อาณาเขตลึกลับแห่งหนึ่ง อบอวลไปด้วยเกล็ดทองคำวิบวับลอยละล่อง ป่าเขาลำเนาไพรและพืชพรรณนานาชนิดอุดมสมบูรณ์ตามฤดูกาล สายนทีใสกระจ่างไร้มัวหมองจนสามารถมองเห็นก้อนกรวดด้านล่าง หากเป็นโลกมนุษย์คงเรียกว่าก้อนกรวด ทว่าในแดนเทพ 'ก้อนกรวด' เหล่านั้นล้วนเป็นทับทิมทั้งสิ้น
วิมานของเหล่าเทพถูกสร้างด้วยผงเพชรพลอยและอัญมณีหลากชนิด เนรมิตเป็นเคหสถานอันวิจิตรตระการตา สีสันแตกต่างกันไปตามลักษณะของเทพแต่ละฝ่าย วิมานสีฟ้าบ่งบอกตัวตนแห่งเทพธารา สีเขียวคือเทพพงไพร สีแดงคือเทพแห่งแสง สีดำคือเทพผู้พิทักษ์ และสีทองคือเจ้าแห่งเทพทั้งปวง
"นังนี่ ฤทธิ์เยอะนัก!" ขุนพลสวรรค์ตนหนึ่งตวาดลั่นด้วยความเดือดดาล
"จับมาให้ได้ มิเช่นนั้นราชันย์เทพทรงกริ้วแน่!" สหายอีกคนเอ่ยเตือนเสียงแข็ง เพราะไม่อยากทำงานเสียจนตัวเองพลอยเดือดร้อนไปด้วย
เทพธิดาตนหนึ่งวิ่งหนีสุดชีวิตในสภาพมอซอไปตามลำน้ำ ปีกทั้งสองถูกเชือกทิพย์พันรวบจนบิดเบี้ยวหักงอ ฝ่าเท้าย่ำกระแทกผิวน้ำจนเกิดเสียง 'เฉาะแฉะ' แตกกระเซ็น ชายอาภรณ์เปียกชุ่มและขาดวิ่นเนื่องจากถูกเกี่ยวกระชากกับกิ่งไม้ สีหน้าของนางพรั่นพรึง ดวงตาเบิกโพลงด้วยความกลัวสิ้นชีพอย่างสุดขีด
ตุบ!
"โอ้ย!" เทพธิดาตนนั้นสะดุดโขดหินล้มกระแทกพื้นอย่างแรง หัวเข่าและฝ่ามือทั้งสองถลอกจนเลือดซิบ
ทำไมโชคชะตาช่างโหดร้ายนัก....
"จับได้แล้ว พาตัวไปลงทัณฑ์!" ขุนพลสวรรค์ราวห้านายรีบรุดวิ่งตามมาทันตอนนักโทษหกล้มพอดี นายหนึ่งรีบเสกเชือกทิพย์เปล่งแสงเรืองรองมัดมือและเท้าของนาง อีกนายเสกวงเวทห่อหุ้มร่างของนางให้ลอยอยู่กลางเวหา ก่อนจะติดป้ายพันธะเอาไว้บนร่างตัวเองและบนวงเวทของนักโทษ เพื่อให้นักโทษเคลื่อนลอยไปตามการคุมตัว
เมื่อมาถึงศาลเทวะ สถานที่พิพากษาความผิดชอบชั่วดีของเหล่าเทพ ขุนพลสวรรค์นำตัวนักโทษมาลงทัณฑ์ต่อหน้าเจ้าเหนือหัวของพวกเขา 'ราชันย์เทพอีเทอร์' ผู้มีฤทธิ์เดช ทรงคุณธรรม น่าเลื่อมใส และน่าเกรงขามที่สุดของเทพทั้งปวง
ภายในศาลมีเทพบุตรและเทพธิดานั่งรายล้อมรอชมการพิพากษามากมาย บ้างตื่นเต้นอยากรู้เรื่องราวของผู้อื่น บ้างสงสารสะเทือนใจ บ้างเฉยเมย บ้างสมน้ำหน้า
มิใช่ว่าเป็นเทพแล้วจะดีทั้งเผ่าพันธุ์เสมอไป จำต้องมีกระบวนการยุติธรรม การไต่สวน และการลงทัณฑ์มาเป็นข้อบังคับในการอยู่ร่วม
"ขุนพลสวรรค์อ่านคดีความ" องครักษ์ข้างกายราชันย์เทพกล่าวบอก
"ทูลราชันย์ ข้าและเหล่าขุนพลจับเทพธิดาตนนี้ เนื่องจากมีสายข่าวรายงานว่านางกระทำผิดขั้นร้ายแรง"
"อย่างไร" ราชันย์เทพอีเทอร์เอ่ยถาม
"นางแอบมีสัมพันธ์กับคนรักที่ชายป่าคิมหันต์...."
ขุนพลผู้นั้นกล่าวยังไม่ทันสิ้นวจี ก็เกิดเสียงซุบซิบๆๆ ~~ เหล่าเทพในศาลเทวะหันหน้าคุยกันเสียงดังเซ็งแซ่
"คนรักกันจะทำอันใดกันก็เป็นเรื่องของเขาสองคนนี่" เทพนางหนึ่งตะโกนท้วง
"ใช่ จริงอยู่ว่าทำบัดสีในป่าคิมหันต์ แต่ก็ถือเป็นที่ลับตาคน ผู้ที่เห็นและแอบมารายงานต้องมีจิตใจต่ำช้าเพียงใด ไม่ให้เกียรติสตรี!" เทพนายหนึ่งเอ่ยเสริมทัพ
"เงียบ!" เสียงกึกก้องอันครั่นครามดังขึ้น เทพบุตรและเทพธิดาสองตนนั้นสะดุ้งตัวสั่น ราชันย์เทพอีเทอร์ตีหน้าขึงขัง เขาไม่ชอบความไม่เป็นระเบียบเป็นที่สุด ก่อนจะหันไปพูดกับขุนพลสวรรค์ต่อว่า "เจ้าว่าต่อสิ"
"นางแอบมีสัมพันธ์กับคนรัก....ที่เป็นซาตานพ่ะย่ะค่ะ!"
ฮือฮา~ ฮือฮา~
"อะไรกัน เป็นไปได้อย่างไร"
"เทพกับซาตานเป็นสหายกันยังผิดมหันต์ แล้วนี่!"
"แล้วซาตานเข้ามายังแดนเทพได้อย่างไร ข้าไม่ได้ยินคำนี้มาพันปีแล้ว"
ยามนี้เหล่าเทพแตกตื่นคึกโครมราวกับฟ้าร้องฟ้าผ่า ทุกคนต่างรู้ดีว่าแม้แต่คำว่า 'ซาตาน' ยังเป็นสิ่งต้องห้ามในดินแดนแห่งนี้ ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขาล้วนอยู่ในแดนเทพอย่างสงบสุขมานับพันปี มิเคยมีคนต่างเผ่าพันธุ์มาล่วงล้ำ โดยเฉพาะเผ่าศัตรูในตำนานอย่างมารร้ายพวกนั้น
มีตำนานเล่าขานกันมารุ่นสู่รุ่นว่า สาเหตุที่แดนเทพไร้เงาอริศัตรูอย่างเผ่าซาตานนับพันปีนั้น เนื่องจากมีห้วงบรรพกาลปิดกั้นพรมแดนของพวกเขากับแดนซาตานเอาไว้ ห้วงบรรพกาลเป็นห้วงอันเวิ้งว้าง ไร้สรรพชีวิต ไร้ศาสตร์มนตราทุกชนิด หมายความว่าหากมีการสู้รบกันในห้วงนั้นจะไม่สามารถใช้อาคมใดๆ ได้ ต้องวัดกันด้วยฝีมือแบบตาต่อตาฟันต่อฟันเท่านั้น
ราชันย์เทพนิ่งเงียบอยู่เนิ่นนาน ก่อนจะเอ่ยว่า "ไปตามคลีโอมา" เทพอีเทอร์สั่งองครักษ์คนสนิทเสียงราบเรียบ แววตาและการแสดงออกมิได้ประหวั่นแม้แต่น้อย หากแต่ใครเล่าจะรู้ว่าในใจสั่นไหวเพียงใด เขาจะแสดงความหวาดกลัวออกมามิได้เป็นอันขาด ต้องแสดงความเชื่อมั่นและฮึกเหิมให้กับเหล่าเทพทั้งหลายในฐานะเจ้าเหนือหัวเท่านั้น
"รับด้วยเกล้าพ่ะย่ะค่ะ" องครักษ์ค่อมกายคำนับ ก่อนเดินเร็วรี่ออกไป