หากมลรู้สักนิดว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นในสองวันที่เขาขออยู่จัดการธุระต่อ เขาคงจะไม่ทำแบบนั้นและรีบไปหาเจ้าตาทันที
วโรดมป่วยหนักมาหลายวันแล้ว อุสาก็คอยปรนนิบัติไม่ห่าง แต่ฤๅษีก็รู้ดีว่าตัวเองคงหนีความตายไปไม่พ้น ตาที่เคยแจ่มใสของเขาเริ่มพร่ามัว
"อุสาเอ๋ย ข้าคงไม่รอดแล้ว"
เด็กสาวน้ำตาไหล เธอกุมมือผู้เป็นพ่อไว้แน่น "เจ้าตาอย่าพูดแบบนั้นสิเจ้าคะ ถ้าเจ้าตาตายแล้ว ข้าจะอยู่กับใคร"
วโรดมพยายามเอื้อมมือลูบหัว แต่ก็อ่อนล้าเกินกว่าจะสำเร็จ "คนเราหนีความตายไปไม่พ้นหรอก"
อุสาซบหน้าลงที่อกก่อนจะสะอื้นให้ "เจ้าพี่มลก็ทิ้งข้าไปแล้ว เจ้าตาจะทิ้งข้าไปอีกคนหรือเจ้าคะ"
"มลไม่ทิ้งเจ้าหรอก" ฤๅษียืนยันให้สบายใจ "เขาต้องกลับมาหาเจ้าแน่"
"นี่ก็เป็นปีแล้ว เจ้าพี่ก็ยังไม่กลับ" อุสารำพึงด้วยความน้อยใจ "บางทีเจ้าพี่อาจจะเจอคนใหม่ที่ชอบมากกว่าข้าแล้วก็ได้"
"เจ้าต้องเชื่อใจมล" วโรดมว่า "ภารกิจที่เขาทำไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ถ้าเขาจัดการเสร็จ ก็ต้องกลับมาหาเจ้าแน่นอน"
"งั้นเจ้าตาก็ต้องรอเจ้าพี่นะเจ้าคะ เจ้าพี่ต้องคิดถึงเจ้าตามากแน่ ๆ"
วโรดมไม่ตอบ เป็นฤๅษีต้องรักษาศีล จะพูดโกหกไม่ได้ แต่หากพูดความจริงไป อุสาต้องเสียใจมาก ดังนั้นเขาจึงได้แต่ยิ้มให้เท่านั้น
คืนวันนั้นอุสาฝันว่าฟันหัก ฟันร่วงหมดปากอย่างน่ากลัว เธอเข้าไปปลุกผู้เป็นพ่อเพื่อต้องการให้เขาปลอบใจจากฝันร้าย แต่ก็ต้องเผชิญกับความจริงที่เลวร้ายยิ่งกว่าความฝัน วโรดมสิ้นใจแล้วอย่างสงบ เขาจากไปด้วยรอยยิ้ม
อุสาเดินเหม่อมาถึงแม่น้ำ เป็นแม่น้ำสายเดียวกับที่มลและเพื่อน ๆ โดยสารเต่าเรือนไปผจญภัย เธอเหม่อมองไปที่ฝั่งตรงข้าม ตอนนี้เจ้าตาก็ไม่อยู่แล้ว มลก็ไปแล้วไปลับ เด็กสาวรู้สึกว่าตัวเองโดดเดี่ยว ไม่มีที่พึ่งพา
คำสั่งสุดท้ายของคนที่เป็นทั้งอาจารย์และพ่อคือให้เธอเชื่อใจมล อุสาก็จะทำตามคำสั่ง แต่เธอไม่อยากอยู่ที่อาศรมอีกแล้ว ที่นั่นมีแต่ทำให้เธอคิดถึงคนที่จากไปมากขึ้น แต่เด็กสาวจะไปไหนได้เล่า เธออยู่ที่อาศรมนั่นมาตั้งแต่เกิด อีกอย่างหนึ่งหากเธอออกจากอาศรมแล้ว เจ้าพี่ของเธอจะตามหาได้อย่างไร
อุสาทรุดตัวลงริมฝั่งน้ำและร้องไห้ ทำไมเรื่องแบบนี้ต้องมาเกิดกับเธอด้วย ทำไมเธอถึงเป็นคนโชคร้ายแบบนี้ มีพ่อแม่ก็ไม่เหมือนคนอื่นเขา จะพึ่งพาพี่อีกฝ่ายก็ไม่มีวี่แววว่าจะกลับ มลยังทำภารกิจไม่สำเร็จจริง ๆ หรือ หรือว่าเขาลืมเธอแล้วกันแน่ เด็กสาวปาก้อนหินใส่น้ำเพื่อระบายอารมณ์
"โอ๊ย!" เสียงร้องดังขึ้น นางเงือกตัวหนึ่งผุดออกมาจากใต้น้ำ เธอค้อนให้อุสา เพราะโดนก้อนหินเข้าเต็ม ๆ
อุสาหลุดจากภวังค์ความเศร้าเมื่อได้ยินเสียงร้อง เธอเงยหน้าสบตากับนางเงือก ก่อนจะพึมพำขอโทษ
นางเงือกตัวนั้นว่ายเข้ามาใกล้ฝั่ง ตั้งใจจะมาโวยวายเต็มที่ แต่เมื่อเห็นสีหน้าเศร้าหมองของอุสา ก็พูดอย่างอ่อนโยนว่า
"เจ้าเป็นอะไร ร้องไห้ทำไม"
อุสายิ่งสะอื้นหนักเข้าไปใหญ่จนนางเงือกตัดสินใจเดินขึ้นมาบนบก นางเงือกตัวนี้เดินได้เพราะเป็นเงือกน้ำ เธอมีรูปร่างเหมือนมนุษย์ปกติ เพียงแต่มีหางที่ก้นเป็นปลาเท่านั้น เธอนั่งข้าง ๆ อุสา แต่ไม่พูดอะไรเลย
ความเงียบปกคลุมอยู่นาน นางเงือกตัดสินใจแนะนำตัว "ข้าชื่อมณีวรรณ ข้ามีน้องสาวสองคน ชื่อไพลินวรรณกับพิไลวรรณ แล้วเจ้าล่ะ มีพี่น้องหรือเปล่า"
อุสาคิดถึงมลจึงพยักหน้าแต่ต่อมาก็สายหน้า เธอไม่แน่ใจว่ามลยังเห็นเธอเป็นน้องอยู่หรือเปล่า แต่เรื่องสำคัญไปกว่านั้นตอนนี้อุสาไม่ได้เห็นมลเป็นพี่แล้ว แน่ล่ะว่าลูกครึ่งกวางยังเห็นอีกฝ่ายเป็นที่พึ่งเหมือนเดิม แต่ความรู้สึกที่อุสามีต่อมลเปลี่ยนไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ที่เวลาเธอคิดถึงเขา หน้าาจะแดงเหมือนตำลึงสุก ความรู้สึกที่อุสามีต่อคนที่ได้ชื่อว่าเป็นพี่นั้นช่างต่างกับความรู้สึกที่เธอมีต่อกูณฑ์และเคียวเหลือเกิน จนตอนนี้เด็กสาวผู้กำพร้าหมาด.ๆ ก็ยังไม่แน่ใจว่าความรู้สึกนี้คืออะไร
"ตกลงเจ้ามีหรือไม่มีกันแน่" มณีวรรณถาม
อุสาเล่าเรื่องให้เงือกที่พึ่งรู้จักฟังคร่าว ๆ ยกเว้นเรื่องความรู้สึกสับสนที่เธอมีต่อมล สัญชาตญาณบอกเธอว่าเธอควรบอกเรื่องนี้กับมลเป็นคนแรก
แม้อุสาจะไม่ได้เล่าออกมาตรง ๆ แต่เงือกที่ผ่านโลกมามากอย่างมณีวรรณพอจับความรู้สึกในน้ำเสียงของเพื่อนใหม่คนนี้ได้ ความรู้สึกของอุสาเกินเลยความเป็นพี่น้องไปแล้ว แต่ในเมื่ออีกฝ่ายไม่พูด เธอเองก็ไม่อยากจะไปจี้ใจดำ
"ถ้าอย่างนั้น ตอนนี้เจ้าก็อยู่คนเดียวน่ะสิ"
อุสาพยักหน้า
"ลำบากแย่เลย ไปอยู่กับข้าไหม" มณีวรรณชวน "พวกเรามีแต่พี่น้องผู้หญิงด้วยกันทั้งนั้น ไปอยู่ด้วยกันตามประสาสาว ๆ ไง"
อุสาลังเล "เจ้าอยู่ที่ไหน"
"ข้าอยู่ที่ถ้ำไม่ไกลจากนี่เท่าไรหรอก" มณีวรรณตอบ "ตกลงไปกันนะ"
อุสาลังเล "ถ้าข้าไปกับเจ้า เจ้าพี่มลกลับมา ก็ไม่เจอข้าน่ะสิ"
"เรื่องนั้นไม่ต้องห่วง ข้ากับน้องสาวจะผลัดกันมาสืบข่าวให้เจ้าเอง ไปเถิดนะ เจ้าอยู่คนเดียว ขืนเจ็บป่วย เป็นอะไรขึ้นมามันจะยุ่ง"
ฟังดูก็มีเหตุผลดูเหมือนกัน ต้องเข้าใจก่อนว่า อุสาไม่เหมือนเรา ๆ ท่าน ๆ เธอถูกเลี้ยงมาในป่า คนที่มาหาเธอ ไม่มีใครเคยทำร้าย เธอจึงเป็นเด็กสาวสดใส มองโลกในแง่ดี อุสาจึงตัดสินใจไปกับเงือกแปลกหน้าที่เพิ่งรู้จักกันได้ไม่ถึงวัน
ถึงแม้เงือกจะเป็นสิ่งชีวิตแห่งท้องทะเล แต่เงือกน้ำก็อาศัยอยู่บนบก พวกเธออาศัยอยู่ในถ้ำริมน้ำ ตอนกลางคืนก็มาพักผ่อนในถ้ำแห้ง ๆ พอตอนเช้าก็กระโดดน้ำ ดำผุดดำว่ายเล่น ปกติพี่น้องเงือกไม่เคยไปไกลถึงฝั่งนั้น แต่วันนี้มณีวรรณรู้สึกหงุดหงิดจึงว่ายไปไกลกว่าปกติและได้มีโอกาสเจอน้องสาวคนใหม่
บางทีอุสาก็คิดว่าไกลของเงือกกับคนคงไม่เท่ากัน เธอเดินมาจนล้าแล้ว แต่ก็ยังไม่เห็นถ้ำเลยสักถ้ำ ขณะที่มณีวรรณในน้ำยังคงว่ายอย่างร่าเริง มณีวรรณพยายามชวนอุสาให้ลงมาว่ายน้ำด้วยกัน เธอยืนยันว่าไปทางน้ำเร็วกว่าทางบก ก็แหงล่ะสิ ก็เธอเป็นเงือกนี่ แต่อุสาไม่ลงไปว่ายน้ำหรอก ในน้ำอันตรายจะตาย
ในที่สุดพวกเธอก็มาถึงถ้ำสักที มณีวรรณขึ้นจากน้ำ เข้าไปทักทายน้อง ๆ ที่อยู่ในถ้ำและแนะนำอุสาให้ไพลินวรรณและพิไลวรรณรู้จัก ทั้งสองก็ต้อนรับอุสาด้วยดี โดยเฉพาะพิไลวรรณ น้องเล็กที่ดูตื่นเต้นดีใจเป็นพิเศษ
"ต่อไปนี้ ข้าไม่ต้องเป็นน้องเล็กสุดอีกแล้ว" พิไลวรรณร้องอย่างยินดี
อุสาได้แต่ยิ้มเก้อ ๆ เธออดสังเกตไม่ได้ว่าพิไลวรรณต่างจากพี่สาวทั้งสอง หางของเธอไม่มีเกล็ด อุสาอดมองด้วยความสนใจไม่ได้ น้องเล็กของเหล่าเงือกก็ดูจะรู้ว่าอุสามองอยู่ เธอสะบัดหางอวด
"ข้ายังเด็กเกินไปที่จะสักเกล็ด"
อุสาขมวดคิ้ว "ข้าคิดว่ามันเป็นลายธรรมชาติของพวกเจ้าเสียอีก"
เงือกทั้งสามพากันหัวเราะคิกคัก ก่อนที่มณีวรรณจะอธิบาย
"เงือกอย่างเราไม่มีเกล็ดหรอก เราจะสักเกล็ดตอนโต รูปแบบของเกล็ดยังบ่งบอกว่าเรามาจากไหนได้อีกด้วย เป็นสัญลักษณ์ว่าเราเป็นพวกเดียวกัน อะไรประมาณนี้"
อุสาพยักหน้า
ไพลินวรรณตบไหล่น้องสาวคนใหม่เบา ๆ "เจ้าสนใจจะสักบ้างไหมเล่า"
สัก แค่คิดว่าจะมีเข็มมาจิ้มเนื้อ อุสาก็ตัวสั่นแล้ว แต่เธอไม่กล้าปฏิเสธไปตรง ๆ ได้แต่อ้อมแอ้มว่า
"ข้าไม่มีหางอย่างพวกเจ้าสักหน่อย"
ไพลินวรรณกับพิไลวรรณสบตากันอย่างซุกซน ก่อนที่พิไลวรรณจะพูดว่า
"ไม่มีหางก็สักได้ สักตรงขาอย่างไรเล่า สักพร้อมกันกับข้าเลย"
คราวนี้อุสาส่ายหัวอย่างหนักแน่น "ไม่เอา" เธอกระซิบ "ข้ากลัว"
พิไลวรรณแกล้งทำเป็นค้อน "เจ้าไม่อยากเป็นพวกเดียวกับเราสินะ"
อุสาอึกอัก "ไม่ใช่ คือข้า.."
"คืออะไร บอกมาสิ" ไพลินวรรณจ้องเขม็ง
อุสาหันไปทางมณีวรรณเพื่อขอความช่วยเหลือ เงือกพี่โตสุดตบหัวน้องทั้งสองเบา ๆ
"พอได้แล้ว เลิกแกล้งน้องได้แล้ว เดี๋ยวเถิด"
ไพลินวรรณกับพิไลวรรณหัวเราะ
"พวกข้าล้อเล่นน่ะ"
"ใช่ ขำ ๆ ไม่อยากให้เครียด"
อุสายิ้มอย่างอ่อนแรงให้เพื่อนใหม่ทั้งสอง
พวกเงือกทั้งสามดูแลอุสาอย่างดี พวกเธอผลัดกันออกไปหาผลไม้ให้อุสากิน และคอยไปเฝ้าดูว่ามลจะมาเมื่อไหร่
อุสาพยายามชวนเงือกให้กินผลไม้ด้วยกัน แต่สามสาวปฏิเสธ พวกเธอบอกว่าเงือกกินแค่ไคลน้ำเป็นอาหารเท่านั้น
วันหนึ่งขณะที่อุสานั่งดูมณีวรรณสักเกล็ดให้น้องเล็ก ไพลินวรรณก็วิ่งกระหืดกระหอบมา
"อุสา พี่เจ้ามาแล้ว"
หน้าปากถ้ำนั่นคือคนที่อุสาคิดถึงที่สุดในชีวิต เจ้าพี่มลส่งยิ้มแสดงฟันหน้าซี่ใหญ่มาให้ มลรอบคอบพอที่ใส่หน้ากากมาหาน้อง แม้เพื่อนทั้งสองจะไม่เข้าใจก็ตาม ขนาบข้างทั้งสองคือกูณฑ์ เด็กหนุ่มหัวไฟและเคียว ภูตหนังสือ อุสาวิ่งเข้าไปกอด มลลูบหลังเธอเบา ๆ
"ข้าคิดถึงเจ้าพี่เหลือเกิน ข้ากลัวว่าเจ้าพี่จะทิ้งข้าไปเสียแล้ว" เด็กสาวสะอื้นฮัก
"พี่ก็อยากกลับมาหาเจ้าใจจะขาด" มลว่า "แต่ศึกหนักเหลือเกิน"
อุสาช้อนตาดูคนแก่กว่า "เจ้าพี่เก่งจะตาย บางทีอาจจะเป็นศึกในใจกระมัง"
"จริง ๆ นะ" มลยืนยัน "ท่านพ่อของพี่ก็เสียไปในสงครามด้วย"
"ข้าเสียใจด้วยนะเจ้าคะ" อุสาว่า
"พวกเราก็เสียใจด้วย" กูณฑ์เป็นตัวแทนพูด พวกเขาทั้งสามประหลาดใจอยู่เมื่อมาถึงอาศรมแล้วไม่พบใครเลย เห็นแต่หยากไย่ติดไปทั่ว มลไปพบเจ้าตาของเขานอนตายอย่างสงบอยู่ ครั้งนี้เด็กชายไม่ได้ร้องไห้ ความตายของคนสูงวัยดูเป็นที่ยอมรับได้กว่าความตายของคนหนุ่มสาว เขาเพียงแค่ห่วงอุสา โชคดีที่ไพลินวรรณมาเห็นพวกเขาด้อม ๆ มอง ๆ อยู่จึงอาสามาส่ง
"เจ้าตาต้องมองเราอยู่แน่ค่ะ" อุสาว่า เธอหันไปทางกูณฑ์ "พี่กูณฑ์เห็นจดหมายของเจ้าตาหรือยังคะ"
กูณฑ์ส่ายหน้า "ยังไม่เห็นเลย จดหมายอะไรเหรอ"
"เจ้าตาเขียนวิธีเปิดมิติให้น่ะเจ้าค่ะ" อุสาว่า "พี่กูณฑ์จะได้กลับบ้าน"
"จริงหรือ" เด็กหนุ่มหัวไฟร้องอย่างดีใจ เขาใจแป้วไปนิดนึงเมื่อรู้ว่าเจ้าตาตายแล้ว กลัวว่าตัวเองจะต้องติดอยู่ที่นี่ไปตลอดชีวิต แต่มลดูไม่ยินดีนัก
"เจ้าอย่าเพิ่งกลับได้ไหม" มลขอ "อย่างน้อย ๆ ก็รอข้ากับอุสาอภิเษกกันก่อน ข้าอยากให้เจ้าอยู่ร่วมงาน"
"พวกนายเพิ่งอายุสิบสามนะ" กูณฑ์ร้องด้วยความช็อก
มลกับอุสามองหน้ากันเหมือนจะบอกว่า "แล้วไง" กูณฑ์ลืมไปทุกทีว่าประเพณีที่นี่นิยมให้เด็กแต่งงานกันเร็ว
"ก็ได้" กูณฑ์รับคำแบบไม่เต็มใจนัก "รีบไปกันเถอะ"
อุสาและมลเข้าไปกล่าวลา และขอบคุณพวกเงือกน้ำอีกที มลชวนพวกเงือกน้ำไปอยู่ด้วย แต่อีกฝ่ายปฏิเสธ
"ถ้าอยากขอบคุณเรา ขอลูกไว้ดูต่างหน้าสักคนสิ" ไพลินวรรณทีเล่นทีจริง แต่เมื่อเห็นสายตาเพชฌฆาตของอุสาก็หัวเราะ "แค่พูดเล่นน่ะ ยังไงพวกเราก็มีกันและกัน ไม่เหมือนท่านยายหรอก ถ้าไม่มีสุดสาคร ท่านยายคงตรอมใจตายไปแล้ว"
กูณฑ์หูผึ่งเมื่อได้ยินชื่อที่คุ้นเคย "ทำไมต้องตรอมใจตายล่ะครับ"
"ก็แหม" ไพลินวรรณอธิบาย "เสียพ่อแม่ไปวันเดียวกันแบบนั้น"
"ต้องขอบคุณพระอภัยนะ" มณีวรรณเสริม "ท่านยายเกือบจะฆ่าตัวตายอยู่แล้ว ถ้าพระองค์ไม่ให้ลูกไว้"
กูณฑ์กัดริมฝีปาก "พระอภัยคงไม่คิดลึกยังงั้นหรอกครับ คงเห็นว่าสวยดีมากกว่า"
มณีวรรณส่ายหน้า "นั่นก็ส่วนหนึ่ง พระองค์อยากตอบแทนบุญคุณด้วย"
"ทำให้ท้องนี่นะครับ" กูณฑ์อุทานอย่างไม่อยากเชื่อ "ทำกับผู้หญิงไม่มีลูก แล้วจะไม่อยากอยู่งั้นแหละ"
พี่น้องเงือกมองสบตากัน "พระอภัยอาจจะเอาตัวเองเป็นหลักก็ได้" ไพลินวรรณว่า
"พระองค์ต้องอยู่กับนางผีเสื้อเป็นปี ๆ" พิไลวรรณเสริม
"ถ้าไม่มีสินสมุทร พระองค์คงฆ่าตัวตายไปแล้ว อะไรที่ช่วยให้พระองค์มีกำลังใจอยู่ต่อ พระองค์เลยมอบมันให้กับผู้มีบุญคุณอย่างท่านยายไงล่ะ" มณีวรรณสรุป
"ทำไมพวกคุณถึงเรียกเธอว่าท่านยายล่ะครับ"
"เธอเป็นลูกพี่ลูกน้องกับยายเรา"
หลังจากบทสนทนาจบ สามสหายกับอุสาก็เดินทางกลับเมืองวิทยาธร โดยพวกเขาไม่ลืมแวะไปจดหมายอำลาที่ผู้มีบุญคุณฝากไว้ มลอยากจัดงานอภิเษกให้เร็วที่สุดซึ่งโหรหลวงทูลว่าจะได้ฤกษ์เดือนหน้า