webnovel

2. ครอบครัวไม่ใช่เซฟโซนของทุกคน

อัญชัน รู้สึกเหมือนยืนอยู่บนขอบเหวที่ไม่อาจก้าวไปข้างหน้าหรือถอยหลังได้ เพราะตอนนี้เธอติดอยู่ที่บ้านของนภัทธาที่เธอมาหลบภัยอยู่ได้สองสามวันแล้ว และทุกๆครั้งที่เธอจะออกไปข้างนอก บิดาของเธอจะออกตามล่าเธออย่างบ้าคลั่งเพื่อขอเงินจากเธอไปซื้อเหล้ายามาปรนเปรอกิเลสตนเอง หลายครั้งที่ พี่ฟ้า หรือนภัทธา เดือดร้อนเพราะเธอแต่พี่สาวคนนี้ก็แกร่งพอที่จะชนกับบิดาของเธอที่กำลังขาดสติอยู่

" มึงมันอีแก้งค์ลักพาตัว!!!มึงลักพาตัวลูกกูไป!!" เสียงขี้เมาประจำถิ่นตวาดแหวอยู่หน้าบ้านโดยมีชายฉกรรจ์สองสามคนยืนอยู่ขนาบข้างท่าทางเอาเรื่อง

"ไหนลูกมึง!!! ไหนหลักฐาน???นี่สามครั้งแล้วนะที่มึงมาระรานบ้านกู!! จากที่กูเรียกลุงดีๆอยากให้กูถอนหงอก...คนแก่กะโหลกกะลาแบบนี้มันน่านัก!!! แล้วนี่ใคร???คิดว่าเอาคนมาข่มขู่กูที่หน้าบ้านกูจะกลัวว่างั้น??...ฮึ!!! ก็แค่ไอ้พวกตัณหากลับ!!!...มึงอย่าได้หนีเชียวล่ะ!!" นภัทธรชี้หน้าเอาเรื่อง จิตอาฆาตในแบบเฉพาะของเธอแผ่ออกมาจนแม้แต่เจ้าโค้กหมาที่เธอเลี้ยงไว้ยังรีบมุดไปแอบอยู่ใต้โต๊ะด้วยความกลัว น้ำเสียงของเธอต่ำลงและกดดันจนทำเอาชายฉกรรจ์เริ่มถอยกันคนละก้าวอย่างลืมตัว

" ไอ้พวกแมงดาที่คิดจะขายลูกตัวเองกินเนี้ยะ!!!มันระยำจนอีฟ้าคนนี้เลือดขึ้นหน้าไปหมดแล้วด้วยสิ...มึงหยุด!!!! คิดจะมาทำอะไรกันอย่าคิดว่ากูไม่รู้นะ!!!อย่าหนีเชียว ไอ้...พวก...เวร" ราวกับเสียงมัจจุราชที่จะใช้เคียวเกี่ยวกระชากวิญญาณของชายชราให้หยุดจากร่าง ผู้หญิงคนนี้ดูดุดันกส่าที่เขาคิดแต่ในเมื่อความนึกคิดผิดชอบชั่วดีถูกครอบงำด้วยกิเลสตัณหากลับทำให้เขายังคงโวกเวกโวยวายไม่หยุดหย่อน จนกระทั่งมีรถคันหนึ่งปราดเข้ามาพร้อมกับชายในเครื่องแบบอีกสองสามคน การปารกฏตัวของตำรวจทำเอาชายชราและชายฉกรรจ์นั้นแทบจะกระโดดหนีแต่ก็ถูกขวางด้วยสาวร่างอวบที่คุกคามเขาอยู่ตรงหน้า

"สวัสดีค่ะอาจาร์ย...ขอบคุณนะคะที่เป็นธุระมาจับพวกสารเลวพวกนี้ให้พวกหนู" ท่าทีคุกคามของนภัทธาเปลี่ยนไป ราวกับคนละคนเธอหันไปส่งยิ้มให้กับ อาจาร์ย ที่อยู่ในเครื่องแบบของตนอย่างเคารพ

" ไม่เป็นไรๆพวกเธอก็เป็นลูกศิษย์ของครูเหมือนกัน...แล้วอัญชันล่ะเป็นยังไงบ้าง" อาจาร์ยประยูรที่เคยสั่งสอนพวกเธอสมัยเรียนอนุปริญญาถามไถ่ด้วยความห่วงใย

"น้องมันปลอดภัยดีค่ะอาจาร์ย หนูให้น้องมันหลบอยู่ในออฟฟิศหนูมาหลายวันแล้วเดี๋ยวหนูจะพาน้องๆไปให้ปากคำนะคะ" หญิงสาวยกมือไหว้ มืออันอบอุ่นของผู้เป็นครูลูบหัวของเธออย่างเอ็นดู

" เธอเก่งมากนะ นภัทธา ไม่สนใจสอบเป็นตำรวจบ้างเหรอ" เขาไม่พลาดโอกาศที่จะชักชวนคนที่สามารถข่มชายฉกรรจ์ได้อยู่หมัดอย่างเธอเข้ามาในองค์กรเพื่อเพิ่มบุคลากรที่ดีอีก

" ขอบคุณค่ะอาจาร์ยแต่หนูต้องดูแลลูกๆและกิจการงานของหนูอีกหนูคงไม่สามารถตอบรับมันได้ขอโทษด้วยนะคะ" หญิงสาวปฏิเสธ

"เอาเถอะๆหากเปลี่ยนใจเมื่อไหร่ก็พาน้องๆมาสมัครได้นะครูจะช่วยแนะนำ" เขายังคงคาดหวังต่อลูกศิษย์ของเขา

เสียงรถตำรวจห่างออกไปแล้ว นภัทธาจึงกลับเข้าไปในออฟฟิศที่อัญชันและเพียงจันทร์แอบซ่อนอยู่ บรรยากาศข้างในช่างอึดอัดเสียจนหายใจแทบไม่ออกเพราะความหวาดกลัวมันเกาะกินอัญชันอยู่

"ไม่เป็นไรหรอกยัยอัญ...แกไม่ได้บาปอะไรคนที่แจ้งจับตาเฒ่านั่นเป็นพี่เอง" เพียงจันทร์ลูบหลังปลอบใจน้องเล็กของกลุ่มที่นั่งกอดเข่าเงียบอยู่บนโซฟา

" มีคนเคยกล่าวไว้ ถึงบิดาเป็นผู้ให้กำเนิดเราแต่หากเขาทำลายเรา เราจะอกตัญญูบ้างก็ไม่ผิดหรอก..ยัยอัญ" นภัทธาปลอบอีกแรง

" น้องไม่ได้โหดเหมือนพี่ฟ้านี่นา...ถ้าน้องแข็งแกร่งได้สักครึ่งของพี่ฟ้ากับพี่ดาว น้องคงจะไม่อ่อนแอแบบนี้" ดวงตาที่เคยสดใสของหญิงสาวอ่อนแสงลง นภัทธาสบตากับเพียงจันทร์ชั่วครู่ก่อนจะ ช่วยกันปลอบใจหญิงสาวให้กลับมาร่าเริงอีกครั้ง

"อัญ...อย่าไปโทษโชคชะตาในอดีตเลยมันจะยิ่งทำให้เอ็งเศร้ายิ่งกว่าเดิม สิ่งที่เอ็งเจอมามันโหดร้ายกว่าใครพวกพี่ก็รู้...แต่ปัจจุบันและอณาคตเป็นของเอ็งเเล้วนะ...ลุกขึ้นแล้วเลือกเถอะ...แกจะวนลูปอยู่แบบนี้หรือจะลุกขึ้นแล้วสู้ต่อไป ให้ พ้น พ้น " นภัทธา ให้ความเห็น คำพูดของเธอทำให้อัญชันที่เหมือนอยู่ตรงปากเหวได้พบกับเส้นทางที่เธอตามหามาแสนนาน

"น้องอยากหลุดพ้น...แต่จะให้น้องทำยังไงหล่ะพี่ฟ้า...น้องไม่มีที่ไปญาติๆคนไหนเขาก็รังเกียจน้อง" เธอพูดเสียงสั่นเครือ

"พวกพี่ไม่เห็นรังเกียจแกเลยนี่...แคร์ทำไมทุกวันนี้แกทำงานตัวเป็นเกลียวหัวเป็นนอตเลี้ยงตัวเองอยู่นะไม่ได้ขอใครเลี้ยงเสียหน่อย" เพียงจันทร์ เริ่มหงุดหงิดกับพวกคนที่อ้างถึง เธอเองก็รู้ดีกว่าใครๆว่าที่อัญชันพูดถึงนั้น คือญาติๆที่เป็นเครือเดียวกับตน คนพวกนั้นไม่เคยช่วยเหลืออะไรนอกจากดีแต่ปากสักแต่จะพูดเท่านั้น

" เออออ....อยู่ที่ว่าแกจะเอาด้วยไหมต่างหากยัยอัญ...เอ้านี่!!!ป้าของพี่ที่แกเป็นออแกไนซ์งานบนเรือสำราญอยู่แกหาคนช่วยอยู่พอดี" นภัทธายื่นกระดาษใบหนึ่งให้กับหญิงสาวแต่ถูกเพียงจันทร์ดึงไปอ่านแทน

"เซนต์มารีญา...เรือสำราญเหรอพี่ฟ้า!!!" น้ำเสียงตื่นเต้นของเพียงจันทร์เรียกให้อัญชันหันมาสนใจกระดาษแผ่นนั้นอีกคน

" ใช่!! ...ป้าพี่ที่แคนาดาเขาดีลงานบนเรือได้แต่ยังขาดเด็กเสริฟอาหารอยู่จริงๆเขาก็ชวนพี่แหล่ะ...แต่พวกแกก็รู้...ภาระพี่พันธะพี่มากขนาดนี้พี่จะไปไหนได้....แล้วงานนี้มีสัญญาแค่เก้าเดือน เงินเดือนเกือบแสน ถ้าแกไปไม่ใช่แค่หลุดพ้นแต่ตั้งตัวได้เลยนะ" นภัทธาบอก

"แล้วน้องจะไปยังไงล่ะ" อัญชันไม่พลาดโอกาศที่จะคว้าข้อเสนออันหอมหวานนี้เอาไว้แต่ข้อเสนอในใบสมัครนั้น คือต้องไปอบรมก่อนสามเดือนเพื่อเตรียมตัวขึ้นเรือยาวๆ

"เดี๋ยวพี่ไปส่ง....แกล่ะจะไปไหมยัยดาว...อยากมีบ้านมีรถนี่...แค่เก้าเดือนรวมอบรมก็หนึ่งปีพวกแกกลับมา...รวยเลยนะ" นภัทธาหันไปถามอีกนางหนึ่งที่ยังมองกระดาษแผ่นนั้นด้วยดวงตาที่แวววาว

" ไปสิพี่!!!เราจะไปได้เมื่อไหร่พี่จะไปส่งพวกฉันจริงๆใช่ไหม??" เพียงจันทร์ถาม

"ไปสิ...ฉันต้องไปส่งงานให้ป้าฉันอีงานที่บังคับให้พี่เขยแกทำนี่แหล่ะที่จะเอาไปส่ง...เอาไงยัยอัญ...พี่จะได้บอกป้า" นภัทธาหันไปถามอีกครั้ง

"ยัยอัญ...แกห้ามปฏิเสธนะ...แกต้องไปกับฉัน!!" เพียงจันทร์บีบบังคับมือบางเขย่าแขนของน้องเล็กอย่างเอาแต่ใจ

"ไปสิพี่...นี่มันเหมือนฉันเจอทางออกในทางตันเลยนะ" ในที่สุดสาวๆที่อมทุกข์มาตลอดสามวันก็ยิ้มออกเสียที หลังจากที่เพื่อนรักน้องเล็กของเขานั้นจมอยู่กับความหวาดกลัวและความทุกข์มาตลอดสามวัน

"ใจเย็นๆคุณน้องก่อนอื่นต้องไปให้ปากคำที่โรงพักก่อนไหม...ระหว่างที่พ่อแกถูกจับอยู่จะได้รีบเคลียอะไรๆให้มันจบๆก่อนไป" นภัทธาบอก พลางลุกขึ้นส่งมือให้น้องๆฉุดกายลุกขึ้นยืน พร้อมส่งรอยยิ้มที่น้องได้เห็นแล้วรู้สึกอุ่นใจ หากเซฟโซนของทุกคนคือครอบครัวแต่สำหรับสาวๆแล้วเซฟโซนของพวกเธอก็คือบ้านหลังเล็กๆแห่งหนึ่งที่ไม่ได้มีพื้นที่กว้างขวาง ไม่ได้สงบและเต็มไปด้วยความสุขเท่าไหร่นัก แต่กลิ่นไอที่พวกเธอทั้งสามแบ่งปันส่วนที่ขาดหายไปให้กันและกันนั้นต่างหากที่เป็นเซฟโซนสำหรับพวกเธอและอาจจะเป็นพื้นที่เซฟโซนสำหรับแขกเหรื่อที่มาเยือนบ้านหลังเล็กๆแห่งนี้อีกด้วยเพราะเจ้าของบ้านหลังนี้ใจดียิ่งกว่าใครๆเสียอีก