ตอนที่ 72 น้อยอกน้อยใจ!
ทางด้านนี้ ปรมาจารย์นักรบที่ตายไปทั้งสามไม่เพียงทำให้ผู้ฝึกตนรอบๆ ตื่นตระหนก แต่ยังเป็นที่ตกใจแก่ผู้ดูแลในหมู่บ้านเล็ก
ทว่าปกติผู้ดูแลแค่รักษาความสงบเรียบร้อยของคนในหมู่บ้าน สำหรับเรื่องผู้ฝึกเซียนเช่นนี้ แต่ไหนแต่ไรพวกเขาไม่อาจยื่นมือเข้าแทรก ยิ่งไปกว่านั้นพวกที่ตายไปยังเป็นผู้ฝึกเซียนระดับปรมาจารย์นักรบ ยิ่งทำให้พวกเขาคิดว่าเป็นปัญหาที่ยากเกินแก้
ด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงทำได้เพียงคิดหาวิธีตรวจสอบฐานะปรมาจารย์นักรบทั้งสามก่อน จากนั้นค่อยแจ้งกับตระกูลพวกเขา
แต่ไม่นานนักข่าวนี้ก็แพร่สะพัดไปในหมู่บ้าน ถึงอย่างไรทันทีที่ปรมาจารย์สามดับดิ้น ก็ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ ในหมู่บ้านอีกแล้ว
ทว่าเรื่องพวกนี้เฟิ่งจิ่วกลับไม่สนใจ หลังจากเธอกลับเรือนก็เข้าไปฝึกวิชาในห้วงมิติ
ทหารรับจ้างตลาดมืดในหมู่บ้านเล็กๆ เหมือนแทบจะหลีกเลี่ยงภารกิจตามล่าเธอกันไปเองแล้ว อีกหลายวันหลังจากนั้นจึงผ่านไปอย่างสงบสุขยิ่ง สองคนต่างยุ่งอยู่กับการฝึกวิชา จนกระทั่งไม่กี่วันต่อมา กวนสีหลิ่นที่ออกไปซื้ออาหารกลับมาเดินเข้าเรือนอย่างจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
“พี่สีหลิ่น?” เฟิ่งจิ่วที่กำลังรำไทเก๊กอยู่ในลานบ้านเห็นเขาท่าทางผิดปกติเล็กน้อย พอเรียกไปก็ไม่ตอบ
“พี่สีหลิ่น?” เธอเรียกอีกรอบ ถึงจะเห็นเขาพลันได้สติกลับมา
“อ๊ะ? เสี่ยวจิ่ว เจ้าเรียกข้ารึ?” เขาจัดการอารมณ์ตัวเองแล้วมองนาง เผยรอยยิ้มออกมา แต่เขากลับไม่รู้เลยว่ารอยยิ้มนั้นดูฝืนใจมากอย่างเห็นได้ชัด
“ท่านเป็นอะไรไป? เกิดเรื่องอะไรขึ้นรึเปล่า?” เธอเดินเข้าไปถามเขา
กวนสีหลิ่นเงียบพลางก้มหน้าน้อยๆ ไม่ยอมพูดจา
“ไม่อยากบอกข้าเหรอ งั้นข้าไม่ถามแล้วก็ได้”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เขาก็รีบร้อนเงยหน้าขึ้น “ไม่ใช่นะ เสี่ยวจิ่ว ก็แค่ แค่...”
เขามองนางอยู่นาน น้ำเสียงไม่ค่อยชัดเจนเท่าไหร่นัก “ตอนออกไปซื้อของ ข้าได้ยินข่าวในตระกูลมาว่าญาติผู้พี่ของข้าจะแต่งงานแล้ว”
รู้จักกันมาเนิ่นนานขนาดนี้ เธอไม่เคยถามถึงทั้งภูมิหลังและชาติตระกูลเขา เช่นเดียวกัน เขาก็ไม่เคยถามเรื่องวงศ์ตระกูลเธอ แต่ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่เธอได้ยินเขาพูดถึงเรื่องในตระกูล
“ท่านอยากกลับไปร่วมงานแต่งเขา?”
มือเขาลูบบนบาดแผลตรงช่วงเอวที่หายดีแล้วโดยไม่รู้ตัว กล่าวด้วยน้ำเสียงหดหู่น้อยๆ ว่า “เสี่ยวจิ่ว เจ้ารู้หรือไม่? ตั้งแต่ข้าอายุหกขวบก็ถูกเลี้ยงดูอยู่ใต้อาณัติท่านลุง ฝึกฝนศิลปะการต่อสู้ร่วมกับลูกพี่ลูกน้องชาย แม้ไม่ได้เกิดจากท้องเดียวกัน แต่ข้าก็เคารพนับถือเขาเสมอ เห็นเขาเป็นเช่นพี่ชายแท้ๆ ทว่าข้าไม่นึกเลยว่าจู่ๆ เขาจะลงมือสังหารข้าจากด้านหลัง
ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้าช่วยข้าไว้ คิดว่าตอนนี้ข้าอาจตายไปแล้ว เดิมทีข้าคิดมาตลอดก็ไม่เข้าใจ ทำไมเขาต้องฆ่าข้า แต่พอได้ยินว่าเขาจะแต่งงานถึงได้รู้ว่าที่แท้ก็เพื่อนาง”
“นาง?” เฟิ่งจิ่วงงงันเล็กน้อย
“ใช่ ผู้หญิงคนนั้นที่เขาแต่งงานด้วยคือคุณหนูสามแห่งตระกูลเคอ นามว่าเคอซินหย่า นางเป็นคู่หมั้นที่ท่านพ่อกำหนดให้ข้าในปีนั้น”
ได้ยินเช่นนั้น เฟิ่งจิ่วเบิกตาด้วยความตกตะลึงอยู่บ้าง นี่มันเรื่องอะไรกันแน่? ถูกญาติผู้พี่ลอบสังหาร ซ้ำยังโดนแย่งคู่หมั้นอีก? เธอมองเขาด้วยความเห็นใจเล็กน้อย รู้สึกว่าพี่ชายคนใกล้ตัวผู้นี้ช่างน่าสงสารอย่างไม่ธรรมดาเลยจริงๆ
เห็นเขาท่าทางอ้างว้าง เธอจึงถามอย่างสงสัยอยู่บ้าง “พี่สีหลิ่น ท่านชอบหญิงคนนั้นหรือ?”
กวนสีหลิ่นส่ายหน้า “พูดไม่ได้ว่าชอบ ทว่าตั้งแต่เล็กก็รู้ว่านางจะโตมาเป็นผู้หญิงของข้า นึกไม่ถึงเลย ตอนนี้ได้ยินว่านางจะแต่งงานกับคนอื่น หนำซ้ำคนผู้นั้นยังเป็นลูกพี่ลูกน้องข้า ข้าก็ไม่สบายใจและรู้สึกน้อยใจ”
“ฮ่ะๆ!”
เธออดไม่ได้หัวเราะออกมา เมื่อเห็นเขาถลึงตามองมาด้วยความอับอายและขุ่นเคือง เธอก็รีบกลั้นไว้ “ก็ได้ๆๆ ข้าไม่หัวเราะ ไม่หัวเราะแล้ว” แต่มุมปากที่ฉีกกว้างกลับมีรอยยิ้มเอ่อล้นอย่างไม่อาจหักห้ามได้
…………………………………………………….