่าทางจริงจัง
นี่มันช่างเป็นค่ำคืนที่วิเศษจริงๆ
หลังจากที่กู่ฉิงซานส่งสามสาวถึงที่พัก เขาก็หันหลังกลับเตรียมจะจากไป ขณะที่บนใบหน้าของเขาปรากฏร่องรอยที่แสดงออกถึงความสุข
เมื่อครู่เห็นได้ชัดว่าซูเซี่ยเอ๋อดูจะแตกต่างไปจากปกติเล็กน้อย ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเธอคงจะเมาพอสมควร
ในตอนนั้น หลังจากที่ดื่มไปหลายแก้วจนใบหน้าของเธอเริ่มแดงปลั่ง ซูเซี่ยเอ๋อได้เงยหน้าขึ้นมามองกู่ฉิงซานและเอ่ยอะไรบางอย่างออกมา
“พี่ใหญ่ฉิงซาน นายต้องรอฉันนะ”
ตั้งแต่ที่ได้รู้จักกับกู่ฉิงซานมา นี่เป็นประโยคที่เธอต้องใช้ความกล้ามากที่สุดในการพูดคุยกับเขา
หลังกล่าวจบเธอก็ก้มหน้างุดและไม่กล้าเงยมองกู่ฉิงซานอีกเลย และรีบวิ่งหายเข้าไปในหอพักนักศึกษาหญิง
กู่ฉิงซานที่ย้อนนึกถึงท่าทีของเธอเมื่อครู่ก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาด้วยความสุข
เขาเดินโดยลำพังอยู่ท่ามกลางถนนในยามค่ำคืน
ในขณะที่กำลังข้ามผ่านจัตุรัสที่คลาคล่ำไปด้วยฝูงชน กู่ฉิงซานก็เหลือบไปยังหน้าจอขนาดใหญ่ที่ถูกติดตั้งไว้บนตึกมุมสูง
เขามองไปที่หน้าจอขนาดใหญ่เฉกเช่นเดียวกับสายตาของเหล่าฝูงชนที่กำลังจ้องมองมัน
เห็นแค่เพียงภาพของนักข่าวชายในหน้าจอทีวี เขาสวมเสื้อคลุมกันฝน และกำลังพยายามยืนหยัดอย่างมั่นคงบนดาดฟ้าเรือ โดยไม่สนไม่แคร์ต่อคลื่นที่ซัดสาด
“สหายผู้ชมที่รักทุกท่าน ตอนนี้เราจะเห็นได้ว่าเกิดการเปลี่ยนแปลงบางอย่างขึ้นบนท้องทะเล ขณะนี้บริเวณโดยรอบปรากฏหมอกหนาทึบ ถ้าไม่ได้มาเห็นกับตา เกรงว่าในไม่ช้า ในระยะไม่เกินสิบเมตรพวกเราจะไม่สามารถมองเห็นสิ่งใดได้เลย”
กู่ฉิงซานขมวดคิ้วและหยุดฝีเท้าลง
“การต่อสู้ในแนวหน้าได้ยุติลงแล้ว แต่พวกเรายังไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปใกล้ ทว่าในฐานะผู้สืบข่าวสายสงคราม เราย่อมมีวิธีการของเรา ทุกท่านโปรดรอดูได้เลย แต่ในเวลานี้สมควรมองไปยังน่านน้ำโดยรอบทะเลที่กำลังเกิดความผันผวนอย่างกะทันหันนี่กันก่อนนะครับ”
“ภาพที่เราเห็นอยู่มันค่อนข้างจะแปลกประหลาด” นักข่าวชายกล่าวต่อ “ครึ่งวันที่ผ่านมา เกาะรีสอร์ตทั้งเกาะได้หายไปอย่างลึกลับ และตอนนี้เรากำลังค่อยๆ เข้าไปใกล้ยังทิศทางดังกล่าวเพื่อดูว่าความผิดปกติที่เกิดขึ้นนี้คืออะไร ทว่าสัญญาณการสื่อสารกลับถูกขัดขวางไว้โดยสมบูรณ์ ทำให้เราไม่สามารถเข้าไปใกล้มากจนเกินไปได้นะครับ”
นักข่าวชายอธิบายอย่างระมัดระวัง แต่เขากลับไม่รู้ตัวเลยว่าเวลานี้หมอกหนาได้กระจายเข้าปกคลุมรอบตัวเขาแล้ว ขณะนี้ บนหน้าจอขนาดใหญ่สามารถเห็นได้แค่เพียงร่างเงาจางๆ ของเขาเท่านั้น
‘ซู้ม...’
พลันปรากฏเสียงคำรามดังมาจากจุดที่ไกลออกไป
“โปรดรอสักครู่ ดูเหมือนว่าเราจะได้ยินอะไรบางอย่าง”
“อ๊า...! เจ้าสิ่งนี้มันคืออะไรกัน!?”
เสียงกรีดร้องแหลมสูงที่ดูเหมือนว่าจะเป็นของนักข่าวชายดังขึ้น ราวกับว่าเขาได้เห็นถึงบางสิ่งที่น่าสยองขวัญ
“นั่นมันอะไรน่ะ”
“ไม่นะ! ช่วยฉันด้วย!”
และภาพบนจอก็มืดดับลง
ไม่นาน ภาพก็กลับมาปรากฏขึ้นอีกครั้ง แต่คราวนี้กลับเป็นภาพจากทางสตูดิโอข่าว
สีหน้าของสองผู้บรรยายขาวซีด พวกเขาแทบจะนั่งไม่ติดเก้าอี้แต่ก็พยายามเอ่ยอธิบาย “ดูเหมือนว่าจะเกิดการขัดข้องทางเทคนิคขึ้นนะครับ ขณะนี้เราจะทำการติดตามสถานการณ์ต่อไป และหากได้ข้อมูลเพิ่มเติมแล้วพวกเราจะนำมาออกอากาศในครั้งต่อไปครับ”
ในจัตุรัส ฝูงชนหันมามองหน้ากันและกัน ความคิดต่างๆ นาได้หลุดออกมาจากปาก หัวข้อสนทนาเริ่มขยายเป็นวงกว้าง
และเนื้อหาข่าวก็ได้ถูกเปลี่ยนไปเป็นหัวข้ออื่น
“ฉันได้ยินมาว่า ลัทธิมอร์มอนที่มีชื่อเสียง เคยป่าวประกาศว่าวันสิ้นโลกกำลังจะมาถึง”
“แต่ฉันได้ยินมาว่า ผู้เชี่ยวชาญบางคนกล่าวว่าลัทธิมอร์มอนน่ะมัวแต่ให้ความสำคัญอยู่กับการสืบเชื้อสายของมนุษย์ และจริงๆ แล้วพวกเขาแทบจะไม่รับรู้อะไรถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงๆ ในโลกใบนี้เลย”
...
กู่ฉิงซานเดินออกจากลานจัตุรัส
หมอกหนาเริ่มที่จะปกคลุมมหาสมุทร และจากนี้ไปท้องทะเลจะกลายเป็นเขตหวงห้ามสำหรับมนุษยชาติ
ในโลกก่อนหน้า การปรากฏตัวขึ้นของหมอกหนา คือครึ่งเดือนหลังจากที่เกิดเหตุการณ์เกาะหายไปอย่างลึกลับ
แม้กระทั่งเจ้าสิ่งนี้ก็ยังเกิดขึ้นล่วงหน้า ก่อนเวลาที่มันสมควรจะมาถึง!
นี่มันเหมือนกับว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นในชีวิตก่อนหน้าของเขามันจะแตกต่างกันไปหมด
เมื่อถึงยามที่มอนสเตอร์เริ่มบุกขึ้นมาบนพื้นดิน เมื่อนั้นแหละคือจุดเริ่มต้นของภัยพิบัติแรก
แล้วจากนั้นจะเกิดอะไรขึ้นต่อไปน่ะหรือ…?
ในหัวใจของกู่ฉิงซานเริ่มที่จะขาดความเชื่อมั่น
เขาสาวเท้าเดินเข้าไปในตรอกที่อยู่ห่างออกไปอย่างรวดเร็ว
“ช่วงเวลาคูลดาวน์สิ้นสุดลงแล้ว ผู้เล่นต้องการเข้าสู่โลกแห่งผู้ฝึกยุทธเลยหรือไม่?”
“ต้องการ”
หลังจากนั้นเพียงพริบตา ร่างของเขาก็หายวับไป
หลายผู้คนที่เฝ้าแอบตามเขาอย่างใกล้ชิด เมื่อเดินเข้ามาในตรอก พวกเขากลับพบว่ามันว่างเปล่า เป้าหมายได้หายตัวไปแล้ว
จมูกของคนหนึ่งในนั้นส่งเสียงฟุดฟิด ก่อนที่เขาจะกล่าว “กลิ่นของมันหายไปแล้ว”
“เจ้าเด็กนี่มันเป็นตัวประหลาดจริงๆ ด้วย”
“ก็มันสามารถฆ่าวูฟได้ มันอาจจะเก็บงำความสามารถบางอย่างที่ไม่มีใครรู้ไว้อีกก็ได้”
แต่ละคนต่างพากันส่ายหัว
“ไปกันเถอะ พวกเรากลับไปตั้งหลักกันก่อน แม้ว่ารางวัลที่ได้จากภารกิจจะถูกยกเลิก แต่คนที่สังหารพวกพ้องของเราน่ะ ทางสมาคมไม่มีวันปล่อยไปง่ายๆ อยู่แล้ว”
หลังจากที่คนกลุ่มแรกได้จากไป เงาหลายเงาก็พลันปรากฏขึ้นในตรอก พวกมันล่องลอยอยู่กลางอากาศอย่างเงียบๆ
เงาเหล่านั้นส่งกลิ่นอายอันทรงพลังและลึกลับออกมาจากทั่วทั้งร่าง
“เครื่องตรวจจับความผันผวนพลังงานชีวิต บ่งบอกว่าเขาอยู่ที่นี่จนถึงเมื่อครู่นี้” เงาๆ หนึ่งเอ่ยออกมา
“จู่ๆ ก็หายไปเฉยๆ เลยอย่างงั้นเหรอ?” อีกเงากล่าว
“ขอให้ฉันลองทดสอบดู” หนึ่งในเงาลอยออกมาเบื้องหน้าทุกคน
เขาเหยียดนิ้วออกไป และชี้ไปภายในตรอกและยืนอยู่นิ่งๆ อย่างนั้นโดยไม่เอ่ยอะไรออกมาอยู่เกือบหนึ่งนาที
สักพักหนึ่ง เขาก็ชักนิ้วกลับและกล่าว “นี่มันน่าแปลกจริงๆ ฉันไม่รู้เลยว่าเขาหายตัวไปที่ไหน ขอเดาว่ามันน่าจะเป็นหนึ่งในวิชาซ่อนเร้นอันหาได้ยากยิ่งของเทคนิคเทียนซวน”
“ไม่น่าจะเป็นไปได้ ในข้อมูลระบุว่าเขาไม่ได้มีเทคนิคเทียนซวน” คนที่เป็นหัวหน้าเอ่ยปาก “แต่พวกเราก็พึ่งถูกจ้างวานมาได้แค่สิบนาที อาจจะมีข้อมูลอะไรบางอย่างตกหล่นหรือผิดพลาดก็ได้ นายลองไปถามกับตระกูลไป่อย่างละเอียดอีกทีซิ”
เครื่องมือสื่อสารถูกดึงออกมาอย่างรวดเร็ว และพูดคุยกันได้ไม่นานก็จบลง
“บัดซบ!” คนที่พูดคุยผ่านเครื่องมือสื่อสารกล่าวอย่างหัวเสีย “เพราะอย่างนี้ไงฉันถึงได้เกลียดพวกชนชั้นสูง พอเห็นว่าเราคลาดกับเป้าหมาย พวกเขาก็ต้องการยุติการว่าจ้างในทันที รวมไปถึงยกเลิกเรื่องเงินรางวัลด้วย”
เกิดความวุ่นวายบางอย่างขึ้นในกลุ่มเงา เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่พอใจเป็นอย่างมาก
“มันไม่นับว่าเป็นเรื่องสำคัญหรอก พวกชนชั้นสูงก็มักจะหวาดระแวงแบบนี้อยู่เสมอนั่นแหละ”
หัวหน้ากลุ่มก้าวออกมาและเอ่ยกับลูกน้อง “เอาเถอะ ก็พึ่งจะเริ่มงานกันได้แค่สิบนาทีเองนี่นา แถมก็ยังไม่ได้ทำอะไรเลยด้วย อย่างไรก็ได้ค่าจ้างล่วงหน้ามาถึงหนึ่งพันล้านแล้ว เท่านี้พวกเราก็สมควรจะพอใจกันได้แล้วน่า”
คำกล่าวนี้ทำให้ความโกรธของเหล่าเงาค่อยๆ สงบลงเล็กน้อย
หัวหน้าคิดและกล่าว “นับว่าการเดินทางออกมาในครั้งนี้เปล่าประโยชน์จริงๆ นี่เป็นความเสื่อมเสียศักดิ์ศรีของกลุ่มนักฆ่าที่เก่งที่สุดในโลกอย่างพวกเรา และหลังจากนี้พวกเราจะไม่รับงานจากตระกูลไป่อีก”
แต่ละเงาต่างพากันพยักหน้า
พวกเขาค่อยๆ มลายหายเข้าไปผสมรวมกันกับความมืดมิด และหายตัวไปจากในตรอกโดยสมบูรณ์…
ตั้งแต่ที่กู่ฉิงซานได้กลับมาจุติใหม่อีกครั้ง ครั้งนี้นับว่าเป็นวิกฤติขั้นร้ายแรงที่สุดของเขา หากไม่ใช่เพราะว่าเกิดความปั่นป่วนของกระแสมิติและเวลาขึ้นแล้วล่ะก็ เขาคงไม่บังเอิญได้รับโอกาสหนีตายได้ชั่วคราวแบบนี้เป็นแน่
...........................................