สามเดือนถัดมาในโรงพยาบาลเอกชน ในบอสตัน สหรัฐอเมริกา
พัฒน์เดินเข้า ในอาคารสีขาวมีกระจกสะท้อนท้องฟ้ากับไฟในเมือง เขาเดินตามสิ่งที่ต้องการเข้าสู่หน้าห้องกล่องใบหนึ่งที่ถูกให้ความสำคัญผ่านโรงพยาบาล ห้องทำงานหัวหน้าแผนกศัลยกรรม ตรงข้ามพัฒน์คือที่ตอบสนองเป้าหมายบางอย่างกับเขาพัฒน์พูดในสิ่งที่ตัวเขาต้องการกับหน่วยงานเอกชน
"สิบชิ้นต่อเดือน ถ้าต้องการสิบสองชิ้นต่อสัปดาห์ หากมีการสนับสนุน สัปดาห์ละสองร้อยสิบล้านเหรียญจะช่วยได้มากถึงไตรมาสแรก ผู้ป่วยโรคไตร้อยสี่สิบสี่คนที่คุณจะช่วยได้ในสามเดือน"
"บอกก่อนสัปดาห์หน้า งานวิจัยทั้งหมดจะถูกส่งมาเพิ่มเดือนหน้า ทั้งสเต็มเซลล์ที่ได้มาจะได้กลับเป็นอวัยวะ ภายในห้าวัน"
"หมายความว่า อาทิตย์หน้าก็ทำได้เลยใช่มั้ย"
"ในความหมายนั้นก็ใช่ ผมต้องเปิดแล็บใหม่ ถ้าคุณต้องการ"
"ถามหน่อยได้มั้ยว่าทำไม?"
"สามที่แรกเต็มถึงเดือนที่หกปีหน้า"
เขาพยักหน้ายอมรับ เปิดกระดาษพลิกไปมา "คิปป์ทีม ชื่อดีนี่ โอเคงั้นไว้ฉันติดต่อไปนะ" ทั้งสองคนจับมือกัน เธอเดินมาส่งที่ประตู เปิดประตูให้พัฒน์ พัฒน์กำลังจะเดินออกจากห้อง ผู้จัดการ ทำหน้าครุ่นคิด ที่คำถามอยู่ที่ปาก "ฉันถามหน่อยได้มั้ย คุณทำได้ยังไง เอ่อ…ฉันหมายถึงคุณค้นพบคนเดียวเลยเหรอ?"
พัฒน์เอียงคอ หันใบหน้ากลับมา คนที่ต้องการคำตอบ "เราไม่เคยค้นพบคนเดียว" หลังจากนี้ สิ่งที่เขาทำอยู่คือการแก้ปัญหาระบบสุขภาพให้เร็วขึ้นในอีกห้าสิบปีของปัญหามนุษย์ส่งที่ยิ่งใหญ่สำหรับพัฒน์ไม่ใช่การศึกษาจากระบบรัฐหรือประเทศอื่นอีกต่อไป ถึงแม้ อีกสองสัปดาห์พัฒน์จะรับปริญญาของมหาวิทยาลัยเอ็มไอที จากการดิสรัปชันโครงสร้างสาธารณสุขขนาดใหญ่
ครู่เดียวพบว่าความเป็นมนุษย์ใกล้เข้ามา ผ่านการเดินเข้าด้วยชายผิวขาวร่างใหญ่ ชายคนนั้นตะโกนขึ้นจากด้านข้างซ้ายพัฒน์ระยะสองเมตร เสียงตะโกนออกจากปากร่างใหญ่นั้น "นี่มันประเทศของคนขาว!!" พัฒน์ตกใจจากเสียงคอเอียงหันมองดูความต้องการของประโยคนั้น "ออกจากประเทศนี้ไปใช้หัวกะโหลกคุณที่อื่น คุณไม่เหมาะกับที่นี่" คนสูงอายุพูดใส่พัฒน์เสียงดัง ทุกอย่างดูถูกต้องมากขึ้นเมื่อเราแก่ขึ้น พัฒน์คิดแบบนั้นกับการที่มีคนพูดแบบนี้ ทุกคนมีสิทธิพูดที่นี่ แต่คำพูดก็ไม่ได้ช่วยชีวิตคนทั้งหมดอยู่ดี เขาเองก็เป็นคนหนึ่งที่เคยเอาแต่พูดต่อความรู้ หากปราศจากการพิสูจน์เราจะเป็นเพียงผู้นั่งคิด และมองโลกเปลี่ยนแปลง การเปลี่ยนแปลงทั้งหมดของตัวเขาเองในหลายปีที่ผ่านมานี้ แทบจะไหลออกจากความหมายของคำว่าหยุดนิ่ง เมื่อการมีชีวิตคือการเปลี่ยนแปลงและแก้ปัญหาสำหรับเขา ประเทศไทยกับสหรัฐสอนเขาแบบนั้น หากอยู่กับปัญหาเดิมสนใจแต่เรื่องเดิมแสดงว่าเราไม่เคยคิดปัญหาอื่นเลยที่ใหญ่กว่าความต้องการของตัวตนแบบปัจเจก ทั้งหมดหลังจากการที่พัฒน์ย้ายมาอยู่ที่นี่ ความถูกต้องไม่จำเป็นสำหรับคนพูด ทุกคนเข้าถึงความถูกต้องในแบบของตัวเอง ความถูกต้องไม่ได้พาเขาออกจากปัญหา หรือหามุมมองต่อปัญหาได้ ทุกอย่างที่เกิดขึ้นที่นี่เกิดขึ้นเร็ว
สถานการณ์ตรงหน้า ความเป็นมนุษย์นี้เรื่องนี้ไม่ได้อยู่ในเรื่องที่เขาสนใจตั้งแต่แรก การลดคุณค่าของคำพูดจากคนอื่นเป็นเรื่องทั่วไปของมนุษย์ เราต่างลดคุณค่ากันและกันด้วยคำพูดเพื่อเติมเต็มความวิเศษของตัวเอง ครั้งนี้แค่เป็นอีกครั้งที่มีคนอยากแปะคำพูดในความคิดพัฒน์ ต่อความเป็นไปได้ของตัวเอง เขารู้ดีว่าความเป็นไปได้ของตัวเขาเองไม่ได้อยู่ที่คำพูดของคนอื่นตั้งแต่แรก พัฒน์ตอบด้วยใบหน้า จ้องมองด้วยสายตาที่โกรธเกรี้ยวนั้นราวกับความโกรธจะเปลี่ยนแปลงโลกกับคำพูด พัฒน์ไม่รู้ที่มาของความโกรธนี้ ประโยคพวกนี้ไม่ได้บอกว่าพัฒน์เป็นยังไง พัฒน์ไม่ได้ใช้ชีวิตบนคำพูดของคนอื่น
"กลับประเทศคุณไปซะ!!" ชายคนนั้นยังคงพูดต่อ พัฒน์ไม่ได้สนใจคนคนนั้นขนาดนั้น
ตรึ๊ง!! การแจ้งเตือนข้อความแสดงผลบนหน้าจอสี่เหลี่ยมบนโทรศัพท์พกพา นิ้วโป้งเลื่อนเปิดดูในข้อความนั้นแจ้งผลการตัดสินใจกับทางโรงพยาบาล หลักฐานการโอนสินทรัพย์ทางการเงินเพื่อการพัฒนาโครงการพิมพ์อวัยวะส่งโรงพยาบาลเอกชน และเขาต้องหาพื้นที่วิจัยมาก่อนจำนวนหกสิบสองล้านเหรียญ ข้อมูลที่พัฒน์รับผ่านไซแนปส์ที่ดวงตาเดินทางให้สมองเห็นในเวลา 1.3 มิลลิวินาที ข้อมูลจำนวนนั้นทำให้เขารู้ว่า การตอบโต้ของคนตรงหน้า กับความเป็นไปได้ที่ต้องทำอวัยวะต่อ เรื่องไหนที่เขาจะเลือกว่าจะอยู่กับปัจจุบันแค่ไหน แต่จริง ๆ แล้วเขาได้เลือกอนาคตของเขาเรียบร้อยแล้วพัฒน์เดินออกมาจากการตะโกนเพื่อพูดถึงความถูกต้องของตัวเองในการพูด
พาตัวเองล่องลอยผ่านร่างกายด้วยขาที่ก้าวเดิน ช่วงเวลาในการเดินในเมืองเริ่มต้น เดินเหยียบซีเมนต์ทางเดินมองท้องฟ้า ฟังเสียง ความตื่นตัวของพัฒน์ต่อความถี่ในเมือง ในหูเขาแทบจะได้ยินเสียงทุกอย่างราวกับว่าทุกเสียงอยากพูดคุยกับพัฒน์ทั้งเสียงในตัวเอง มันเป็นเรื่องที่ดีที่จะเดินไปด้วยและรับฟังเสียงในหัวกับเสียงดนตรีของเมืองไปด้วย จังหวะเพลงยังคลออยู่ในหูไปกับการรับฟังเสียงด้านในตัวเอง
พัฒน์ฟังเสียงภายนอกเพื่อตัดเสียงภายใน และบางทีโลกภายนอกของพัฒน์เป็นเหมือนคอนเสิร์ตตลอดเวลา แม้จะนั่งรถไฟฟ้าหรือเดินบนฟุตบาทในเมือง พัฒน์เกลียดไอเดียของชีวิตที่จะต้องมองไปในอุโมงค์แห่งชีวิตภายในกับมุมมองเรื่องราวต่ออดีต บางทีชีวิตก็เป็นมหาสมุทร เราไม่เคยเข้าถึงการเป็นตัวเอง ทั้งความจริงและความต้องการของตัวเองเลยสักครั้ง มีแค่บริบทของสถานการณ์สร้างให้พัฒน์ต้องทำบางอย่างตลอดเวลา
เมื่อเขาได้ลิ้มรสของชัยชนะในแต่ละเรื่องของทุกทุกวัน ในการสร้างเหตุการณ์จำนวนมากพอที่จะทำให้เขาได้ทำในสิ่งที่มีความหมายทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับเขาเอง สำหรับพัฒน์เขารู้ว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบันเป็นการรวบรวมเหตุการณ์จำนวนมากจากในอดีต ไม่มีใครอยากจากลากับคนที่ตัวเองรักหรือสิ่งที่ตัวเองได้ให้คุณค่า แต่เป็นการหาสิ่งที่สนใจมากกว่า สิ่งที่เขาทำออกจากการหาความสวยงามจากการจากลาคนที่ตัวเองรักซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่เป็นการซื้อเวลาต่ออยู่อีกหน่อยในทุก ๆ ครั้งผ่านความทรงจำ เขารู้ถึงความรู้สึกนั้นดีเราใช้เวลาในกรวยแสงในอดีต อดีตไม่เคยวิ่งหนีจากความทรงจำ เวลาในอดีตยังคงอยู่ แต่มุมมองต่อเรื่องราวถูกปรับเปลี่ยนผ่านอารมณ์ในทุกทุกวัน ความรู้สึกที่อยากได้ความทรงจำทั้งหมดของคนที่รักกลับมามีชีวิตเกิดขึ้นบ่อยครั้งในความคิด ถึงแม้ตัวพัฒน์เองจะไม่ได้สนใจต่อความรู้สึกมากขนาดนั้น เขาแค่อยู่กับความรู้สึกและความสนใจเป็น บนถนนสีเทาที่ทุกคนต่างหลงทางได้ บางครั้งเขารู้ว่าจะไปที่ไหน แต่หลายครั้งเราก็ไม่รู้ว่าการไปที่ไหนที่ว่านั้น จะมีคุณค่ากับตัวเองจริงรึเปล่า เขาแค่ต้องอยู่กับความทรงจำของตัวเองและพาตัวเองไปสู่เป้าหมาย
เขาเดินข้ามทางม้าลายตรงเข้ามาประตูทางเข้าห้องโถงอาคารที่พักอาศัย ประตูกระจก กรอบอะลูมิเนียม เปิดเข้าสู่พื้นที่รับแขกของอาคาร ไฟสลัวฉายไปที่คนนั่งอยู่บริเวณโซฟาทางเข้า ใบหน้าที่คุ้นเคย กับการแต่งตัวหลวม ๆ ที่รู้จัก นั่งอยู่บนโซฟาหนังสีน้ำตาล โค้ทตัวใหญ่สีน้ำตาลสีขุ่นเข้ากับแสงไฟที่นี่ และข้างในเป็นเสื้อเชิ้ตสีขาวกับสูทสีดำ หญิงสาวที่ในความทรงจำยกมือทักทายพัฒน์
"ผมนึกว่าพี่จะมาอีก สองสัปดาห์" พัฒน์ตอบกลับทักทายลิน เดินตรงเข้าไปคุยกับเธอ
ลินเดินตรงเข้ามา "ฉันเจออะไรบางอย่าง"
"ค้นพบการทำปัญญาประดิษฐ์ให้เป็นภูมิปัญญาได้แล้วเหรอ? หรือรู้ทำให้หุ่นยนต์รู้ตัวแล้วว่าตัวเองเป็นหุ่นยนต์?"
ลินครุ่นคิดก่อนที่จะพูด ใบหน้าสะท้อนสีที่ดูกังวล "ขึ้นไปคุยดาดฟ้าแล้วกัน" ลินเอียงตัวเปิดไหล่ผายไปทางลิฟต์ พัฒน์สื่อสารและรับรู้ พัฒน์เดินตรงไปที่ลิฟต์ เขายังไม่เข้าใจแต่ความกังวลเลียนแบบกันได้ผ่านพฤติกรรม ท่าทางพัฒน์กำลังสื่อสารกับลินผ่านภาวะไร้สำนึกเขาเคลื่อนไหวตัวช้าลงตามความช้าของการเดินของลิน แต่ยังไม่ได้กังวลตราบใดที่ลินยังไม่ได้พูด ลินเดินเข้ามาในกล่องเหล็ก เสียงครืดคราดของรอก รอลินเข้ามาในลิฟต์การก้าวเท้าเข้ามาในกล่องสีเทา ทำให้ใช้เวลาพูดคุยกลับเป็นความเงียบของบรรยากาศและเสียงลมหายใจที่ล้าจากลิน
"พี่เป็นยังไงบ้าง" พัฒน์พูดเริ่มจากหลายเรื่องที่อยากพูดคุย
"พึ่งจบ สัปดาห์ที่แล้ว เยล" ลินพูดช้าและผ่อนจังหวะในแต่ละคำที่เอ่ยออกมา
"จริงเหรอ? ปริญญาตรี?" พัฒน์ถามด้วยความดีใจ ท่าทางลินดูไม่ตื่นเต้นกับการเรียนจบ
"ตรึ๊ง!" ลิฟต์เปิดประตูจากตรงกลาง พัฒน์ยังรอคอยคำตอบจากลิน ลินเดินเข้าไปในลิฟต์ กดปุ่มเลขชั้นที่ยี่สิบสามชั้นบนสุด พัฒน์ก้าวเท้าเข้ามาในกล่องสี่เหลี่ยมสีเทา หันหน้าออกจากลิฟต์ทางประตู ยืนมองตรงไปข้างนอกพร้อมกับลิน เธอกดปุ่มข้างล่างเลยแถบตัวเลขใต้สุดเป็นสัญลักษณ์ปิดลิฟต์ "โท เศรษฐศาสตร์" ประตูลิฟต์ปิดลง เสียงรอกและปล่องท่อลิฟต์ สลิงกำลังดึงทั้งสองคนขึ้นสู่ตัวเลขที่เพิ่มขึ้นเรื่อย
แสงไฟสีแดงในกระจกสี่เหลี่ยม เหนือปุ่มกดลิฟต์ตัวเลขของทุกชั้น คือการแสดงผลแววตาของพัฒน์จับจ้องอยู่ที่การเปลี่ยนไปของตัวเลข การเพิ่มขึ้นของตัวเลขรอบหน่วยเวลาที่แสดงออกผ่านตัวเลขที่มากขึ้น และเวลาที่ผ่านไปยังคงไม่ได้พาพัฒน์ ให้รู้คำตอบของเรื่องหลายเรื่อง เราต่างใช้ชีวิตในวันถัดไปเป็นวันแรกของชีวิต ตัวเลขนี้เป็นเลขเดียวของรอบเวลาอายุของพัฒน์ยี่สิบเอ็ดและกำลังเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
"ตริ๊ง!" ประตูลิฟต์เปิดออก
พวกเขาสองคนเดินผ่านเหยียบ บันไดก้าวเดินขึ้นไปสูง เหยียบกรวดหินที่ถูกปูนซีเมนต์บนดาดฟ้า ควันที่ออกจากท่อใหญ่ด้านซ้ายลอยต่ำในชั้นที่สูงสุดของตึก ลินก้าวเดินไปสู่ริมดาดฟ้าอาคารดูริมสุดของทางเดิน ศอกวางอยู่บนความสูงของชานระเบียงอาคาร สายตาจับจ้องมองตรงลงไปพื้นถนนกับความขมุกขมัวในความสับสนพร้อมกับความแออัดของคนที่เดินและอาศัยในเมืองนี้ แสงจากเสาไฟแต่ละจุดราวกับเมืองเป็นเกมของคนผู้เป็นเจ้าของเมือง รถคันเล็กสีเหลืองหมุนกลิ้งด้วยล้อพาคนไปมา ทุกอย่างเมื่อมองจากมุมสูงราวกับเป็นโลกในวัยเด็ก เคลื่อนไหวไร้ทิศทาง น่าสนใจ และเต็มไปด้วยเรื่องประหลาดใจทุกครั้งในการจ้องมองและสังเกตสิ่งต่าง ๆ แสงของเมืองจะเปล่งประกาย
"ไม่ได้ถ่อมาที่นี่เพื่อคุยเจ๊าะแจ๊ะใช่มั้ย" พัฒน์เกริ่นถามก่อนเดินไปยืนข้าง ๆ
ลินมองสีเทาและแสงไฟด้านล่าง ส่วนพัฒน์มองตึกสูงตรงข้าม และท้องฟ้าสีฟ้าหม่นเปื้อนสีเทาก่อนจะหันหน้ามาตอบพัฒน์ "การกระทำของเราจะผลทางเวลาอยู่แล้วใช่มั้ย ถ้าเราผลักแท่งไม้โดมิโน่ ชิ้นแรกต่อให้เล็กแค่นิดเดียว" ลินชูมือขวาสัญลักษณ์เหมือนตัวอักษรซีในภาษาอังกฤษบอกขนาดแท่งไม้โดมิโน่ "อัตราส่วนที่เพิ่มขึ้นล้มชิ้นถัดไปที่มากกว่าครึ่งหนึ่งได้ ทุกชิ้น ขนาดชิ้นที่ 57 เท่าไหร่รู้มั้ย?"
พัฒน์คำนวณตัวเลขค่าเฉลี่ยการยกกำลังทันที "ประมาณ 345,896 กิโลเมตร" คำตอบเงียบและเบาไปกับความสงสัยที่ก่อตัวเป็นลูกบอลหิมะกลิ้งอยู่ในความคิดพัฒน์
"ใช่ ระยะจากโลกถึงดวงจันทร์" ลินตอบ และเหลือบดูนาฬิกาเหนือหลังข้อมือขวา "ตอนนี้คือชิ้นที่ 631 นายคือชิ้นที่ 29 เมื่อสามปีก่อน"
"พี่หมายความว่าไง?"
"หลังจากที่การพิมพ์อวัยวะชิ้นที่หนึ่งร้อยสามสิบสี่ แต่ละกลุ่มทั่วโลกพิมพ์อวัยวะทดลองกับคนทั้งผ่านกฎหมายและไม่ผ่านกฎหมาย" สายตาลินแกว่งไปแกว่งมาความกังวลที่หางตากลับจ้องมองพัฒน์
"ผมไม่ได้ทำงานแบบนั้น พวกเราไม่ได้ทำโปรเจคแบบนั้นแล้ว" พัฒน์แย้งกับสิ่งที่ลินพูด
ลินนิ่งคิดครู่หนึ่งก่อนจะตอบ "พวกเราสร้างหายนะของความหมายการเป็นมนุษย์ งานนี้อยู่เหนือผลประโยชน์หลายประเทศ มันเป็นเรื่องความอยู่รอด"
"จากใคร?" พัฒน์ถาม
"หลังจากสงครามเย็นเราไม่ได้เห็นศัตรูเป็นคนอีกแล้ว ตอนนี้พวกมันกระจายไปทั่ว"
พัฒน์สงสัยพูดถึงพร้อมคำถาม "มันเกิดขึ้นได้ยังไง"
"มันไม่เกี่ยวกับ 'ยังไง' มันเกี่ยวกับ 'ผลกระทบ' มันไม่ใช่แค่สงครามการค้า เราอยู่ในสงครามแบบอื่น คนไม่ได้ตายจากกระสุนเหมือนสงครามโลก แต่ตายจากการอดอยากและหนี้สาธารณะ ยิ่งรู้จักมันมากเท่าไหร่ จะยิ่งแพ้มากขึ้น อาจจะมากกว่า ขึ้นอยู่กับจะเรียกว่าอะไร ชิ้นถัดไปตัวที่ 781"
"เหลือเวลาอีกเท่าไหร่?" พัฒน์รอคำตอบ
ลินยกแขนขวา ชูมือขึ้นตอบด้วยเสียงสิ้นหวัง "ห้าวัน"
โน๊ตเรื่องเกี่ยวกับลิน
ถึงแม้พัฒน์และเบนจะเป็นคนก่อตั้งแต่คนที่ดูแลรูปแบบการศึกษาในโปรแกรมคิปป์ แต่การรวมกลุ่มและตารางสอนเกิดขึ้นได้คือลิน ลินเป็นโครงข่ายความรู้สึกของคนในกลุ่มขณะเดียวกันเป็นประธานชมรมยิงธนูตั้งแต่มัธยมต้น ความขัดแย้งในตัวลินพัฒนาไปสู่การแก้ปัญหาในเรื่องรูปแบบข้อมูลคอมพิวเตอร์ระบบเลขฐานสองหลังจากเกิดเหตุระเบิดขึ้นในคิปป์ทีม คนที่ทำให้ระบบการศึกษาของคิปป์ทีมยังดำเนินได้ต่ออีกสองปีคือเธอคนนี้ลินเป็นกระจกสะท้อนตัวพัฒน์เพียงแต่อายุมากกว่า ภายในลินเป็นหัวใจที่แข็งแกร่งและว่างเปล่า
พวกเขาทั้งสองคนเดินลงมาจากประตูดาดฟ้า บทสนทนาเร่งรีบแต่คำพูดคุยเป็นควันล่องลอยเป็นความร้อนออกจากร่างกาย "ทรัพยากรมนุษย์ที่ผูกขาดในทุนนิยม กับรัฐบาลทำให้คนอดอยาก อพยพ นายก็รู้เมื่อคนตายแล้วเขากลับมาไม่ได้" ลินพูดถึงเรื่องที่เราต่างรู้ภายในแววตาของความเศร้า คุณค่าของชีวิตที่ไม่ได้กลับมากับความหิวโหยที่ไม่เคยสัมผัสความอิ่ม การดิ้นรนของชีวิตเป็นรสชาติที่พวกเขาสองคนเคยเจอ
"ตอนนี้พี่ยังแก้ปัญหานี้ไม่ได้เหรอ?" พัฒน์ถาม
"ใช่ ปัญหานี้มาไกลกว่าแค่ช่วงอายุเวลาของเรา คนจะตายอีกมากขึ้นจากระบบที่ไม่มีอาหาร ในอนาคตพืชทุกชนิดปลูกบนโลกไม่ได้ 180 -300 ปีข้างหน้า ความร้อน ฝุ่นนั้นคือผลที่ตามมา เราได้รับการเรียนรู้ แต่แค่ความรู้แก้ปัญหาไม่ได้ มันต้องการความจำเพาะต้องมุมมองปัญหา"
"นั้นเลยเป็นเหตุผลให้พี่ต้องการ 'มัน'"
"ใช่ เรื่องนี้มันมากกว่าการมองขึ้นไปบนท้องฟ้า รอคอยดาวตก แล้วอวยพรให้ชีวิตดีขึ้น มันไม่มีดาวบนท้องฟ้าตั้งแต่แรก"
"บางทีมันอาจมีหลักฐานการเกิดขึ้น ระบบความจริงของเรื่องพวกนี้ เมื่อพบต้นตอแล้วอาจพบแนวทางการแก้ก็ได้"
"มันไม่ใช่ การแก้มันคือการชะลอผลกระทบ"
พัฒน์พยักหน้า เขาคิดว่านั้นคือสิ่งมนุษย์ทำการแก้ปัญหาและสร้างผลกระทบ และแก้ปัญหาที่ใหญ่ขึ้น ชีวิตเป็นการด้นสดสำหรับเขา พวกเราแต่ละคนถูกหลอกหลอนในอดีต จากความรู้สึก ความรัก ความคิดถึง มันปรุโปร่งจนทำให้ชีวิตมนุษย์ดูอ่อนแอ
"เราต้องเข้าถึงโครงสร้างอัลกอริทึม ที่แคลเทค" ลินพูดขึ้น
"แก้แค่ระยะเราใช่ไหม" พัฒน์ถามซ้ำ
"ใช่ ไม่ใช่การตีลูกไกล" ลินตอบอย่างเข้าใจสถานการณ์ "เหมือนคิปป์ทีม อยู่ด้วยกันเราแก้ได้มากกว่า"