webnovel

ห้องไพรเวท (1/2)

"ห้องทางทิศตะวันตกนะป๊า ฝั่งตรงข้ามกับทางออก ถ้าเปิดประตูออกมาจะอยู่ซ้ายมือของป๊าพอดี"

"พวกผมจะสแตนบายอยู่ตลอด"

"อันนี้หนูเอาใส่กระเป๋าเสื้อป๊านะจะได้ได้ยินชัด ๆ"

เด็กหญิงเอาอุปกรณ์สีดำอันจิ๋วใส่กระเป๋าเขา ป๊าหรี่ตามองไม่ไว้ใจ อะไรคือได้ยินชัด ๆ คงไม่ใช่ว่า…

"เครื่องดักฟัง?? โอยตาย หนูไปเอามาจากไหนเนี่ย จะไปเป็นโจรรึไงลูก"

"เปล่าสักหน่อย แค่ gps เองค่า ใคร ๆ ก็มี" หลินพูดเสียงอ้อมแอ้มเหมือนมีชนักติดหลัง ก่อนเลี่ยงคำถามด้วยการยกมาตรการความปลอดภัยขึ้นมาบรรยายอีกรอบ

ความพร้อมต้องใช้เวลา ป๊าจึงต้องละบ้านสวนแสนรักแล้วมาค้างที่คอนโดหลินก่อนเวลานัด ลูกสาวคนโตวุ่นเตรียมแผนทานข้าวที่ไม่รู้จะไปรบกับสายลับฝั่งศัตรูหรือยังไง ทำไมถึงได้มีเครื่องมือน่าสงสัยเยอะแยะนัก

"เราต้องไปกันแล้ว" หลินเอ่ยขึ้นช่วงราว ๆ หนึ่งชั่วโมงจะถึงเวลานัด ก่อนขนอุปกรณ์ชวนระแวงใส่กระเป๋าแล้วนำเพื่อนร่วมทัพไปซ้อมรบ ยกเว้นผู้เป็นพ่อคนเดียวที่ยังอยู่ในห้องตามเดิม

ลูกสาวตั้งใจจะล่วงหน้าไปที่ร้านก่อน แต่ปลายเท้ายังเหยียบขอบประตูทางออกอย่างลังเล คงนึกสงสัยในแผนขึ้นมาว่ารัดกุมแล้วจริงหรือไม่ น้ำหนักความเสี่ยงของชีวิตบุพการีจู่ ๆ ก็หนักเกินแบก

"ป๊าแน่ใจแล้วใช่ไหม จะ…จะปฏิเสธก็ได้นะคะ"

"พวกหนูไปเถอะ สั่งของอร่อยให้น้องกินด้วยล่ะ" เขายิ้มให้กำลังใจพี่ใหญ่ของบ้าน ทั้งเผื่อแผ่ไปยังเด็กอนุบาลและทารกหน้าตึงเครียดในอ้อมกอดสามี

"ไม่ได้จะไปชิล ๆ กันสักหน่อย" หลินบ่นอุบ หน้าบึ้งลงไปหลายส่วน

"คุยเสร็จแล้วเดี๋ยวป๊าไปทานด้วย"

เมื่อทั้งห้าลับสายตาไป ผู้เป็นศูนย์กลางของเหตุการณ์เหลือตัวคนเดียวในห้องคอนโดเงียบเหงา รอยยิ้มอ่อนโยนจางหายราวกับไม่เคยมี

___

ป๊าก้าวออกนอกส่วนล็อบบี้ไปหาคู่นัด น่าแปลกที่ธามเป็นคนนัดเองแท้ ๆ แต่สีหน้าเขาอมทุกข์เหมือนเด็กอนุบาลโดนคุณครูบังคับ ชวนให้นึกถึงชายหนุ่มเคร่งขรึมที่เคยเจอตอนแรก เพิ่มเติมคือท่าทางน่าอึดอัดของการแบกบรรยากาศระแวงหลังไว้เต็มบ่า

"คุณดูเหมือนอินเทิร์นนะ…"

คำทักทายแรกบอกให้รู้ว่าไม่ได้มีแค่ป๊าที่ลอบสังเกตคู่สนทนา

"คุณดูไม่เหมือนหัวหน้าใคร"

ชายหนุ่มเลิกคิ้วขึ้น เด็กอนุบาลที่ถูกครูบังคับพึ่งหาความสนุกในห้องเรียนเจอ จนความเข้าใจแล่นเข้าแววตาถึงได้กลับไปเป็นบึ้งบูดตามเดิม

ธามก้าวเร็ว ๆ นำทางไปรถที่จอดอยู่หน้าตึกพอดี ทั้งยังเปิดประตูให้นั่งก่อน ไม่รู้ว่าอยากเอื้อเฟื้อหรืออยากการันตีว่าป๊าจะไม่ทิ้งนัดกลางคันกันแน่ เป็นการบังคับทางอ้อมให้นั่งอยู่ในพื้นที่ปิดกับชายที่ไม่รู้ว่าต้องการอะไร ซุกซ่อนอะไรอยู่

เทียบกับป๊าที่ระมัดระวังคำพูดด้วยความเงียบ ธามถามตรงไปตรงมา แต่คำถามของเขาอ้อมประเด็นไกลลิบตลอดการเดินทาง

"จริง ๆ แล้วคุณอายุเท่าไร"

"61 ปีนี้"

"แล้วก็กลับไป—" สายตาคมเหลือบสำรวจผู้นั่งเบาะข้างคนขับ "ยี่สิบอีกครั้งในคืนเดียว? อยากรู้จังคุณรู้สึกยังไงตอนความเป็นจริงทุกอย่างเปลี่ยน"

"ตอนนี้ชักรำคาญ"

"ผมช็อกไปเลย"

"??"

"ส่วนใหญ่ที่เคยเจอก็ขอได้แค่เงินทอง รถ บ้าน ของที่จับต้องได้ทำนองนั้น…"

ป๊าสงสัยแล้วว่าธามคงไม่ได้พูดเรื่องเดียวกัน เขาคิดเองเออเองว่าคู่สนทนารู้เรื่อง คิดว่ามีจุดร่วมเหมือนกันเลยอยากจะหาเพื่อนคุยหรืออย่างไร ผู้อาวุโสตัดสินใจนิ่งฟังอย่างเดียว ไม่เอ่ยโต้ด้วยกลัวจะเป็นการเปิดเผยความไม่รู้ออกมา

ชายหนุ่มพึ่งมีโอกาสพิจารณาผู้ฟังเมื่อรถติดไฟแดง คิ้วเข้มขมวดเป็นปม ความผิดหวังฉายในดวงตา ความเครียดเจือเต็มน้ำเสียง

"คุณจำไม่ได้?" ธามโพล่งกลางสี่แยก

"…"

"ต้องเป็นปัญหาแน่"

"ปัญหาอะไร"

"เลี้ยวแยกข้างหน้านี้ก็จะถึงร้านแล้ว" คนขับรายงานเสียงเรียบ ตัดบทสนทนาและความสงสัยกึ่งวิตกของป๊าอย่างเยือกเย็น

ธามพาคู่นัดไปที่ร้านอาหารญี่ปุ่น ผ่านผู้คนแต่งตัวสุภาพเรียบร้อยและพนักงานที่นอบน้อมเป็นพิเศษ ป๊าไม่รู้สึกถึงความแปลกแยกหรือผิดที่ผิดทาง แต่ถ้าเลือกได้เขาคงไม่อยากมาอยู่ตรงนี้ ให้เดินตามพนักงานหญิงไปโซนส่วนตัวยิ่งไม่น่าไป

ในห้องเดี่ยวเปิดไฟสีส้มอบอวล ด้านหนึ่งติดประตูเลื่อนกระจกใสมองออกไปเห็นสวนเซนขนาดเล็กได้ มีกำแพงไม้ไผ่ตั้งเป็นกรอบกั้นกับห้องอื่นในโซนเดียวกัน กระทั่งสวนก็ยังแยกจากโลกภายนอก

"บรรยากาศดี ถ้ามาโดยไม่ต้องมีเรื่องชวนปวดหัวมาแทรกก็คงจะดี"

โต๊ะเตี้ย พื้นเสื้อทาทามิ เก้าอี้เบาะสีน้ำตาลติดพื้น อุปกรณ์ทานอาหารกับผ้าเช็ดปากพับเป็นระเบียบ ผู้ฟังสำรวจที่ทางไปพร้อมกับคู่สนทนาที่ไม่รู้จะมาไม้ไหน

"ที่บ้านเป็นไงบ้างครับ สบายดีไหม เด็ก ๆ เต็มบ้านคงวุ่นวายน่าดู"

ห้องข้างหลังป๊าเกิดเสียงขลุกขลักดังมาถึงนี่

"รู้เรื่องครอบครัวผมดีจังนะ"

"แน่ล่ะครับ งานของผมคือช่วยเหลือพวกคุณนี่นา"

ผู้สูงวัยกว่ายกมือขึ้นปราม เขาไม่ได้ตาบอดขนาดมองไม่เห็นความเครียดกังวลที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังอีกฝ่าย คล้ายกับสายลมเอื่อยสงบสุขก่อนพายุใหญ่เข้าถาโถม

"เลิกเถอะ ผมรู้ว่าคุณไม่ได้หมายความตามนั้นจริง ๆ ต้องการอะไรก็บอกมา"

ตอนป๊ากำลังยกชาขึ้นจิบ ชายหน้าบึ้งเอื้อมผ่านโต๊ะเล็กมาแตะมือเขา อาการเหมือนห้ามไม่ให้ยกแก้วดื่ม อยากจะดุเรื่องเสียมรรยาทแต่คิดได้ว่าธามอาจมีเหตุผล ทั้งการรั้งมือยังอยู่ในขอบเขตของความเป็นมิตร ป๊าถึงไม่รีบสะบัดออกเดี๋ยวนั้นแม้นึกสังหรณ์ร้ายอยู่ในใจ

ผู้อาวุโสฮัมเสียงเชิงเป็นคำถาม ก่อนรู้สึกถึงไฟฟ้าสถิตอ่อน ๆ แล่นผ่านผิวสัมผัส

'มีคนเฝ้าเราอยู่'

ความคิดแล่นขึ้นในหัว—มันไม่ใช่ความคิดเขา

สัญชาตญาณแรกคือพยายามลุกหนี กระชากมือกลับ แต่กล้ามเนื้อทั้งตัวไม่สามารถขยับได้สักนิดเดียว

จู่ ๆ ร่างกายป๊าก็หยุดทำตามคำสั่ง ไม่สิ มันทำตามคำสั่ง แค่ไม่ใช่คำสั่งเขาเอง ผู้ควบคุมอาจสั่งให้หยุดหายใจ ให้หุบปาก กระทั่งให้หมุนคอตัวเองจนหักไปเลยก็ได้ นึกแล้วความตื่นตระหนกแพร่กระจายวาบไปทั่วสีหน้า

'ผมมีหนทางที่จะช่วยครอบครัวคุณจริง ๆ ถ้าคุณยอมให้ความร่วมมือ'

ถ้าขยับคอได้ป๊าจะส่ายหน้าสุดชีวิต คนคนนี้พูดคำว่าช่วยออกมาทั้งที่กุมชีวิตคนอื่นอยู่ในกำมือ แล้วจะให้เชื่อถือได้อย่างไร ผู้เป็นเหยื่อเกลียดความรู้สึกที่ถูกละเมิดจิตใจเป็นที่สุด เมื่อลองสู้สุดชีวิตเหมือนนิ้วจะขยับได้นิดหน่อย ธามนิ่วหน้า สู้แรงอยู่กับคนร่วมโต๊ะอย่างเอาเป็นเอาตายแม้ภายนอกเหมือนจับมือกันธรรมดา

'คุณเป็นคนใจเย็นกว่านี้นะ ช่วยอย่าสู้มากได้ไหมครับ คุณกำลังทำผมปวดหัว'

'งั้นก็ปล่อยซะสิ!'

'คนที่เฝ้าเราน่ะเห็นว่าลูก ๆ คุณก็อยู่ที่นี่ด้วย'

คำนั้นทำให้ป๊านิ่ง หยุดต่อต้านโดยสิ้นเชิง

'ถ้าผมปล่อยคุณแล้วรบกวนช่วยทำตัวให้เป็นธรรมชาติได้ไหมครับ'

'…'

'นะครับ?'

ดวงตาของเหยื่อฉายไฟลุกเผาไหม้ผู้กระทำ อีกฝ่ายดูเงียบขรึมแบบที่เจือความรู้สึกผิดอันน่ากังวล ถ้าป๊าอยากจะหนีออกไปจากตรงนี้ให้ไกลที่สุด ธามเองก็ไม่ต่างกันนัก

"คุณนาวีเคยทานอูนิไหม วัตถุดิบที่นี่เยี่ยมมากเลยนะ" ชายหนุ่มต่อบทไหลลื่น

"อะ…อืม ไหนลองหน่อย"

เสียงแห่งความคิดกลับมาอีกครั้ง มือป๊ายังไม่ถูกปล่อยเป็นอิสระ แต่ส่วนอื่น ๆ ของร่างคีบตักอาหารได้ตามปกติแล้ว

'ต้องขอโทษด้วยครับ แต่ถ้าไม่ทำแบบนี้เราคงไม่ได้คุยกันส่วนตัว'

'ไม่มีวิธีที่ดีกว่านี้แล้วรึ!'

'รำลึกของคุณคืออะไร'

_____