webnovel

สุดแสงสีหม่น

วีรภัทราเกิดมาในครอบครัวฐานะปานกลาง มีป้านุชเป็นคนคอยเลี้ยงดู เนื่องจากพ่อแม่ของเธอเสียชีวิตจากอุบัติเหตุเมื่อเธอยังเด็ก แต่ก่อนที่เธอจะย้ายไปอยู่กับป้านุช เธอได้อาศัยอยู่กับคุณปู่ณรงค์ที่ใจร้าย และคุณย่ากัลยาณีที่ป่วยหนักเพราะรับไม่ได้กับเรื่องลูกชายของตัวเอง ทำให้เธอจะต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการปรับตัวเพื่อเติบโตเป็นคนเข้มแข็งและสู้ชีวิตเพียงลำพัง ถึงแม้ว่าลึก ๆ เธอจะอ่อนไหวง่ายกับเรื่องของความรักและความสัมพันธ์กับคนที่อยู่รอบตัวเธอ แต่สิ่งที่เธอยึดมั่นเสมอ แม้เจอกับสิ่งเลวร้ายถาโถมเข้ามา คือเธอจะพยายามไม่หวั่นไหวไปกับมันและเลือกที่จะมองในด้านดี ในช่วงวัยเด็กของวีรภัทรานั้น เธอเจอแต่คนที่ชอบกลั่นแกล้ง แม้ว่าเธอจะมีกัลย์กมลคอยอยู่ข้าง ๆ เธอในช่วงเวลานั้น แต่ก็ไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้น จนเธอได้รับความช่วยเหลือจากป้านุชในการย้ายโรงเรียน เธอจึงได้ไปเจอกับเพื่อนใหม่ที่ดีกับเธอมากอย่างพริมา ทำให้เธอรู้สึกว่าโลกใบนี้ยังพอมีอะไรดีอยู่บ้าง จนกระทั่งในวัย 24 ปีของวีรภัทรา เธอถูกป้านุชจับแต่งงานกับอัคราวิชญ์ ลูกชายคนเดียวของคุณหญิงวิไลรัตน์ ซึ่งเป็นรุ่นน้องคนสนิทของป้านุช ทำให้เธอปฏิเสธไม่ได้เพราะต้องตอบแทนบุญคุณ หลังจากเธอย้ายเข้าไปอยู่บ้านเดียวกับสามี เธอใช้ความพยายามทั้งการปรับตัว และความอดทนที่จะต้องเผชิญหน้ากับอุปสรรคและปัญหาที่สามีเธอสรรหามาให้จนฟางเส้นสุดท้ายกำลังจะขาด เธอจึงตัดสินใจว่าจะหนีไปต่างประเทศคนเดียว แต่ว่าเพื่อนสนิทสามีอย่างณัฐชานนท์อาสาเข้ามาช่วยดำเนินการให้เธอ ทำให้สามีเกิดความเข้าใจผิด และไม่แค่นั้นยังแอบไปขอเธอจากสามีเธออีกด้วย เรื่องเลวร้ายจึงเกิดขึ้นต่อเนื่องไม่จบไม่สิ้น ช่วงที่วีรภัทราเหนื่อยล้ากับความหนักหน่วงในชีวิตที่ต้องเจอ ก็ยิ่งเป็นการตอกย้ำมุมมองเธอเรื่องการแต่งงานแบบคลุมถุงชนว่ามันเลวร้ายและย่ำแย่แค่ไหน ไม่เห็นจะเหมือนกับสิ่งที่ป้านุชเคยสัญญาและพร่ำบอกกับเธอไว้เลยว่า จะมีความสุข ตอนนี้เธอกลับรู้สึกว่าไม่จริงซะแล้ว แต่ยังดีที่มีอาทิมาเป็นยาดีช่วยเติมเต็มและเปลี่ยนมุมมองความคิดการทนอยู่หรืออยู่ทนของทั้งคู่ ท้ายที่สุดแล้วคนในครอบครัวจะใกล้ชิดกันมากขึ้นไหม ทุกอย่างล้วนขึ้นอยู่กับความเข้าใจ การยอมรับ และปรับตัวเข้าหากัน เพราะสิ่งนี้จะเป็นตัวช่วยให้ความสัมพันธ์ในครอบครัวยั่งยืน

memento_mori_7964 · Thành thị
Không đủ số lượng người đọc
30 Chs

โซ่ทองคล้องใจ

ช่วงที่วีรภัทราพักอยู่ที่โรงพยาบาล อัคราวิชญ์ก็เทียวไปเทียวมากับที่บ้านตัวเอง เพื่อจัดการปัญหาก่อนหน้านี้ที่กัลย์กมลเข้ามาวุ่นวายจนวีต้องเข้าโรงพยาบาล เขาจึงเรียกทนายความส่วนตัวเข้ามานั่งคุยพร้อมยื่นหลักฐาน ทั้งรูปถ่ายและคลิปเสียงที่กัลย์กมลข่มขู่และพูดถึงเรื่องทำร้ายร่างกายภรรยาของเขาไว้ พอคุยธุระเสร็จ เขาก็กลับมาดูแลเธอตามหน้าที่เหมือนเดิม เขาใช้เวลาอยู่หลายวันในการจัดการปัญหานี้ให้จบ พอทนายความไปดำเนินการให้ตามที่คุยกับเขาไว้เสร็จแล้ว สุดท้ายทนายความกลับมาแจ้งผล โดยคาดการณ์ไว้ว่า มนจะต้องติดคุก 3 ปี พร้อมจ่ายค่าปรับ 6 หมื่นบาท

หลังจากผ่านไป 5 วัน ก็พอดีกับวีรภัทราออกจากโรงพยาบาล อัคราวิชญ์ก็มาทำหน้าที่สามีตามที่ตกลงกันไว้อย่างดี ไม่ว่าจะดูแลเรื่องอาหารการกิน พาเธอไปทำในสิ่งที่อยากทำ ไปจนถึงพาเธอไปหาหมอ ทุกอย่างสมบูรณ์แบบไม่ขาดตกบกพร่องจนเธอกลัวว่าวันหนึ่งหากเขาเปลี่ยนไป เธอจะต้องรับมือกับเรื่องนี้อย่างไรดี แต่เธอก็ลืมคิดไปเลยว่าเขาเคยบอกอะไรไว้ ทำให้ในใจเธอก็ได้แต่วนคิดถึงเรื่องเหล่านี้อีกครั้ง และด้วยความเข้าใจผิดไปเองของเธอ จึงกังวลว่าเขาจะต้องฝืนใจทำ เพราะตอนนี้เขาต้องคอยอดทนดูแลเธอและลูกที่เขาไม่อยากรับไปอีกหลายเดือนเลย

วันนี้ก็เป็นอีกวันที่วีรภัทราได้ใช้เวลาร่วมกับอัคราวิชญ์ที่คอนโด ณ ห้องรับแขกวีรภัทราเดินมานั่งนึกย้อนกลับไปในช่วงเช้าของวันที่อัคราวิชญ์ช่วยเธอจัดการเรื่องออกจากโรงพยาบาล แล้วก็พาเธอมาขึ้นรถด้วยการเปิดประตูให้ จากนั้นเขาก็ขับรถพาเธอกลับคอนโด แต่พวกเขา 2 คนต่างนั่งอยู่ในความเงียบไม่เหมือนครั้งเก่าที่เคยแหย่แกล้งเล่นกัน จนเขารู้สึกทนไม่ไหว จึงเอ่ยขึ้นมาว่า

"ทำหน้าตาเหมือนโดนบังคับขึ้นรถมานะครับ" อัคราวิชญ์พูดประชดขึ้นมา วีรภัทราได้แต่คิดในใจว่า เขาต้องการพูดทำลายความเงียบหรือความรู้สึกกันแน่ เธอเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน

"..." วีรภัทรายังเงียบต่อไป ทำให้อัคราวิชญ์รู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก

"นี่ วีจะเงียบไปอีกนานไหมครับ" อัคราวิชญ์ถามขึ้นอย่างเซ็ง ๆ

"วี... ไม่รู้จะคุยอะไรดีค่ะ" วีรภัทราลังเลที่จะคุยด้วย เลยทำได้แค่อธิบายกับอัคราวิชญ์กลับไปตามความรู้สึกจริง ๆ ในเวลานี้

"เฮ้อ..." อัคราวิชญ์ถอนหายใจออกมาอย่างแรง จนวีรภัทราหน้าเสียขึ้นมาเพราะนึกว่าตัวเองทำผิดอีกแล้ว

"วีก็แค่เล่าเรื่องลูกให้ฟังก็ได้ครับ" อัคราวิชญ์เสนอหัวข้อในการคุยให้วีรภัทรา

"ลูกเริ่มขยับตัวเล็กน้อยแล้วค่ะ ส่วนวีก็ยังคงแพ้ท้องหนักเหมือนเดิมค่ะ" วีรภัทราเล่าเพียงเล็กน้อยเพราะอาการส่วนใหญ่ตอนนี้ยังไม่ได้มีอะไรมาก

"อ๋อ... แล้วอาหารล่ะ มีอะไรที่แพ้ไหมครับ ผมรู้แค่วีแพ้กลิ่นน้ำหอมเพราะวันนั้นวีบอกผมแล้ว" อัคราวิชญ์ถามขึ้นมาอย่างใส่ใจ จนวีรภัทราเงยหน้ามองเขาด้วยความแปลกใจ

"แพ้อาหารกลิ่นแรง ๆ ค่ะ" วีรภัทราตอบด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลกลับไป

"ครับ" อัคราวิชญ์รับคำ ก็เป็นจังหวะเดียวกับที่รถได้เคลื่อนที่เข้ามาจอดใต้คอนโดแล้ว

อัคราวิชญ์ลงไปเปิดประตูและช่วยประคองวีรภัทราออกมาจากรถ จากนั้นก็เดินไปเปิดกระโปรงหลังรถเพื่อหยิบกระเป๋าเสื้อผ้าที่เตรียมไว้อย่างคล่องแคล่ว พอทั้งคู่เดินผ่านเข้าไปในตัวตึกก็เดินสวนกันกับเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย ซึ่งเจ้าหน้าที่ก็ถามเขาพร้อมยิ้มอย่างยินดีที่ทั้งคู่ได้กลับมาคืนดีกันแล้ว ส่วนเขาก็ได้แต่ยิ้มบาง ๆ กลับไป หลังจากนั้นเธอก็มองเขาอย่างสับสนว่ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นก่อนหน้านี้ที่เธอไม่รู้หรือเปล่า แต่เธอก็ไม่กล้าถามออกไป ด้วยกลัวว่าเขาจะอารมณ์เสียขึ้นมาอีก หากเธอถามอะไรไม่เข้าหูเขาออกไป

พอถึงห้องพัก อัคราวิชญ์ก็ช่วยเปิดประตูให้วีรภัทราเดินเข้าห้อง เธอเกิดรู้สึกเงอะงะขึ้นมาเล็กน้อย แต่ก็เดินเข้าไปในห้องตามปกติ ส่วนเขากลับเดินเข้าไปในห้องและจัดแจงวางข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัวอย่างกับเคยอยู่ห้องนี้มาก่อน แต่เธอก็ไม่ค่อยแปลกใจกับเรื่องนี้เท่าไรเพราะรู้แล้วว่าเป็นคอนโดที่ณัฐชานนท์เป็นหุ้นส่วน และสามีเธอก็น่าจะเคยมาที่นี่ก่อนหน้านี้เพราะพวกเขาเป็นเพื่อนกัน

"เย็นนี้วีอยากกินอะไรครับ" อัคราวิชญ์พูดขึ้นมาอย่างเรียบง่าย พลางจัดของใช้ส่วนตัวไปด้วย

"วีอยากกินข้าวต้มทะเลค่ะ" วีรภัทราตอบกลับ หลังจากนั่งคิดลังเลอยู่นาน

"ครับ ใส่พริกไทยน้อย ๆ ใช่ไหม เดี๋ยวผมทำให้นะ วีรอแป๊บนะครับ" อัคราวิชญ์ตอบรับทันที

"ใช่ค่ะ ขอบคุณนะคะ" วีรภัทราพูดขอบคุณอัคราวิชญ์กลับไปเพราะยังรู้สึกเกร็ง ๆ อยู่

"ไม่เป็นไรเลยครับ มันเป็นหน้าที่ของผมอยู่แล้ว" อัคราวิชญ์ตอบด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลกลับไป

วีรภัทราที่ได้ยินและเห็นอากัปกิริยาของอัคราวิชญ์ก็ยิ่งแปลกใจ บางครั้งก็รู้สึกสบายใจที่มีเขาอยู่ บางทีก็รู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก เธอชักจะไม่รู้แล้วว่าต้องวางตัวกับเขาอย่างไร แต่เธอทำได้แค่ระมัดระวังใจตัวเอง ไม่ให้ปล่อยใจไปกับสิ่งที่เขาทำให้เธอมากเกินไปเพราะกลัวจะรู้สึกเจ็บอีก เธอยังคงจำได้ดีกับความรู้สึกเก่า ๆ ที่เคยมีกับกัลย์กมล แม้ตอนนี้เธอจะพอรู้แล้วว่าโดนอีกฝ่ายปั่นหัว ทำให้ตัวเองสับสนและตามอารมณ์ของคนนั้นไปโดยไม่รู้ตัว ซึ่งตอนนี้เธอได้มีเวลาอยู่กับตัวเองมากขึ้น ทำให้จดจ่อกับความรู้สึกของตัวเองดีขึ้น แต่ก็แอบน่ากังวลเช่นกันหากเธอเปิดใจและเปิดโอกาสให้สามีเธอเข้ามาอยู่ในหัวใจ ตอนนี้ก็ได้แต่พยายามบังคับตัวเองไม่ให้ไปหวั่นไหวกับเขา

อัคราวิชญ์ที่เห็นวีรภัทรานั่งเล่นโทรศัพท์มือถืออยู่ ก็จ้องมองเธอด้วยความสงสัย แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป เดินไปทำอาหารตามที่คุยกันไว้ก่อนหน้านี้ วันนี้เธอจะได้กินอาหารฝีมือเขาหลังจากที่ไม่ได้ลิ้มลองรสชาตินี้มานาน ทำให้ใจเธอพองฟูขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัวด้วยความปลื้มปริ่มในใจ เธอเลยยิ้มกว้างให้เขา แต่เขากลับมองเธอนิ่ง ๆ เพียงครู่เดียว แล้วก็หันไปหยิบโทรศัพท์มือถือที่อยู่บนโต๊ะกินข้าวขึ้นมา ทำให้บรรยากาศกลับมากระอักกระอ่วนอีกครั้ง ทั้ง ๆ ที่ในใจเขาก็รู้สึกดีใจจนเนื้อเต้นแล้ว

ค่ำคืนแรกที่อัคราวิชญ์และวีรภัทราจะได้อยู่ด้วยกัน พอเขาอาบน้ำเสร็จก็เดินขึ้นไปนอนเบียดในเตียงเดียวกันกับเธอ เธอตกใจมาก จึงรีบกระเถิบตัวหนีเพราะพวกเขาไม่เคยนอนด้วยกันจริง ๆ มาก่อน ยกเว้นก็แค่คืนอันเร่าร้อนนั้น ทำให้เธอรู้สึกกดดันอย่างบอกไม่ถูก เธอเริ่มนอนตัวเกร็งจนเขาสังเกตเห็นได้ เขาจึงพูดขึ้นมาว่า

"ผมไม่ทำอะไรวีหรอก ใช่ว่าเราไม่เคยนอนด้วยกันสักหน่อย" อัคราวิชญ์พูดอย่างเถรตรงออกไป วีรภัทราที่ได้ยินประโยคแรกกำลังจะถอนหายใจอย่างโล่งอก แต่พอได้ยินประโยคถัดมาเล่นทำเอาเธออยากจะตะโกนใส่หน้าเขา เขาพูดเกือบจะดีอยู่แล้ว ทำไมเขาถึงชอบพูดจาไม่น่าฟังแบบนี้บ่อย ๆ นะ ทั้งที่เธอก็เคยได้ยินประโยคดี ๆ มาบ้างจากเขา เธอได้แต่นึกอยู่ในใจ

เพียงไม่นานอัคราวิชญ์ที่สอดตัวอยู่ใต้ผ้าห่มผืนเดียวกันกับวีรภัทราก็เริ่มรุกล้ำเธอด้วยการเอามือตัวเองไปสัมผัสกับมือของเธอ จากนั้นก็จับมือเธอไว้ ไออุ่นจากมือเขาที่เกาะกุมมือเธออยู่ ทำเอาใจเธอเต้นไม่เป็นจังหวะ แล้วยิ่งเขาสอดนิ้วประสานกับมือของเธอ พร้อมกับแหย่ด้วยคำพูดที่ชวนสยิวในใจ ก็ยิ่งเพิ่มความรู้สึกให้เธอรู้สึกเขินอายจนหน้าแดงก่ำขึ้นมาอีก

"ผมแค่จับมือเองนะ วีตื่นเต้นได้ขนาดนี้เลยเหรอครับ" อัคราวิชญ์พูดกระซิบที่หูวีรภัทราอย่างแผ่วเบา ทำให้เธอที่ได้ยินคำพูดเหล่านี้ก็ตกใจและนึกว่าเขาได้ยินเสียงหัวใจของเธอที่เต้นแรงอยู่ตอนนี้ จึงหันหน้าไปอีกทางแทนการสบตากัน แล้วเอามืออีกข้างแตะที่หน้าอกข้างซ้ายเพื่อเช็คความรู้สึกของตัวเองไปด้วย และค่อย ๆ ผ่อนลมหายใจเข้าออกเพื่อปรับอารมณ์ของตัวเอง แต่เธอก็ยังคงได้ยินเสียงหัวใจเต้นแรงอยู่ จึงหันกลับไปมองเขาอย่างแปลกใจ พอเห็นว่าเขานอนมองเธออย่างไม่วางตา แถมยังพูดจากระเซ้าเย้าแหย่ให้เธอรู้สึกขวยเขินขึ้นมาอีกว่า

"ผมตื่นเต้นกว่าวีซะอีก" อัคราวิชญ์ที่ปล่อยให้อารมณ์พาไป และเผลอพูดความในใจออกมา แต่เขาก็ต้องกลับมาตั้งสติเพราะตอนนี้เสียงหัวใจของทั้งคู่นั้นเต้นโครมครามหนักกว่าตอนแรกซะอีก เหมือนกับเครื่องดนตรีที่สอดประสานกันอย่างลงตัวเลยล่ะ

หลังจากผ่านพ้นคืนนี้ไป อัคราวิชญ์ก็ยังคงดูแลวีรภัทราอย่างดีเหมือนเดิม จนเธอก็เริ่มรู้สึกเคยชินกับการมีอยู่ของเขามากขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งก่อนวันคลอด 1 วัน พริมาก็มาหาเธอถึงคอนโด ในช่วงที่สามีเพื่อนไม่อยู่ห้องเพราะต้องออกไปซื้อวัตถุดิบที่จะใช้ทำอาหาร

"มีอะไรหรือเปล่า" วีรภัทราเอ่ยถามพริมาด้วยความเป็นห่วง เพราะเพื่อนเธอแสดงสีหน้าลำบากใจที่จะพูดเล็กน้อย

"วี เรามีความลับเรื่องหนึ่งอยากจะบอกแกมานานแล้ว แต่เพราะโดนคุณอัคราวิชญ์ห้ามไว้เลยบอกแกไม่ได้" พริมาพูดไปอย่างตื่นเต้นเพราะกลัวว่าสามีเพื่อนจะกลับมาก่อนที่เธอจะได้เล่าความจริงให้วีรภัทราฟัง

"เรื่องอะไร พูดมาเร็วเลย" วีรภัทราพูดขึ้นอย่างร้อนรนเพราะคิดไปเองว่าต้องเป็นเรื่องไม่ดีแน่ ๆ ไม่งั้นเพื่อนเธอคงไม่ทำท่าลุกลี้ลุกลนขนาดนี้หรอก

"แกเคยถามเรื่องของบำรุงครรภ์ว่ามาจากเราใช่ไหม ความจริงแล้ว..." พริมาเกริ่นย้อนไปยังเรื่องเก่าที่เคยคุยกับวีรภัทราเมื่อวันวาน

"ความจริงแล้วคุณอัคราวิชญ์เขาเป็นคนฝากของมากับเรา แล้วเอามาให้แก แกอาจจะคิดว่าทำไมถึงมาบอกแกตอนนี้ เพราะตอนนั้นเราไม่แน่ใจ แต่วันนี้ที่เห็นแกมีสีหน้าที่สดใสขึ้น และดูอารมณ์ดีกว่าแต่ก่อน เราก็มั่นใจว่าคนที่ทำให้แกรู้สึกดีได้ขนาดนี้คงไม่พ้นสามีแกหรอก จริงไหม" พริมาอธิบายความจริงให้วีรภัทราฟังทั้งหมด พร้อมชี้ให้เห็นความจริงที่เพื่อนเธอมองข้ามมาโดยตลอด

หลังจากที่วีรภัทราได้ยินเรื่องราวทั้งหมด ใจเธอก็เต้นแรงขึ้น พอนึกถึงเขาก็รู้สึกเหมือนมีผีเสื้อบินอยู่ในท้องอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน ไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้เธอเก็บกดอารมณ์มากเกินไป หรือเธอละเลยที่จะสังเกตอารมณ์ความรู้สึกตัวเอง แต่ไม่ว่ายังไงเธอก็ไม่อยากคาดหวังในตัวเขามากเพราะท่าทีเขาช่างน่าสับสนเหลือเกิน

วีรภัทราที่นั่งฟังอยู่ก็รู้สึกเจ็บท้องเป็นระยะอย่างต่อเนื่องและเริ่มถี่ขึ้น เธอจำได้ว่าหมอเคยเตือนเรื่องอาการก่อนหน้านี้ จึงบอกพริมาให้รีบเรียกรถพยาบาลด่วนเพราะเธอจะคลอดลูกแล้ว พวกเขานั่งรอรถพยาบาลไม่นาน วีก็ถูกเข็นขึ้นรถพยาบาลด้วยสติที่เบลอ ๆ อยู่ เธอได้ยินเสียงพูดให้กำลังใจจากพริมาบ้าง รู้แค่ว่าเพื่อนคอยจับมือเธอไปตลอดทางจนเข้าห้องคลอดไป พริมจึงปล่อยมือเธอ หลังจากนั้นเธอก็โทรติดต่ออัคราวิชญ์เพราะรู้ว่าเขาจะต้องตกใจมากแน่ในตอนที่กลับถึงบ้านแล้วไม่เจอวี

ภายในห้องคลอดวีรภัทรารู้สึกเจ็บมากจนแทบทนไม่ไหว เหงื่อผุดตามใบหน้าโดยเฉพาะหน้าผากของเธอ จากนั้นหมอและพยาบาลทั้งหมด 5 คนก็เข้ามาประกบและช่วยให้เธอคลอดลูกได้ ตลอดระยะเวลาที่เธอเบ่งลูก เธอรู้สึกเหมือนสติจะพังเพราะความเจ็บปวดที่ยังคงถาโถมอยู่ตลอดเวลา จนเธอหลุดเข้าไปอยู่ในห้วงความทรงจำเมื่อครั้งเก่าที่เธอเคยมีกับอัคราวิชญ์ เธอยังคงจำการเจอกันครั้งแรกของพวกเขาได้ดี ความเฉยชาที่เขาทำต่อเธอ ทั้งคำพูดและการกระทำของเขาเสียดแทงจิตใจเธอทุกคราที่เจอกัน

จากนั้นภาพที่วีรภัทราเห็นก็ถูกตัดไปยังเรื่องราวที่อัคราวิชญ์ทิ้งเธอไปทำงานที่ต่างประเทศ ความรู้สึกโดดเดี่ยวตลอดระยะเวลา 8 เดือน มันยังคงคอยย้ำเตือนเธอเสมอมาว่า เขานั้นไม่มีทางที่จะเปลี่ยนใจและดีกับเธอเหมือนเพื่อนมนุษย์คนหนึ่ง หรือแม้กระทั่งจะรักเธอได้ อีกทั้งความเจ็บลึกเหล่านั้นยังคงค้างคาอยู่ในใจเธอไม่เคยหาย เธอได้แต่ตั้งคำถามกับตัวเองว่า เธอผิดอะไร ทำไมเขาถึงต้องทิ้งเธอไว้ที่นี่ แต่มันก็เป็นแค่คำถามที่ลอยไปลอยมาในอากาศเพราะเธอไม่กล้าถามออกไป ด้วยกลัวความเจ็บปวดที่จะต้องเผชิญหน้า

ภาพความทรงจำยังคงสลับไปมาอย่างต่อเนื่องในเวลานี้วีรภัทราดันไปนึกถึงณัฐชานนท์ เพราะเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้คนอย่างอัคราวิชญ์เข้าใจเธอผิด ทำให้เธอต้องเผชิญหน้ากับความรู้สึกปวดร้าวในใจมากที่สุดตั้งแต่ทะเลาะกับเขามา อะไรกันทำให้เขามั่นใจว่าเธอจะทำเรื่องผิดศีลธรรมเช่นนั้น อีกทั้งเขายังดูถูกเธอด้วยการใช้ร่างกายของเขามาย่ำยีเธอ ไม่มีอะไรจะทำให้เธอรู้สึกต่ำต้อย และไร้ค่าได้มากเท่านี้มาก่อน น้ำตาเธอไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว อาจเพราะความเก็บกดที่อยู่ภายในใจเธอมานาน ตอนนี้เลยต้องการระบายออกมา แต่แล้วความทรงจำอันล้ำค่าที่สุดก็ย้อนกลับมา ทำให้เธอยิ้มบาง ๆ อย่างสุขใจ เพราะมีช่วงเวลาหนึ่งที่เขาปกป้องเธอ และแสดงออกว่าพร้อมที่จะอยู่ข้างเธอด้วย แถมยังคอยดูแลเท้าที่เธอแพลงอย่างทะนุถนอม เธอไม่เคยรู้สึกดีแบบนี้มาก่อน ยกเว้นก็แค่ช่วงเวลานั้น

และเรื่องราวฉากสุดท้ายก่อนที่พวกเขาจะกลับมาอยู่ด้วยกันอีกครั้ง คือตอนที่วีรภัทราถูกเข้าใจผิดซ้ำซากไม่เลิกจากอัคราวิชญ์ และเขาเองก็ไม่มีทีท่าว่าจะถอย พร้อมที่จะลุยแหลกและทำลายเธอกับณัฐชานนท์ เมื่อเธอรับรู้ได้ถึงความเชื่อมั่นในตัวเองของเขาก็รู้เลยว่า ต่อให้เธอจะพยายามอธิบายความจริงไปอีกสักกี่รอบ เขาก็ไม่มีทางเชื่อมั่นในตัวเธอ ไม่ต้องพูดถึงความสัมพันธ์ในด้านอื่นเลย คงเละไม่เป็นท่าเหมือนคู่รักทั่วไปแน่นอน เธอจึงตัดสินใจวิ่งหนีเขาไปแทนที่จะทนแบกรับความเจ็บปวดอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

ในตอนที่วีรภัทรากำลังติดอยู่ในภาพความฝัน ก็พลันไปนึกถึงช่วงเวลาที่อัคราวิชญ์ขอกลับมาดูแลเธอ พร้อมทั้งคำมั่นสัญญาว่าจะดูแลเธออย่างดีที่สุดด้วย เวลานั้นเธอไม่กล้าที่จะคิดหรือคาดหวังในตัวเขาเลยด้วยซ้ำ แต่ตลอดระยะเวลาประมาณ 7 - 8 เดือนที่ผ่านมา เขาก็ได้ทำให้เธอรับรู้อะไรบางอย่าง แม้จะงุนงงในการกระทำของเขาบางครั้ง เพราะความนิ่งเฉยของเขาในบางทีสลับกับความใจดีที่แปลกประหลาด ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังหวังที่จะให้เขาอยู่ร่วมกับเธอในช่วงเวลาที่เจ็บปวดนี้อยู่ดี เธออยากได้ยินความรู้สึกของเขาที่มีต่อเธอและลูกที่กำลังจะเกิดมา แต่เธอเองก็รู้ดีอยู่แก่ใจ จึงปลอบใจตัวเองไปว่า อย่าไปตั้งความหวังกับเขาในเรื่องนี้มากนัก เขาไม่มีทางที่จะมาทำอะไรแบบนี้หรอก

ลูกคือสิ่งที่เปลี่ยนแปลงความคิดและการกระทำของพ่อแม่

memento_mori_7964creators' thoughts