ตอนที่ 10 ห้ำหั่นกับปรมาจารย์นักสู้
ทั้งห้องถูกปกคลุมไปด้วยความมืดมิด และมีเพียงโคมไฟระย้าดวงเดียวแขวนอยู่บนเพดาน แต่ก็ดูเหมือนว่ามันจะเสียมานานแล้วเนื่องจากเต็มไปด้วยฝุ่นเกาะ
สงหู่กวาดสายตาไปทั่วห้องอย่างรวดเร็ว
ไม่มีห้องนั่งเล่น หรือห้องครัว ภายในเป็นเพียงห้องโล่งๆ ยาวๆ จนแทบจะไม่สามารถวางตู้กับเตียงพร้อมกันได้ หากไม่วางซ้อนกัน
ไม่มีแม้กระทั่งห้องน้ำ
สภาพแวดล้อมเช่นนี้ ด้อยยิ่งกว่าสลัมเสียอีก
ตรงข้ามกับสงหู่มีชายคนหนึ่งนั่งอยู่ริมขอบหน้าต่าง คนๆ นั้นก็คือหัวหน้ากลุ่มนักฆ่าใต้ดิน
ไม่มีใครคนอื่นอยู่อีก เป้าหมายไม่ได้อยู่ที่นี่
เจ้าพวกฉลาดน้อย น่าเสียดายที่พวกมันไม่เข้าใจว่ายามเมื่อเผชิญหน้ากับตัวตนที่แข็งแกร่ง การต่อรองราคา มันก็มีแต่จะทำให้ตนเองเจ็บปวดยิ่งขึ้นเท่านั้น
สงหู่ตรงไปกระชากคอเสื้ออีกฝ่าย ก่อนที่จะยกเขาจนเท้าลอยเหนือพื้นและกล่าว “เจ้าขยะ ส่งตัวเด็กคนนั้นมาซะ ไม่อย่างนั้นฉันสาบานได้เลยว่าพวกแกทุกคนต้องตาย”
อีกฝ่ายจ้องมองเขา แต่ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา
คิ้วของสงหู่ยกสูงขึ้น และเตรียมที่จะทำให้อีกฝ่ายทุกข์ทรมาน
ทันใดนั้นเองความรู้สึกไม่ดีบางอย่างก็วาบเข้ามาในจิตใจของเขา
สงหู่เหลียวหลังกลับอย่างฉับพลัน กล้ามเนื้อทั่วร่างบิดเป็นเกลียว จากนั้นทั้งร่างของเขาก็ขยายขึ้น แข็งแกร่งขึ้น
เกือบจะในทันทีสงหู่ได้กลายร่างเป็นยักษ์ตัวใหญ่ที่สูงกว่าสามเมตร!
“ฮ่า!”
สงหู่คำรามก้องจนเห็นฟันและเขี้ยว มือทั้งสองหวดกระแทกอย่างรุนแรงไปในอากาศ
พร้อมกับเสียงคำรามที่หยุดลง ร่างของสงหู่เซเล็กน้อยก่อนจะถอยไปหลายก้าว จนแผ่นหลังแนบกับผนังข้างหน้าต่าง
ผนังแตกร้าวจนเป็นรอยแยก
สงหู่ก้มหัวลง จับจ้องสิ่งที่อยู่ในมือของเขา
“ลูกศร? นับว่าเป็นสิ่งที่ยากจะพบเห็นจริงๆ ”สงหู่ยังคงกำลูกศรไว้ขณะเดียวกันก็ขบคิด
ก่อนจะเงยหน้าขึ้นอย่างฉับพลัน เพราะเบื้องหน้าเขาตรงประตูได้ปรากฏร่างที่ถือธนูยาวรูปทรงแปลกตาอยู่ในมือ
“แกมัน…เจ้านักเรียนยาจกคนนั้น!”
สงหู่รู้จักผู้มาเยือนตรงหน้าดี ในใจเขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกตกตะลึง
เพียงแค่ลูกศรดอกนี้ สงหู่ต้องใช้กำลังทั้งหมดเข้าต้านทาน
ฝีมือระดับนี้ไม่ใช่นักธนูธรรมดา ทั้งหมดนี้มิใช่สิ่งที่นักเรียนมัธยมปลายควรจะมี
แต่ที่น่ากลัวยิ่งกว่านั้นก็คือ หลังจากที่สืบประวัติย้อนหลังไปกว่าสองปี เขากลับไม่พบว่าอีกฝ่ายมีความแข็งแกร่งใดๆ เลย!
เจ้าหนูนี่ ภายใต้หน้ากากที่ดูธรรมดา กลับซ่อนความแข็งแกร่งถึงเพียงนี้เอาไว้ มันวางแผนจะทำอะไรกันแน่?
ท่าไม่ดีแล้ว หากยังไม่รีบประชิดตัวทันที ตอนนี้ไม่ว่าจะเราหรือเจ้าเด็กนั่นโอกาสที่จะสังหารอีกฝ่ายก็มีพอๆ กัน!
เมื่อคิดถึงจุดนี้ สงหู่ก็ตบเท้าทั้งสอง ทะยานทั้งร่างตรงไปยังเบื้องหน้า
กู่ฉิงซานก็เคลื่อนไหวเช่นกัน!
ศรอีกดอกถูกปล่อยออกไป!
ศรดอกนี้มุ่งเป้าตรงไปยังหน้าอกของสงหู่ และด้วยการที่เข้าทะยานปรี่เข้ามาอย่างเร็วรี่ทำให้ไม่มีเวลาที่จะหลบเลี่ยง
สงหู่เหยียดมือทั้งสองออกไปอีกครั้ง และตบมันลงบนอากาศเบื้องหน้า
ปัง!
ศรที่ยิงออกมาถูกหยุดกลางอากาศ แต่ก็ส่งผลให้สงหู่ถอยหลังไปกว่าสองก้าวเนื่องจากแรงปะทะ
หากแต่สงหู่ดูจะไม่ใส่ใจมัน เขากลับเผยรอยยิ้มออกมา
“ศรดอกนี้ทรงพลังมากจริงๆ แต่กับร่างกายอันบอบบางของแก ฉันกลัวว่าแกคงจะดึงสายธนูได้อีกไม่นาน”
สงหู่ขยับคอจนเสียงดังแกร๊ก และเอ่ยเยาะเย้ย “เจ้าหนู แกจะโจมตีแบบนี้ได้อีกสักกี่ครั้งกันเชียว”
กู่ฉิงซานชะงักไป ก่อนจะกล่าวสั้นๆ “ก็หลายครั้งอยู่นะ”
สายธนูถูกดึงขึง พร้อมกับมือที่ผละออกไป
ยิงต่อเนื่อง!
ระหว่างทั้งสองดูเหมือนจะปรากฏแสงสีฟ้าเป็นเส้นสายพุ่งตรงมาจากทิศทางของกู่ฉิงซาน โดยมีเป้าหมายเป็นร่างของสงหู่
สงหู่ฟาดแขนครั้งแล้วครั้งเล่าด้วยกำลังทั้งหมดที่มีเพื่อปัดป้องลูกศร จนถอยร่นติดกำแพง
แรงปะทะของศรแต่ละดอกเกือบจะเทียบเคียงได้กับหวูเต๋าระดับปรมาจารย์นักสู้ที่ทุ่มโจมตีสุดกำลัง! หากสงหู่รามือเมื่อไหร่ เป้าหมายต่อไปของลูกศรก็คงไม่พ้นร่างกายของเขา
สงหู่ไม่คาดคิดจริงๆ ว่าตนที่เป็นถึงหวูเต๋าระดับปรมาจารย์นักสู้จะถูกกดดันโดยเด็กมัธยมปลายแบบนี้
และฉากนี้ก็กำลังถ่ายทอดสดผ่านโฮโลแกรมส่งไปทางฝั่งของนายน้อยหยุนเช่นกัน
“ไอ้เด็กเปรต แกฆ่าฉันไม่ได้หรอก พอลูกศรหมดเมื่อไหร่ นั่นแหละคือเวลาตายของแก”สงหู่คำรามด้วยความโกรธ
กู่ฉิงซานกล่าวขณะที่มือของเขาไม่หยุดนิ่ง “แกไม่สามารถอดทนรอจนถึงเวลานั้นได้หรอก .. ลาก่อน!”
กู่ฉิงซานดึงพลังวิญญาณจากตันเถียนออกมา ก่อนจะผสานมันลงในศรดอกต่อไป
ฟุบ ฟุบ!
ลูกศรพุ่งออกจากคันธนู มันเสียดทานกับอากาศอย่างรุนแรงจนระหว่างทางเกิดเสียงหวีดหวิว
และศรดอกนี้ก็ทะลวงสองมือของสงหู่ ก่อนจะกระแทกเข้ากับหน้าอกของเขา
สงหู่กระเด็นชนเข้ากับผนังจนแตกร้าว เขาไม่อาจทานทนต่อแรงปะทะได้ และสุดท้ายก็ล้มกลิ้งลงกับพื้น
ผนังห้องทั้งหมดพังครืนลงมา ทับถมร่างของสงหู่ที่ไม่อาจคงสภาพร่างยักษ์ไว้ได้อีกต่อไป จนภาพเบื้องหน้าปรากฏเพียงสายลมยามค่ำคืนที่พัดผ่าน
“บัดซบ!”
สงหู่ค่อยๆ ยืนหยัดขึ้น เขาพยายามที่จะรักษาสมดุล และต้องการที่จะกลับสู่สภาพร่างยักษ์อีกครั้ง
อย่างไรก็ตาม เขาก็ต้องสิ้นหวัง เนื่องจากศรอีกดอกส่งเสียงหวีดหวิวแหวกอากาศพุ่งตรงมา
ศรดอกนี้ลากสงหู่กระเด็นตกจากตึกชั้นที่ยี่สิบสองก่อนที่จะค่อยๆ โค้งลงตามแรงโน้มถ่วง ร่วงลงไปในจุดที่ห่างออกไป
ต่อให้เป็นยอดปรมาจารย์นักสู้ หากตกลงจากตึกที่มีความสูงถึงยี่สิบสองชั้นก็ต้องตายอย่างไม่น่าสงสัย ยิ่งสงหู่เป็นเพียงปรมาจารย์นักสู้ ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึง
เว้นเสียแต่ว่าจะเป็นผู้ที่เข้าสู่ขอบเขตหวูซุน นักสู้บรรพชน ที่ร่างแกร่งราวกับทองคำ กระดูกแกร่งราวกับเหล็กกล้า จนไม่ต้องกลัวแรงปะทะ จึงจะสามารถรอดชีวิตจากในกรณีนี้ได้
กู่ฉิงซานเดินตรงไปยังจุดที่สงหู่ยืนอยู่ก่อนหน้านี้ ก่อนจะหยิบกล้องบนอุปกรณ์สื่อสารข้นมาจากพื้นดิน
“เนี่ยหยุน?”
ปลายสายส่งเสียงตะโกนจนแทบคลั่งออกมา “ระยำ แกกล้าฆ่าคนที่อุทิศตัวให้กับตระกูลของฉัน แกสร้างปัญหาใหญ่แล้วรู้เอาไว้ซะ เตรียมตัวตายได้เลย”
กู่ฉิงซานมองไปยังภาพบนอุปกรณ์สื่อการ และโพล่งออกไป “ทางฝั่งที่แกอยู่ดูเหมือนจะเป็นคาสิโนที่ใหญ่ที่สุดในเมืองสินะ ถ้างั้นก็ช่วยรออยู่ที่เดิม อย่ารีบหนีไปไหนซะละ”
เนี่ยหยุน “แกหมายความว่าอย่างไร”
“ก็หมายความว่า…โปรดรอสักครู่ กูจะรีบไปฆ่ามึงเดี๋ยวนี้แหละ!”
กล่าวจบ สัญญาณจากอุปกรณ์สื่อสารในชั้นที่ยี่สิบสองก็วูบดับไป
กู่ฉิงซานมองดูชายที่นอนขดตัวอยู่ในมุมห้อง ก่อนจะหันหลังเดินจากไป
ชายหัวหน้ากลุ่มนักฆ่าใต้ดินเห็นแบบนั้น เขาก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม “ฉันไม่มีประโยชน์อะไรอีกแล้ว ทำไมนายถึงไม่ฆ่าฉัน”
“ก็เพราะฉันขอให้นายเป็นตัวล่อ นายก็ทำ ดังนั้นนายสมควรได้รับชีวิตของตัวเองกลับคืน”
กู่ฉิงซานกล่าวเสร็จก็เดินจากไป และหายวับไปยังทางลงบันไดอย่างรวดเร็ว
สีหน้าของชายนักฆ่าดูจะฝืนทน เขาถอนหายใจออกมา ก่อนจะลุกขึ้น และรีบวิ่งออกไป
เขาตะโกนก้อง “หยุดก่อน นายไม่ควรจะไปที่นั่น นายกำลังพาตัวเองไปตาย ที่นั่นมียอดยุทธของตระกูลเนี่ยเหมือนกับคนที่คอยติดตามเนี่ยหยุนเฝ้าอยู่ พวกเขาอยู่ในระดับยอดปรมาจารย์นักสู้กับพวกเฉาฟ่าน ผ่าเหล่า!”
ภายในคาสิโน
สายตาของเนี่ยหยุนจับจ้องอยู่กับอุปกรณ์สื่อสาร และไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาอยู่พักหนึ่ง
“นายน้อยเนี่ย ขออภัยที่ต้องกล่าว แต่ดูเหมือนว่าฉันจะชนะ”ชายสวมแว่นกันแดดเอ่ยปาก
เนี่ยหยุนผุดลุกขึ้นทันที ก่อนจะก้าวขาวิ่งออกไป
หลังจากนั้นไม่นาน รถเหินเวหาที่มีลวดลายวิจิตรงดงามคันหนึ่งก็ทะยานขึ้นจากคาสิโน และหายลับเข้ากลีบเมฆไปอย่างรวดเร็ว
ชายสวมแว่นกันแดดมองรถเหินเวหาที่ทะยานขึ้นเหนือเมฆผ่านทางหน้าต่าง พลางกล่าวเย้ยหยัน “ดูเหมือนว่ามันจะได้รับกระทบกระเทือนจิตใจอย่างแรง โดนขู่แค่ไม่กี่คำก็วิ่งหนีไปซะแล้ว”
จู่ๆ สีหน้าของชายสวมแว่นก็เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม ก่อนจะหันหลังกลับไปโค้งคำนับและกล่าว “ฝ่าบาท โปรดสงบใจก่อนนะพ่ะย่ะค่ะ ดูเหมือนว่าระหว่างภารกิจจะเกิดปัญหาขึ้นเล็กน้อย”
หญิงงามที่ก้มหลบอยู่หลังเก้าอี้เมื่อครู่ดูเปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคน เธอค่อยๆ ยืนขึ้นอย่างช้าๆ ขณะเดียวกันก็ก้มลงมองเปลวเพลิงที่ลุกโชนอยู่ในมือของเธอ
เปลวเพลิงที่ถูกควบรวมไว้ในมือค่อยๆ ก่อตัวจนเปลี่ยนรูปร่างเป็นหัวกะโหลกอย่างเงียบๆ มันส่งกลิ่นอายที่เต็มไปด้วยความมืดมนออกมา
หญิงงามจับจ้องไปยังหัวกะโหลกในมือของเธอ และเอ่ยออกมาคำหนึ่ง “การปิดบังตัวตนช่างเป็นเรื่องที่น่ารำคาญยิ่ง”
เธอสะบัดฝ่ามือ ก่อนที่เปลวเพลิงจะหายวับไป
......................................