webnovel

สุดแสงสีหม่น

วีรภัทราเกิดมาในครอบครัวฐานะปานกลาง มีป้านุชเป็นคนคอยเลี้ยงดู เนื่องจากพ่อแม่ของเธอเสียชีวิตจากอุบัติเหตุเมื่อเธอยังเด็ก แต่ก่อนที่เธอจะย้ายไปอยู่กับป้านุช เธอได้อาศัยอยู่กับคุณปู่ณรงค์ที่ใจร้าย และคุณย่ากัลยาณีที่ป่วยหนักเพราะรับไม่ได้กับเรื่องลูกชายของตัวเอง ทำให้เธอจะต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการปรับตัวเพื่อเติบโตเป็นคนเข้มแข็งและสู้ชีวิตเพียงลำพัง ถึงแม้ว่าลึก ๆ เธอจะอ่อนไหวง่ายกับเรื่องของความรักและความสัมพันธ์กับคนที่อยู่รอบตัวเธอ แต่สิ่งที่เธอยึดมั่นเสมอ แม้เจอกับสิ่งเลวร้ายถาโถมเข้ามา คือเธอจะพยายามไม่หวั่นไหวไปกับมันและเลือกที่จะมองในด้านดี ในช่วงวัยเด็กของวีรภัทรานั้น เธอเจอแต่คนที่ชอบกลั่นแกล้ง แม้ว่าเธอจะมีกัลย์กมลคอยอยู่ข้าง ๆ เธอในช่วงเวลานั้น แต่ก็ไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้น จนเธอได้รับความช่วยเหลือจากป้านุชในการย้ายโรงเรียน เธอจึงได้ไปเจอกับเพื่อนใหม่ที่ดีกับเธอมากอย่างพริมา ทำให้เธอรู้สึกว่าโลกใบนี้ยังพอมีอะไรดีอยู่บ้าง จนกระทั่งในวัย 24 ปีของวีรภัทรา เธอถูกป้านุชจับแต่งงานกับอัคราวิชญ์ ลูกชายคนเดียวของคุณหญิงวิไลรัตน์ ซึ่งเป็นรุ่นน้องคนสนิทของป้านุช ทำให้เธอปฏิเสธไม่ได้เพราะต้องตอบแทนบุญคุณ หลังจากเธอย้ายเข้าไปอยู่บ้านเดียวกับสามี เธอใช้ความพยายามทั้งการปรับตัว และความอดทนที่จะต้องเผชิญหน้ากับอุปสรรคและปัญหาที่สามีเธอสรรหามาให้จนฟางเส้นสุดท้ายกำลังจะขาด เธอจึงตัดสินใจว่าจะหนีไปต่างประเทศคนเดียว แต่ว่าเพื่อนสนิทสามีอย่างณัฐชานนท์อาสาเข้ามาช่วยดำเนินการให้เธอ ทำให้สามีเกิดความเข้าใจผิด และไม่แค่นั้นยังแอบไปขอเธอจากสามีเธออีกด้วย เรื่องเลวร้ายจึงเกิดขึ้นต่อเนื่องไม่จบไม่สิ้น ช่วงที่วีรภัทราเหนื่อยล้ากับความหนักหน่วงในชีวิตที่ต้องเจอ ก็ยิ่งเป็นการตอกย้ำมุมมองเธอเรื่องการแต่งงานแบบคลุมถุงชนว่ามันเลวร้ายและย่ำแย่แค่ไหน ไม่เห็นจะเหมือนกับสิ่งที่ป้านุชเคยสัญญาและพร่ำบอกกับเธอไว้เลยว่า จะมีความสุข ตอนนี้เธอกลับรู้สึกว่าไม่จริงซะแล้ว แต่ยังดีที่มีอาทิมาเป็นยาดีช่วยเติมเต็มและเปลี่ยนมุมมองความคิดการทนอยู่หรืออยู่ทนของทั้งคู่ ท้ายที่สุดแล้วคนในครอบครัวจะใกล้ชิดกันมากขึ้นไหม ทุกอย่างล้วนขึ้นอยู่กับความเข้าใจ การยอมรับ และปรับตัวเข้าหากัน เพราะสิ่งนี้จะเป็นตัวช่วยให้ความสัมพันธ์ในครอบครัวยั่งยืน

memento_mori_7964 · Thành thị
Không đủ số lượng người đọc
30 Chs

น้ำตานอง

หน้าคอนโดตึกสูงแถวพระราม 9 วีรภัทราค่อย ๆ ก้าวขาลงจากรถแท็กซี่ แล้วหยุดยืนมองตึกนิ่ง ๆ สักพัก ก่อนจะเดินเข้าไปในตึก ขึ้นลิฟต์ไปชั้นที่พริมาอาศัยอยู่ เธอกดกริ่งหน้าห้องเรียกเพื่อนเธอ เมื่อพริมเปิดห้องมาเห็นสภาพเธอที่มีแต่คราบหน้าตาอาบแก้มทั้ง 2 ข้างบ่งบอกให้รู้ว่าผ่านการร้องไห้มาอย่างหนัก พอเธอเห็นพริมก็รีบก้าวขาเข้าไปโอบกอดเพื่อนอย่างไว และวินาทีที่เธอได้อยู่ในอ้อมกอดเพื่อนน้ำตาที่พยายามกลั้นมาตลอดทางที่มาหาก็ทลายลงมาหมด

"พริมช่วยเราด้วย" วีรภัทราพูดพลางกอดพริมาแน่นขึ้น พริมาพูดอย่างใจเย็นพลางตบบ่าเบา ๆ

"เฮ้ย! เป็นอะไรแก" จากนั้นวีรภัทราก็ค่อย ๆ ดึงตัวเองออกจากการกอดแล้วเปลี่ยนมามองหน้าเพื่อนแทน เพียงไม่นานวีก็คว้ามือพริมาพาเดินเข้าไปนั่งยังโซฟาสีเหลืองสดใสที่ตั้งอยู่ตรงข้ามประตูเข้าห้องนอน

พอพวกเขานั่งลงเสร็จ วีรภัทรามองหน้าเพื่อนสนิทตัวเองอยู่พักหนึ่งก่อนจะพูดประโยคต่อไป

"พริม แกรู้เรื่องมนใช่ไหม ไหนแกเล่ามาให้หมดเลยนะ" วีรภัทราพูดด้วยน้ำเสียงน้อยใจ และแสดงสีหน้าตึงเครียดออกมาอย่างเห็นได้ชัดจนพริมากังวลขึ้นมาเล็กน้อย กลัวเพื่อนระเบิดลงกลางห้อง

"แกใจเย็น ๆ และตั้งสติก่อนนะ" พริมาพูดเตือนสติพลางจับมือวีรภัทราไว้

"อืม เราใจเย็นอยู่" วีรภัทราตอบกลับเสียงเรียบนิ่ง

"คือ... เรารู้มาจากป้านุชอีกทีน่ะ แกยังจำที่เคยเล่าให้เราฟังได้ใช่ป่ะ ว่าแกเคยโดนกลั่นแกล้งก่อนที่จะย้ายโรงเรียนมา" พริมาพูดเกริ่น และก็เว้นวรรคเพื่อดูท่าทีของวีรภัทรา

"มนเป็นคนวางแผนร่วมกับกลุ่มคนที่มาแกล้งแกน่ะ" พริมาพูดต่อ

"จะเป็นไปได้ไง มนอยู่กับเราเกือบตลอดเวลา และไม่เคยทำตัวเหมือนอยู่ฝั่งนั้นเลยนะ เวลาเกิดอะไรขึ้นก็เข้าข้างเราตลอด" วีรภัทราเถียงกลับ

"ตอนแรกเราก็ไม่อยากเชื่อหรอก จนกระทั่งป้านุชเอารูปหลักฐานให้ดู เพราะก่อนที่แกจะย้ายโรงเรียน ป้าก็ต้องไปคุยกับครูที่นั่นถูกไหม" พริมาเล่าต่อ

"อืม" วีรภัทราตอบพร้อมพยักหน้าเห็นด้วย

"ตอนนั้นแหละที่ป้านุชไปสืบ ทั้งจากครูประจำชั้น เพื่อนนักเรียนหลายคน และป้าแกก็ไปขอให้นักเรียนช่วยแอบถ่ายรูปหลักฐานไว้ให้ด้วย เราก็เลยได้เห็นหลักฐานไง" พริมาอธิบายเพิ่มพลางลอบมองสีหน้าวีรภัทรา

"แกลองไปขอดูจากป้านุชได้เลย อันนี้ไม่ได้เข้าข้างป้าแกนะเว้ย" พริมารีบบอกให้วีรภัทรารับรู้ ไม่อยากให้เพื่อนเข้าใจผิด

"เอาเป็นว่า แกอยากถาม อยากพูดอะไรไหม" พริมาโยนคำถามกลับหาวีรภัทรา หวังให้เพื่อนได้พูดระบายความคิดออกมาบ้าง

"มันเรื่องจริงใช่ไหม ไม่ใช่เราฝันไป แกช่วยยืนยันหน่อย" วีรภัทราพูดพลางตบหน้าตัวเองเบา ๆ อย่างไม่อยากจะเชื่อว่าที่ได้ยินกับหูตอนนี้้จะเป็นเรื่องจริง

"จริงสิ แต่ตอนนี้แกดูไม่ไหวแล้วนะ พอแค่นี้ก่อนดีกว่า" พริมาพูดพลางจับบ่าวีรภัทราไว้ หลังจากพูดจบก็เข้าไปสวมกอดเพื่อนทันที

"อือ" วีรภัทรามีเพียงเสียงตอบรับผ่านลำคอเธอเท่านั้น

"ไปอาบน้ำ พักผ่อนกัน คืนนี้นอนกับเราละกันนะ" พริมาตบบ่าวีรภัทราเบา ๆ แล้วก็ปล่อยเพื่อนออกจากอ้อมกอดของตัวเอง

"อืม" วีรภัทราพยักหน้ารับ หลังจากนั้นพริมาก็ลุกยืนขึ้น เดินไปหยิบมือถือในห้องนอนตัวเอง เพื่อโทรแจ้งเรื่องวีให้ป้านุชรับทราบ พอป้ารับรู้เรื่องทั้งหมดก็ไม่ติดใจหรือว่าอะไรกลับมา เพียงแค่ฝากให้พริมดูแลเธอดี ๆ

พอพริมาหันกลับมามองวีรภัทราอีกครั้ง ก็ยังเห็นว่าเหม่อลอยและนั่งนิ่งอยู่ติดกับโซฟา ไม่ยอมลุกไปอาบน้ำอย่างที่บอก เธอเลยตัดสินใจเดินไปฉุดแขนเพื่อนให้ลุกขึ้น แต่ด้วยความที่เธอตัวเล็กกว่าวี ทำให้ดึงไม่ไหว จึงเปลี่ยนกลยุทธ์มาคุยแทน

"ก่อนที่แกจะสู้ไหว แกต้องเตรียมตัวให้พร้อมก่อนนะ ลุก ไปอาบน้ำได้แล้ว พรุ่งนี้ค่อยว่ากัน โอเคไหม" พริมาพูดให้วีรภัทราได้คิดตาม หลังจากที่วีนั่งฟังนิ่ง ๆ ไปสักพัก จึงเห็นด้วยเลยตัดสินใจลุกไปอาบน้ำทันที

"ดีมาก" พอพริมาเห็นเพื่อนลุกไปอาบน้ำ ก็พูดชมเพื่อนทันที

เช้าวันรุ่งขึ้นที่แสนเศร้าของวีรภัทรา เธอลืมตาตื่นขึ้นมาบนเตียงด้วยตาที่บวมเป่งหลังจากผ่านการร้องไห้หนักมาก และความเจ็บปวดที่กระแทกเธอตลอดคืนที่ผ่านมา ทำให้วันนี้สีหน้าเธอไม่สดชื่นอย่างที่เคยเป็น

พอวีรภัทราตั้งสติได้ก็โทรลางานกับหัวหน้าทีม แต่ยังไม่ทันที่จะพูดอะไรต่อ เธอก็ถูกบอกให้พักผ่อนและยังบอกอีกว่า พริมาช่วยลางานให้เธอแล้วด้วย อีกทั้งยังชื่นชมผ่านโทรศัพท์ว่าที่ผ่านมาเธอเป็นคนตั้งใจทำงานและทำงานเก่งมาก จึงไม่มีข้อสงสัยหรือติดใจกับการขอลาพักร้อน 1 สัปดาห์หรอก แต่แท้จริงแล้วพริมแอบแง้ม ๆ บอกหัวหน้าไปเรื่องที่วีอกหัก หัวหน้าจึงรู้สึกเห็นใจและยอมรับการลางานในครั้งนี้ หลังจากวางสายเสร็จ เธอก็ไม่ลืมที่จะส่งข้อความเข้าไปในกลุ่มบัญชี เพื่อขอโทษหัวหน้าและเพื่อนในทีมที่ทำให้เดือดร้อนกับการลางานกะทันหันของเธอ

ความสงสัยในหมู่พนักงานบริษัทเกิดขึ้นจนนำไปสู่การเม้าท์มอยอย่างไม่มีที่สิ้นสุด เพราะที่ผ่านมาวีรภัทราทำงานมาตลอดโดยไม่เคยลางานมาก่อน พวกเขาจึงอยากรู้ว่าคนที่ทำงานหนักอย่างเธอมีปัญหาอะไรหรือเปล่า จึงเอาแต่เดินแวะเวียนไปถามพริมาที่มาทำงานวันนี้ แต่กลับไม่ได้รับคำตอบอะไรมากมาย นอกจากบอกว่าวีอยากพักผ่อนบ้าง แต่คนที่อยากรู้มากพวกนี้ก็เหมือนกับหมาที่กัดไม่ปล่อย จึงส่งตัวแทนทักเข้าไปในกลุ่มแชททีมบัญชีของบริษัท จากที่วีจะทำใจสบาย ๆ ได้ ก็ต้องรู้สึกกังวลขึ้นมา เมื่อเห็นแชทเด้งขึ้นที่หน้าจอมือถือตัวเอง แต่ยังไม่ทันที่วีจะตอบโต้อะไรไป พริมก็เข้ามาพิมพ์ตอบแทน

"ดิฉันได้แจ้งให้ทุกท่านทราบแล้วว่า คุณวีรภัทราต้องการพักผ่อน จึงได้ขอลาพักร้อนวันนี้ไป และดิฉันขอออกความเห็นหน่อยนะคะ เรื่องนี้เป็นเรื่องส่วนตัวค่ะ ถ้าวีต้องการเล่าให้ฟัง เขาจะบอกทุกคนเอง ควรพอแค่นี้ได้แล้วนะคะ" พริมาพยายามข่มใจพิมพ์อย่างสุภาพที่สุด ทั้ง ๆ ที่ตอนนี้ีสีหน้าของเธอคือพร้อมกระโจนเข้าไปขย้ำหัวคนที่มาวุ่นวายไม่เข้าเรื่อง

"ขอโทษนะคะ ดิฉันถามคุณวีรภัทรา ไม่ใช่คุณพริมา กรุณาอ่านให้ดีด้วยค่ะ" พนักงานคนหนึ่งที่อยู่ในกลุ่มพิมพ์ตอบโต้กลับมาทันที

"ทราบค่ะ แต่ว่า คุณควรรู้ขอบเขตของคำถามนะคะ ไม่ใช่ว่าทุกคนเพิ่งเริ่มใช้ชีวิตนะคะ ตอนนี้พวกเราทุกคนเป็นผู้ใหญ่ที่ทำงานแล้วค่ะ" พอพริมาพิมพ์เสร็จก็ลุกขึ้นจากโต๊ะทำงานตัวเอง จะเดินไปหาที่โต๊ะคนกลุ่มนั้น แต่ยังไม่ทันได้เดินไป หัวหน้าทีมก็เดินออกมาจากห้องเรียกคนเหล่านั้นไปคุย หลังจากนั้นไม่นานก็มีข้อความพิมพ์เข้ามาในกลุ่ม ขอโทษวีรภัทราและพริมาที่ยุ่งไม่เข้าเรื่อง อารมณ์โกรธเมื่อกี้ของพริมาก็เย็นลง ส่วนวีรภัทราเมื่อเห็นข้อความเหล่านั้นก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกทันที

หลังเลิกงานพริมากลับมาถึงห้องก็มาเจอวีรภัทราที่ยังคงนอนเล่น และพอเห็นว่าวียังคงเลื่อนดูรูปเก่า ๆ ในโทรศัพท์อยู่ เธอจึงค่อย ๆ นั่งลงที่ขอบเตียงอย่างช้า ๆ แล้วก็เอ่ยถามถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อตอนกลางวัน ก็รับรู้ได้ว่า ความรู้สึกของวีไม่ค่อยนิ่งเท่าไร จะต้องคลายเครียดสักหน่อย จึงชวนเปิดขวดดื่มไวน์กันในห้อง

เมื่อวีรภัทราผ่อนคลายขึ้น เธอก็กล้าถามคำถามที่ชวนปวดใจได้มากขึ้น หลังจากเธอคิดวนเวียนมาทั้งวัน

"พริม เราอยากรู้ว่า มนวางแผนอะไรไว้ตอนนั้น" วีรภัทราเปิดปากด้วยคำถามที่ทำให้พริมารู้สึกหนักอึ้งในใจ

"เอ่อ..." พริมาพูดลากเสียงก่อนจะถอนหายใจออกมาอย่างไม่ปิดบัง แล้วค่อยพูดต่อ

"แกทำงานตั้งแต่ช่วงปิดเทอม แล้วก็ช่วงเวลานั้นแหละที่แก๊งค์มนบังเอิญไปเจอ แต่มนจำแกได้แม่นตั้งแต่แวบแรกที่เห็น ทำให้มนคิดแผนการร้าย ๆ ออก" พริมาเริ่มเล่า

"ยังไง" วีรภัทราถามกลับด้วยความอยากรู้มากขึ้น พร้อมเขยิบตัวเข้าไปใกล้

"ก็... มนจะแกล้งเข้ามาเป็นเพื่อนแก ส่วนพวกนั้นจะไปปล่อยข่าวเสียหาย ซึ่งแกก็คงสงสัยตอนนั้นว่าใครทำ นั่นแหละฝีมือพวกนั้น" พริมาค่อย ๆ เล่าทีละนิด

"แล้วเหตุการณ์ที่ไปประกาศในโรงอาหาร ก็คือต้องการกดดันให้แกรู้สึกไม่มีที่พึ่งจนต้องพึ่งพิงมนคนเดียวเท่านั้น ส่วนเหตุการณ์กลั่นแกล้งอื่น ๆ ก็เดาได้ไม่ยาก ยิ่งแกโดดเดี่ยวมากเท่าไร แกก็ยิ่งรู้สึกว่ามนสำคัญมากเท่านั้น หลังจากนั้นจะปั่นหัวแกยังไงก็ได้" พริมาขยายความอย่างชัดเจนให้วีรภัทรา ทำให้วีแจ่มแจ้งในเรื่องนี้มากขึ้น

"แล้วเรื่องเป็นแฟนกันล่ะ เราเชื่อว่ามนรักเรานะ" วีรภัทราพูดเหมือนคนพยายามมองหาข้อดีในตัวกัลย์กมล ทั้ง ๆ ที่ตอนนี้ธาตุแท้ทุกอย่างเผยออกมาหมดแล้ว

พริมาพ่นลมหายใจออกมา ก่อนจะพูดต่อ "แกเนี่ยนะ ใสซื่อจริง ๆ มนน่ะแค่แสดงออกว่ารักแก แต่ไม่ได้หมายความว่าในใจเขารักแก"

"แล้วที่ทำให้ทุกอย่าง ถ้าไม่รักกันจะทำกันให้ได้เหรอ" วีรภัทราเถียงสู้กลับ

"ถ้าเขารักแกจริง ถามหน่อยว่า ทำไมจะต้องไปมีคนอื่น และสำคัญคือเขาต้องสู้เรื่องของแกให้มากกว่านี้ ในตอนที่ป้านุชบอกให้เลิกยุ่งกับแกน่ะ" พริมาพูดเปิดเผยออกมาจนหมด

"ถ้าแกรู้อย่างงั้น ทำไมแกไม่บอกเรา" วีรภัทราพูดด้วยน้ำเสียงขุ่นเคืองในใจ

"ถ้าเรารู้ก็บอกนานแล้วแหละ แต่เพราะเพิ่งมาเห็นพฤติกรรมวันนี้บวกกับสิ่งที่แกเล่ามา พอรวมกันมันก็สามารถอธิบายเป็นเหตุผลได้แล้วว่า ทำไมมนถึงทำตัวแบบนั้นกับแก" พริมาพูดกลับมาอย่างอารมณ์เสียนิด ๆ

"ทำไมล่ะ" วีรภัทราถามออกมาอย่างไม่เข้าใจ

"เพราะมนอิจฉาแก เราจำประโยคที่แกเล่าให้ฟังได้ มนบอกแกว่า แกเคยเป็นคนร่าเริงที่มีเพื่อนรายล้อม ส่วนเขาน่ะไม่มีใคร มันก็เป็นการบอกเจตนาแอบแฝงแต่แรกแล้ว เพียงแต่เราไม่ได้เอะใจเหมือนที่แกก็เป็นเหมือนกันนั่นแหละ" พริมาอธิบายยืดยาวจนวีรภัทราเริ่มลังเล

"จริงเหรอ" วีรภัทราถามและมองด้วยสายตาที่อยากจะเชื่อหูตัวเองที่ได้ยิน

"จริง เราจะไปโกหกแกทำไม เราอยากให้แกได้เจอคนที่ดี คนที่รักแกจริง ๆ นะ" พริมาพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น สีหน้าจริงจังออกมา จนวีรภัทราพยักหน้า เพื่อบอกให้พริมรับรู้ว่าเธอเข้าใจแล้ว

วีรภัทราใช้ชีวิตอยู่กับพริมาจนถึงวันลาพักร้อนวันสุดท้าย และตัดสินใจกลับบ้านในตอนดึกแทน เพื่อเลี่ยงการเจอกับป้านุช แต่ไม่ทันที่จะเดินผ่านโซฟาที่ตั้งอยู่กลางห้องรับแขก ก็ต้องชะงัก เมื่อได้ยินเสียงเรียกที่คุ้นเคย

"หลานวีกลับมาแล้วเหรอ" ป้านุชทักขึ้นมาท่ามกลางความมืดและความเงียบสงัดในบ้าน

"...ค่ะ" วีรภัทราเงียบสักพัก มองหาต้นเสียงด้วยความกลัว จนเห็นป้านุชนั่งรออยู่ที่โซฟาตัวเดิม จึงค่อยเปล่งเสียงตอบรับกลับไป

วีรภัทราจึงเดินไปเปิดไฟที่มุมเสาด้านหนึ่งของบ้าน ก่อนจะหมุนตัวกลับมาทางที่ป้านุชนั่ง และเธอก็ค่อย ๆ นั่งลงด้านข้างป้า

"ป้า... วีขอโทษนะคะที่พูดจารุนแรงเกินกว่าเหตุ และก็ขอบคุณที่ป้ามีแต่ความปรารถนาให้วีเสมอมาค่ะ" วีพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา แต่เต็มไปด้วยความรู้สึกที่อัดแน่นในใจเธอ พร้อมทั้งยกมือไหว้ด้วย

"ไม่เป็นไร ป้าเข้าใจ เข้าใจทุกอย่างที่หลานคิดและทำ" ป้านุชตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเข้าใจจริง ๆ

"ส่วนเรื่องแต่งงานที่หลานวีรับรู้มา ก็อย่างที่ป้าเคยบอก ป้าไม่บังคับ" ป้านุชพูดอย่างชัดเจน จนวีรภัทราไม่ต้องถามคำถามที่คาใจมาตลอดหลายวัน

"ค่ะ ขอบคุณนะคะป้า" วีรภัทรายกมือไหว้อีกครั้ง ก่อนจะขอตัวไปพักผ่อน

หลายวันมานี้ป้านุชไม่ได้มีทีท่าจะพาวีรภัทราไปหาใคร วีจึงใช้ชีวิตตัวเองได้อย่างสบายใจ จนกระทั่งถึงเช้าวันศุกร์ ป้าเรียกวีมาคุยส่วนตัวที่ห้องทำงาน

"ลูกศิษย์ที่จบไปหลายปี โทรมาชวนไปงานแต่งวันพรุ่งนี้ ไปเป็นเพื่อนป้าหน่อยนะ" ป้านุชพูดน้ำเสียงปกติ ไม่ให้วีรภัทรารู้ถึงเบื้องหลังแผนการที่วางไว้กับคุณหญิงวิไลรัตน์

"ค่ะ แต่ว่า... แปลกนะคะ ปกติต้องมีการ์ดเชิญส่งมาให้ไม่ใช่เหรอคะ" วีรภัทราถามด้วยความแปลกใจ เล่นทำเอาป้านุชสะดุ้งในใจเล็กน้อย

"ก็...เดี๋ยวนี้เขาส่งกันผ่านมือถือ แต่ป้าไม่ค่อยรู้เรื่องพวกนี้เท่าไร และเด็กพวกนี้ก็จบไปนานแล้ว ก็คงติดวิธีสื่อสารแบบเก่าละมั้ง" ป้านุชพยายามพูดแถสุดฤทธิ์ ถึงมันจะฟังดูแปลก ๆ ก็ตามทีเถอะ

"ค่ะ และวีไม่ต้องเตรียมตัวอะไรใช่ไหมคะ" วีรภัทราถามอีกเรื่องโดยไม่เอะใจเหตุผลที่ป้านุชให้มา

"แค่ดูแลผิวหน้าคืนนี้หน่อยละกัน" ป้านุชบอกปัด ๆ ไป

"ค่ะ งั้นวีขอตัวก่อนนะคะ" วีรภัทราพูดเสร็จ ก็ลุกขึ้น เดินไปเปิดประตูออกจากห้อง เพื่อเตรียมตัวไปทำงานที่บริษัท

หลังจากวีรภัทราเดินออกไป ป้านุชที่กลั้นยิ้มอยู่เมื่อกี้ ก็ยิ้มกว้างออกมาอย่างอารมณ์ดีที่จะได้เห็นหลานเป็นฝั่งเป็นฝาแล้ว ความสุขที่รอมานาน บอกกับตัวเองในใจให้อดทนอีกสักนิดก็จะช่วยให้ทุกอย่างสำเร็จแล้ว

สู้รู้ความจริงดีกว่าโดนหลอกตลอดไป...

memento_mori_7964creators' thoughts