webnovel

นินจาในตำนานเกิดใหม่เป็นจอมเวท ตอนที่ 3

ก็อบลินคิงมีร่างกายใหญ่โตกว่าก็อบลินปกติหลายเท่าแต่เมื่อเทียบกับมนุษย์มันก็ใหญ่กว่าเพียงเล็กน้อย ภาพจึงเหมือนกับมนุษย์สี่คนกำลังรุมกินโต๊ะคนเพียงคนเดียว อาวุธของร่างแยกทั้งสี่ต่างผลัดกันเรียกเลือดจากศัตรูโดยไม่เปิดโอกาสให้ตอบโต้ หลบหนี หรือแม้แต่ปัดป้อง

ยูกิโตะประหลาดใจที่ราชายังไม่ล้มลง เขาแน่ใจว่ายูเมะคุอิแทงทะลุหัวใจผ่านหัวใจของมัน ก็อบลินคิงในตอนนี้ไม่ต่างจากร่างที่ตายไปแล้วแต่ยังคงอะละวาดด้วยแรงฮึดเฮือกสุดท้าย

ก่อนที่ดวงตะวันจะคล้อยต่ำ การนองเลือดข้างเดียวก็สิ้นสุดลง สนามรบถูกแปรสภาพไปอย่างสิ้นเชิง ไม่ว่าจะมองไปทางไหนสิ่งที่เห็นถ้าไม่ใช่ซากศพก็อบลินก็จะมีเพียงทิวทัศน์ที่เปลี่ยนไปจากสารพัดการโจมตีของทั้งสองฝ่าย

ราวกับภาพของฝันร้ายที่หลุดมาจากขุมนรก

นั่นคือครั้งสุดท้ายที่มีคนพบเห็นยูกิโตะในโซเชีย ภาพของชายหนุ่มชุดดำอันตรธานไปเมื่อสงครามสิ้นสุดลง แม้จะเห็นกับตาแต่ประจักษ์พยานเหล่านั้นก็ยังสงสัยว่าสิ่งที่พบเห็นคือเรื่องจริงหรือแค่จินตนาการของพวกเขาเอง มันจะเป็นไปได้อย่างไรที่กองทัพก็อบลินนับแสนถูกชายเพียงแค่คนเดียวเล่นงาน แถมคน ๆ นั้นยังเป็นเพียงแค่จอมเวทฝึกหัดที่มีเลเวลไม่ต่างจากเด็กน้อย

ข่าวลือเกี่ยวกับชายลึกลับปรากฏให้เห็นอยู่เนือง ๆ ทั่วทุกมุมโลก ชายที่ไม่มีใครรู้ที่มาที่ไป โผล่มาและจากไปราวกับภูติผี สิ่งเดียวที่เขาหลงเหลือไว้คือเศษซากศพนับร้อยนับพันของเผ่าพันธุ์ปีศาจ

สงครามในทะเลทรายระหว่างสาธารณรัฐเอมแบดกับกองทัพของลิซาร์ดแมน

สงครามในทะเลน้ำวนระหว่างกองเรือพันธมิตรฝ่ายเหนือกับกลุ่มโจรสลัดปีศาจ

สงครามความขัดแย้งภายในประเทศเบย์กาดาที่มีพวกดาร์คเอลฟ์อยู่เบื้องหลัง

และการต่อสู้น้อยใหญ่อีกหลายครั้งทั้งที่ถูกบันทึกและคนภายนอกไม่ได้ล่วงรู้ ทุกการต่อสู้เหล่านั้นจะมีชายผู้หนึ่งปรากฏตัวอยู่เสมอ และเขาก็กลายเป็นตาของพายุแห่งความวุ่นวาย

ผมสีขาวยุ่งเหยิง ชุดสีดำทั้งร่างและปิดหน้าปิดตา ดวงตาที่เศร้าหมอง ชายลึกลับผู้มาพร้อมกับวิชาแปลกประหลาด เขากลายเป็นมัจจุราชสำหรับใครหรืออะไรก็ตามที่ถูกปกครองโดยจอมมาร

เช่นเดียวกับคาเนชิโระ ยูกิโตะ โชกุนปีศาจคนนั้นก็ไม่เคยอยู่ที่เดิม เขาผลัดเปลี่ยนไปยังสนามรบต่าง ๆ และยัดเยียดความปราชัยให้กับมนุษย์ ด้วยเหตุนี้ทั้งสองจึงคลาดกันอยู่เสมอ

ในที่สุดยูกิโตะก็พบเป้าหมายที่เขารอคอย เขาเชื่อว่าหากผ่านพ้นวันนี้ไปการเดินทางของเขาจะจบลง

"แกนี่เอง… " โชกุนปีศาจระลึกได้ว่ากำลังเจอคู่ปรับเก่า

ยูกิโตะไม่ได้แปลกใจเมื่อพบกับศัตรูเก่าตั้งแต่ชาติก่อน ถ้าเขาสามารถมาเกิดใหม่ในโลกนี้ได้ โชกุนปีศาจเองก็น่าจะทำได้เช่นเดียวกัน ที่เขาแปลกใจก็คืออีกฝ่ายไม่ได้กังวลเลยสักนิดเมื่อต้องกลับมาเผชิญหน้ากันอีกครั้ง

เขาอ่านสเตตัสของอีกฝ่าย

[มินาโมโตะ ริวซากิ (อะคุมะโชกุน)]

[อาชีพ: เดมอนลอร์ด เลเวล: 439]

[ไม่สามารถตรวจสอบสเตตัส]

[ไม่สามารถตรวจสอบสกิล]

"เลเวลสูงขึ้นอีกนิดสินะ" เขาพึมพำ ตัวเลขบอกเลเวลทำให้ยูกิโตะไม่ต้องคาดเดาถึงความร้ายกาจ เขาจำได้ไม่มีวันลืมถึงความแข็งแกร่งจากการปะทะครั้งก่อน ในตอนนั้นเลเวลของโชกุนปีศาจน้อยกว่านี้เล็กน้อยด้วยซ้ำ

"จำอะไรแบบนั้นได้ด้วยเหรอ เวลาก็ผ่านมาหลายปีแล้ว" โชกุนปีศาจไม่ได้ตรงเข้ามาโจมตี แต่แผ่รังสีอำมหิตออกมาให้สัมผัสได้ ถ้ายูกิโตะไม่มีประสบการณ์ต่อสู้อย่างโชกโชน เขาคงจะต้องฝืนต้านรังสีอำมหิตไม่ได้และต้องคุกเข่าลงต่อหน้ามัน

"ครั้งนี้เจ้ามาคนเดียวสินะ คนที่เหลือไม่ได้มาเกิดใหม่ด้วย"

ชาติที่แล้วยูกิโตะมีส่วนสำคัญในการล้มโชกุนปีศาจผู้นี้ เขาสละชีพต่อสู้และสามารถค้นหาจุดอ่อนของอีกฝ่ายได้สำเร็จ มันทำให้นินจาในตำนานอีกสี่คนสามารถกำราบวายร้ายตนนี้ลงได้

"เท้าของเจ้ายังอยู่ดี แต่คงอีกไม่นาน" ยูกิโตะยืนนิ่ง เล่นสงครามประสาทบ้าง เลเวลอาจต่างกันมากมาย แต่ยูกิโตะมั่นใจว่าเขาล้มศัตรูได้

มารดาของโชกุนปีศาจผู้มีศักดิ์เป็นครึ่งเทพ สมัยที่เขายังเด็ก ได้ทำพิธีมอบความเป็นอมตะให้กับลูกชายโดยการนำร่างของเขาจุ่มลงในน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์ที่เชื่อว่ามันจะทำให้ได้ร่างกายที่ไร้เทียมทาน เรื่องเล่านี้ฟังดูคลับคล้ายคลับคลาเมื่อครั้งฟังจากซิสเตอร์ในวัยเด็ก กระทั่งวันที่เขาล้มลงแทบเท้าของโชกุนปีศาจ ความทรงจำหนึ่งก็หวนคืนมา

ใช่แล้ว! เขานึกได้ในนาทีคับขัน เรื่องเล่าที่เคยได้ฟังมา เป็นเรื่องที่ช่างเหมือนกับเทพปกรณัมกรีกที่เขาเคยดูจากหนังเรื่องหนึ่ง เขาจำรายละเอียดของเรื่องที่ดูไม่ได้แล้ว สิ่งที่จำได้คร่าว ๆ ก็คือหญิงผู้หนึ่งนำลูกชายของตนไปจุ่มลงในแม่น้ำสติกซ์ มันทำให้อาวุธใดจะทำร้ายร่ายกายของลูกเธอได้ แต่ตอนนั้นนางลืมจุ่มข้อเท้าของลูกนางลงไป

ข้อเท้าจึงน่าจะเป็นจุดอ่อนเพียงจุดเดียว

ยูกิโตะจำได้อย่างแม่นยำว่าวันนั้น เขาที่ไม่รู้ว่าความเชื่อของตัวเองจะได้ผลไหม ได้ลงมือกับข้อเท้าของโชกุนปีศาจจนขาดกระเด็นจากวิชานินจาระเบิดพลีชีพ

ทุกอย่างลางเลือนหลังจากนั้น คาถาระเบิดพลีชีพทำให้เขาบาดเจ็บร้ายแรง แต่ก็ยังไม่ใช่สาเหตุหลักที่ทำให้เขาตาย ยูกิโตะฝืนสู้พร้อมกับสี่นินจาในตำนานที่เหลือ แม้ความอมตะของคู่ต่อสู้จะไม่มีแล้วแต่พวกเขาใช้เวลาอยู่นานกว่าจะหยุดลมหายใจของโชกุนปีศาจได้…

ครั้งนี้ต่างออกไป ยูกิโตะทำในสิ่งที่ต่างออกไป เขาไม่ระเบิดตัวเองซี้ซั้ว แต่จู่โจมมันด้วยกับดักและคาถานินจามากมายที่เตรียมไว้ ระเบิดจำนวนมากถูกซ่อนไว้ในคลังเก็บของมิติและคลังเก็บของนินจา เขาจงใจส่งมันออกไปโดยเล็งไปที่จุดตายของโชกุนปีศาจ

บรึ้ม...

เสียงระเบิดที่ดังราวท้องฟ้าถล่มถูกจุดอย่างต่อเนื่อง โชกุนปีศาจเป็นศูนย์กลางการทำลายล้าง หน้าที่หลักของระเบิดไม่ใช่การเล่นงานโชกุนปีศาจเท่านั้น เผ่าปีศาจมากมายที่ห้อมล้อมถูกลูกหลงไปด้วย มันช่วยเปิดโอกาสให้ยูกิโตะดำเนินแผนขั้นต่อไปได้ง่ายขึ้น

"พ่ายแพ้ไปอีกครั้งซะ"

ยูกิโตะพุ่งเข้าประชิด มือของเขากำดาบยูเมะคุอิที่ประจุพลังชี่มหาศาลของตนเอาไว้

"มันไม่ได้ง่ายนักหรอก อย่าดูถูกข้าเกินไป" โชกุนปีศาจที่ใส่เกราะเทอะทะกลับว่องไวกว่า เขาสวนกลับด้วยการฟันยูกิโตะจนขาดครึ่งตามแนวยาว

แน่นอนว่านั่นเป็นแค่ภาพลวง ยูกิโตะอีกคนอยู่ด้านหลัง แต่ก็เช่นเดิมโชกุนปีศาจสัมผัสได้ก่อนที่ยูกิโตะจะเคลื่อนไหวโจมตี ดาบตวัดและแทงสวนมาที่ยูกิโตะโดยโชกุนปีศาจไม่ต้องมอง

ยูกิโตะหน้านิ่ง

โชกุนเบิกตากว้าง

"นี่มันอะไร…" ดาบแทงทะลุหัวใจด้วยซ้ำ

ขณะที่กำลังจะสะบัดดาบเพื่อขยี้หัวใจทั้งดวงให้แหลกเหลวแม้จะไม่คลายใจถึงท่าทีตอบกลับของผู้ถูกทำร้าย ชูริเคนจำนวนมากก็พุ่งมาจากอีกด้าน ยูกิโตะเขวี้ยงมันออกมาก่อนหน้านั้นและบังคับให้มันวกกลับมา

โชกุนปีศาจรู้สึกว่าชูริเคนเหล่านั้นมีจิตของยูกิโตะอยู่

"แกเล่นลูกไม้เดิมอย่างนั้นเหรอ" เขามั่นใจว่ามันคือวิชาแปลงร่างที่เปลี่ยนตนเองเป็นชูริเคน โชกุนปีศาจชักดาบกลับมาจากร่างที่อยู่ข้างหลังซึ่งสลายเป็นควันไปในทันที จากนั้นก็ปล่อยคลื่นดาบขนาดใหญ่ที่สามารถกลืนภูเขาทั้งลูกหายไปได้ใส่ชูริเคนเหล่านั้น

ชูริเคนสลายไปแบบเดียวกัน ทุกร่างต่างเป็นร่างแยก ขณะที่กำลังมองหาร่างจริงของศัตรู โชกุนปีศาจก็ถูกคว้าข้อเท้าไว้ได้ คนที่คว้าไว้ไม่ใช่ใครอื่นแต่เป็นหนึ่งในศพของลูกน้องของตนที่ถูกระเบิดของยูกิโตะตั้งแต่ตอนแรก

"จับได้แล้ว…"

เขาแปลงร่างเป็นศพของปีศาจมาตลอด และที่มองเห็นเป็นแขนที่คว้าข้อเท้าไว้ก็ไม่ใช่แขนจริง มันคือแขนกลไกที่ยัดวัตถุระเบิดเอาไว้ซ้ำยังมีลมปราณที่ยูกิโตะสะสมเอาไว้จนแทบล้นทะลัก มากเสียจนน่าแปลกใจที่เขาซ่อนของแบบนี้เอาไว้ตลอดโดยที่ไม่มีใครรู้ตัวได้อย่างไร

"อ๊าก"

ปีศาจในร่างมนุษย์ที่ควรจะไร้ความรู้สึกกำลังกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด ข้อเท้าของโชกุนปีศาจขาดกระเด็น ยูกิโตะตามเข้าไปซ้ำและตัดคออีกฝ่ายสำเร็จ…

ทว่า…

"อะไรกัน" ยูกิโตะสะดุ้งสุดตัว หัวของโชกุนปีศาจที่อยู่ในมือหายไป เขาถูกวิชาภาพลวงเล่นงานในขณะที่กำลังย่ามใจว่าตนได้รับชัยชนะแล้ว แต่มันเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไรกัน อย่างน้อยที่สุดระเบิดที่ข้อเท้าของโชกุนปีศาจก็เกิดขึ้นจริง สภาพแวดล้อมที่กลายเป็นทะเลเพลิงยืนยันสิ่งนั้นได้ แต่ทว่า…

"ทำไมถึงไม่บาดเจ็บสักนิด แกคิดอยู่สินะ" โชกุนปีศาจพูดในสิ่งที่นินจาผมขาวกำลังคิด ร่างกายของมันครบสามสิบสอง

ชุดเกราะที่หุ้มทั้งร่างรวมทั้งปกปิดใบหน้าจนเหลือแค่ดวงตา น้ำเสียงที่ทำให้ผู้ฟังรู้สึกเหมือนถูกราดด้วยน้ำแข็ง ทำให้ยากจะอ่านอารมณ์ของจอมมารคนนี้ แต่ยูกิโตะแน่ใจว่าอีกฝ่ายกำลังเย้ยหยันตน

"ข้อเท้า… ไม่ใช่จุดอ่อนแล้วเรอะ"

"คิดเหรอว่าข้าจะปล่อยให้ตนมีจุดอ่อนเหมือนเดิม" น้ำเสียงนิ่งแต่รู้สึกได้ว่ากำลังหัวเราะอย่างพอใจที่เห็นศัตรูจากอดีตชาติงงเป็นไก่ตาแตก

"จริงสิ เลเวลของแกเพิ่มขึ้นด้วยนี่ เพราะแบบนั้นเลยกำจัดจุดอ่อนได้งั้นเรอะ"

"ทั้งเลเวล ทั้งสกิล ทั้งฝึกเพื่อกำจัดจุดอ่อน… ข้าในตอนนี้ไม่ใช่คนเดิมที่เคยแพ้ให้กับพวกกระจอกแบบแก"

"..." ยูกิโตะได้ฟังแล้วนิ่งไป

...โง่จริงเรา คิดเองเออเองแต่แรกว่าอีกฝ่ายจะทะนงในพลังเกินไป ปีศาจในร่างมนุษย์ที่เกือบจะไร้เทียมทานคงไม่คิดเรื่องการฝึกฝนพัฒนาตัวเอง แต่ความจริงมันกลับกัน คนที่อวดดีมันคือตัวเราเองต่างหาก ทั้งที่เดิมทีก็อ่อนแอกว่า แต่กลับรีบมาดื้อดึงสู้โดยไม่ได้เตรียมใจเลย…

ยูกิโตะลองหาวิธีการโจมตีอีกหลายครั้ง แต่ผลลัพธ์ไม่ต่างไปจากเดิม ไม่ว่าจะดาบที่อัดพลังชี่ลงไป ระเบิดนินจาที่เตรียมไว้ คาถานินจาที่มีคุณสมบัติของธาตุต่าง ๆ ไม่ว่าจะแบบไหน เขาก็ไม่สามารถทำอันตรายให้กับโชกุนปีศาจได้ แม้ว่าทั้งหมดนั้นจะเล็งไปที่ข้อเท้าขวาซึ่งเคยเป็นจุดอ่อนของศัตรูก็ตาม

เป็นความรู้สึกสิ้นหวังแบบที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน แม้แต่ตอนที่เกือบพ่ายแพ้เพราะยังไม่รู้จุดอ่อนก็ยังไม่ทำให้เขาหวั่นใจเท่านี้ ความรู้สึกที่หาทางออกไม่ได้บางครั้งยังไม่น่ากลัวเท่ากับการที่เคยเห็นทางออกแต่ตัวเองกลับทำมันหลุดมือไปเสียเอง

เมื่อมั่นใจแล้วว่าไม่มีประโยชน์ที่จะดิ้นรน เขาก็ตัดสินใจหนีไปตั้งหลัก

"หยุดซะ แกตายชาติที่แล้วยังไง ข้าไม่สน แต่ชาตินี้แกต้องตายด้วยน้ำมือของข้าบ้าง" โชกุนปีศาจพยายามหยุดลมหายใจยูกิโตะ

แต่อีกฝ่ายก็ไม่สามารถทำอย่างใจคิด อาจฟังดูน่าอายแต่ก่อนที่ยูกิโตะจะได้ชื่อว่าเป็นนินจาในตำนานสิ่งที่เขาไม่เคยเป็นรองใครเลยคือทักษะในการหลบหนี ระเบิดควันกระจายออกโดยรอบ วิชาแยกร่างและวิชาแปลงร่างถูกใช้พร้อมกัน ฝูงตั๊กแตนจำนวนนับไม่ถ้วนกระจายออกไปโดยรอบ

แม้ว่าจะยังอยู่ในวงล้อมของกองทัพปีศาจ แต่ก็ไม่มีใครหยุดการหนีของเขาได้

หลายวันผ่านไป จากวันที่เขาต้องหนีตายอย่างน่าทุเรศ เมื่อมีเวลาได้ตรองดู ยูกิโตะก็ยิ่งสมเพชตัวเอง ด้วยอุปกรณ์ที่มีในตอนนี้เขาอ่อนแอกว่าตัวตนในชาติก่อนด้วยซ้ำ แต่เขากลับย่ามใจว่าเอาชนะศึกนี้ได้

ยูกิโตะยอมรับว่าเขาชื่นชมโชกุนปีศาจยิ่งกว่าที่เคย ไม่ใช่ในแง่ความแข็งแกร่งภายนอก แต่เป็นจิตใจที่ไม่ยอมพ่ายแพ้ ฝ่ายนั้นยอมรับในส่วนที่อ่อนแอของตนและพัฒนาตัวเองขึ้น ตรงกันข้ามกับยูกิโตะ เขาปล่อยเวลาให้ผ่านไป ใช้แต่ทักษะเดิมที่มี ไม่ได้ตระหนักความจริงว่าที่นี่ไม่ใช่โลกเดิมแล้ว

...เราจำเป็นต้องเก่งขึ้นกว่านี้ ต้องพัฒนาให้เร็วกว่าโชกุนปีศาจด้วย…

...แต่จะทำอย่างไรล่ะ คิดค้นวิชานินจาชนิดใหม่งั้นเหรอ…

แล้วเขาก็พยายามนึกถึงเรื่องราวต่าง ๆ ที่ผ่านมา มีจุดไหนที่เขามองข้ามไปบ้าง หนังมากมายหลายร้อยหลายพันเรื่องที่เคยดูในอดีตจะมีคำตอบซ่อนอยู่ไหม หรือช่วงชีวิตที่ผ่านมามีสิ่งใดที่เขาละเลยไปบ้างหรือเปล่า

...ละเลย งั้นเหรอ…

ถ้าจะมีสิ่งหนึ่งที่ยูกิโตะรู้สึกติดค้าง ก็คงเป็นเรื่องของริน เพื่อนตั้งแต่สมัยเด็กที่คอยช่วยเหลือเขามาตลอด ยูกิโตะไม่ได้เจอกับรินอีกเลย ตั้งแต่วันที่เขาตัดสินใจตระเวนไปทั่วโลกเพื่อตัดกำลังทัพจอมมาร เขาจากมาโดยไม่ได้แม้แต่บอกลาอีกฝ่ายด้วยซ้ำ

ไม่อยากให้อีกฝ่ายเป็นห่วง เหตุผลนั้น ครึ่งหนึ่งอาจจะจริงแต่มันมีเหตุผลซับซ้อนกว่านั้น

อีกครึ่งเกิดจากการที่เขารู้สึกยินดีที่ตนเองมีความลับ คล้ายกับหนังซุปเปอร์ฮีโรหลายเรื่องที่เคยดู ยูกิโตะปิดบังตัวตนที่แท้จริงเอาไว้ในคราบของคนอ่อนแอ เอาใช้สเตตัสในฐานะจอมเวทหลอกลวงเพื่อให้ทุกคนคิดว่าเขาอ่อนแอ ทั้งที่ความจริงนั้นไม่ใช่เลย

ใช่แล้ว เขารู้สึกดีกับการได้ดูแคลนคนที่มาดูถูกตน แม้แต่รินผู้วางท่าเหมือนพี่สาวและมองเขาอย่างเอ็นดู เขาอดคิดไม่ได้ว่าวันหนึ่งเมื่อเธอได้รู้ความจริง เธอจะรู้สึกอย่างไรนะ ยูกิโตะที่อ่อนแอที่เธอต้องดูแลมาตลอด แท้จริงแล้วเขามีพลังขนาดที่สามารถกอบกู้โลกได้

...นี่ตัวเราเคยคิดอะไรน่าสมเพช เป็นคนน่ารังเกียจยกตัวเองในความคิดตัวเองแบบนั้นเลยเหรอ…

...ก่อนอื่นก็ต้องยอมรับในสิ่งที่ตัวเองเป็นให้ได้ แล้วก็ก้าวต่อไป ต่อไป มันคือสิ่งเดียวที่เราทำเป็น…

คำว่ายอมรับในสิ่งที่เป็น ทำให้ยูกิโตะตะขิดตะขวงใจขึ้นมาอีกครั้งถึงสิ่งที่เขามองข้ามและเคยคิดว่ามันไม่สำคัญมาตลอด อีกอาขีพหนึ่งที่เป็นตัวตนของเขา แต่ยูกิโตะไม่เคยใส่ใจ เขาไม่ใช่แค่นินจาแต่ยังเป็นจอมเวทด้วย ถ้าการเป็นนินจากลายเป็นทางตันของการพัฒนาแล้ว เขาก็ควรฝึกฝนในฐานะจอมเวทเสีย

แล้วการฝึกในฐานะจอมเวทก็เริ่มตั้งแต่วันนั้น