webnovel

ห้องเรียนพิเศษ (1/2)

"…แหลม ไม่น่าฟัง ประหลาด ได้ยินแล้วปวดหัว"

โทนที่ไม่เชิงผู้หญิง ไม่เชิงผู้ชาย สามารถรับรู้และแยกออกจากฝูงชนได้ง่ายถ้าผู้ฟังเคยชินแค่เสียงของคนตรงเพศกำเนิด

ผู้ใหญ่ที่อายุมากสุดในกลุ่มพยักหน้าแสดงการรับฟัง ทั้งเสริมกำลังใจให้เด็กชายตรงหน้าชั้นพูดต่อ

"…น่ารำคาญ"

"คำพูดพวกนั้นทำให้เธอรู้สึกยังไง"

"เจ็บครับ"

ผู้เล่าบาดแผลเริ่มสะอื้นไห้ น้ำตาที่ก่อตัวบนขอบตาแดงก่ำรวมตัวเป็นหยดน้ำ ก่อนเด็กชายจะร้องไห้ออกมาต่อหน้าคนทั้งชั้น โดยมีผู้ใหญ่ที่ทำตัวเหมือนเป็นอาจารย์คอยกล่าวสั่งสอน

"ไม่ต้องร้องนะ พวกเขาแค่ไม่เข้าใจว่าเธอผ่านอะไรมาถึงได้พูดไม่คิด การจะก้าวข้ามความเจ็บปวดไปได้ต้องเริ่มจากการให้อภัยครับ คนอื่นแค่ไม่รู้จักเธอ คนอื่นแค่เข้าใจเธอไปผิด ๆ ให้อภัยกับความโง่เขลาของคนอื่นได้ไหม"

เด็กชายพยักหน้าทั้งพยายามกล้ำกลืนน้ำตา

เพื่อนในชั้นต่างเงียบกริบตั้งใจฟัง เสียงเดียวที่ได้รับอนุญาตคือการอธิบายของ 'พี่แซม' หนึ่งในคนที่พยายามซ่อมความผิดปกติของพวกเขา เพราะทุกคนในศูนย์ควรใช้คำเรียกญาติเรียกกันและกัน แต่นาวีก็ไม่รู้หรอกว่าเหตุผลคืออะไร

ที่ศูนย์รับรักษาผู้ป่วยหลากหลาย ตั้งแต่ปัญหาเล็กน้อยอย่างดื้อดึงไม่เชื่อฟังพ่อแม่ ไปถึงขั้นเสียสติจนอยู่ร่วมกับสังคมไม่ได้ คนไข้หลายคนต้องอยู่ยาว ๆ กึ่งถาวร ที่นี่เลยมีการเรียนการสอนไปด้วยในตัว วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ สังคม วิชาแบบปกติและวิชาแนะแนว (ที่พร่ำบอกว่าตัวตนเขามันน่าอับอายอย่างไร) ปะปนอยู่ด้วยกัน

พี่แซมอธิบายต่อถึงปมด้อยของเด็กชาย เป็นผู้โชคร้ายที่ขาดความอบอุ่น บ้านแตกสาแหรกขาดล้านแปดอย่าง นาวีฟังมาสี่ปีจนรู้รูปแบบประโยคหมดแล้ว เด็กหนุ่มเลยฉวยโอกาสฝึกวิชาหลับทั้งที่ลืมตา ต้องทำท่าสนใจฟังไม่งั้นได้โดนเรียกให้ไปเผชิญหน้าคนทั้งชั้น

"—กล้าหาญและเข้มแข็งมาก ๆ เธอมีดีในแบบของเธออยู่แล้ว ไม่ต้องลำบากดัดเสียงเรียกร้องความสนใจเลยครับ ภูมิใจในสิ่งที่เธอเป็นเถอะ"

"ฮึก-ดะ-ได้ครับ"

"เอาล่ะ ไหนลองพูดเสียงปกติสิครับ"

เด็กชายพยายามเอ่ยเสียงเข้มต่ำที่สุดกับเขา

"ก็ทำได้นี่นา!"

เสียงปรบมือดึงให้นาวีตื่นเต็มตา เขารีบลุกขึ้นมาให้กำลังใจตามเพื่อนร่วมชั้น ปั้นหน้าซึ้งใจพร้อมทิ้งถ้อยคำชื่นชมไปพร้อมผู้โชคร้ายคนอื่น ๆ โดยไม่ต้องสนเรื่องความเป็นธรรมชาติ

"น่าฟังมาก"

"เสียงหล่อจัง"

"เท่ที่สุดเลย"

พอพี่แซมจะเริ่มพูด เสียงกระแอมไอเป็นสัญญาณให้พวกเขาหยุด

"เห็นไหมครับ เราเป็นตัวของตัวเองได้โดยไม่จำเป็นต้องร้องขอความสนใจจากใคร"

นาวีทิ้งตัวลงกับเก้าอี้ไม้เป็นคนแรกของห้อง เขาหวั่น ๆ ว่าท่าทางนี้ดูรีบเกินไปหรือไม่ ด้วยรู้ตัวว่าถูกจับจ้องและให้คะแนนตลอดเวลา เด็กหนุ่มดึงสีหน้าตั้งใจฟังขึ้นสวมโดยพักแผนแอบงีบไว้ชั่วคราว เขาอยู่มานานจนชินกับภาพลักษณ์นักเรียนดีแล้ว ยิ่งเข้าใกล้ความหายดีเท่าไรก็ได้กลับเร็วขึ้นเท่านั้น

หวังว่าพ่อจะยังไม่เจอแหวนที่ซ่อนไว้ใต้กำแพง

พ่อเผาตุ๊กตาไปแล้ว นึกย้อนไปนาวียังเสียดายอยู่เลยว่าน่าจะรีบหนีออกจากบ้านตั้งแต่คืนนั้น หลังจากการกดดันนานัปการ ใครจะรู้ล่ะว่าวันรุ่งขึ้นแกจะลากลูกมาขังไว้ที่ศูนย์เลย—น่าจะโดดลงหน้าต่างแล้วหนีไปกับเขา

"เหมือนเหรียญที่มีสองด้าน หยินหยาง ขาวดำ ระเบียบและความวุ่นวาย ธรรมชาติออกแบบให้คู่ตรงข้ามอยู่ด้วยกัน"

ตรงข้าม? เหมือนที่ภายนอกนาวีฟังพี่แซมกรอกหูน่าเบื่อ ภายในจินตนาการถึงแต่หน้าคนรัก วาดฝันถึงสิ่งที่ผู้บรรยายต่อต้านแล้วกระหยิ่มยิ้มในใจ การแก้แค้นเล็ก ๆ น้อย ๆ นี้เป็นพลังให้ทนต่อไปได้อีกวัน

"…สอดคล้องกับสัญชาตญาณสืบเผ่าพันธุ์…"

นาวีอาจจะเชื่อเขา ถ้าไม่เคยลองมาก่อนว่าริมฝีปากคนรักดีอย่างไร รอยแตกเล็กน้อย สัมผัสหยาบของผิวคาง ลิ้นร้อนดื้อดึงเอาแต่ใจ แสดงความรู้สึกอย่างตรงไปตรงมา ถึงสืบเผ่าพันธุ์ไม่ได้แต่สืบพันธุ์ได้แน่ ๆ

เฮ้อ…สมองเด็กวัยรุ่นตอนปลายว่องไวมากกับเรื่องพวกนี้ เสียงบรรยายหลักความรู้ของพี่แซมกลายเป็นเสียงหึ่ง ๆ ไร้ความหมาย หลุดนอกกรอบความเข้าใจของเด็กหนุ่ม

"บางทีการเลี้ยงดูเข้มงวดไป บางทีพ่อแม่ให้ความอบอุ่นไม่เพียงพอลูกเลยมีปม ต่างเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดพฤติกรรมเบี่ยงเบนด้วยกันทั้งสิ้น"

ถ้าหายดีแล้วจะได้กลับบ้านไปเจอฉัตรเร็ว ๆ คิดถึงแล้ว ในหัวมีแต่ใบหน้าของเด็กหนุ่มอารมณ์ดี ขี้เล่น พลังงานล้นเหลือ สนุกสนาน เจ้าของอ้อมแขนอบอุ่น รอยยิ้มที่มอบคำสัญญาว่าจะอยู่ด้วยกันไปตลอดชีวิต

เมื่อสายตาพี่แซมเลื่อนเข้าใกล้ นาวียิ้มรับอย่างจริงใจเป็นพิเศษ

"หรือการที่พ่อแม่ไม่มีเวลาถ่ายทอดบทบาททางเพศให้ลูกอย่างเต็มที่"

เด็กหนุ่มเออออเห็นด้วยในลำคอ แววตาเพ้อฝัน ก่อนโดนกระชากลงมาอยู่ในความจริง

"ใช่ไหมนาวี อยากจะออกมาแชร์ให้เพื่อน ๆ ฟังหน่อยไหม"

"เสื—จะดีเหรอครับพี่"

ใจเย็น ๆ

"มาเถอะไม่ต้องอาย คนอื่นปรบมือให้กำลังใจเพื่อนหน่อยเร็ว"

เสียงเหมือนห่าฝนกดดันเขาว่าหนีชะตากรรมนี้ไม่ได้แล้ว

"ครับ แม่ผมเสียไปตั้งแต่ยังเล็ก พ่อก็ไม่ค่อยอยู่บ้านบ่อย ๆ เลย…" เด็กหนุ่มถอนหายใจ ตีหน้าเศร้าเล่าความรู้สึกเท็จ คราวที่แล้วแกพูดถึงปัญหาเขาว่าไงนะ "ไม่มีใครเป็นต้นแบบให้"

พี่แซมพยักหน้าให้พูดต่อ

"ทำให้ผมไม่คุ้นเคยตอนเจอกับเพศหญิง แค่อยู่ใกล้ก็รู้สึกว่ายากมาก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงใช้ชีวิตอยู่ด้วย"

"เธอถึงต้องไปหาความรักผิด ๆ จากนอกบ้านสินะ"

นาวีแอบกำหมัดไว้ข้างหลัง ก่อนดึงสีหน้าเห็นด้วยที่ดูฝืนที่สุดขึ้นสวม มีแต่ต้องโกหกไม่งั้นก็ได้อยู่ต่อ ไม่อาจตอบโต้มากไปกว่านั้น แต่การที่ต้องปั้นหน้าซาบซึ้งทั้งที่อยากลุกขึ้นไปกระชากคอ คำนี้จะฝังใจเขาไปอีกนานทีเดียว

"ครับ"

โชคดีที่พี่แซมไม่ได้เซ้าซี้เด็กหนุ่มต่อ แกเข้าโหมดบรรยายเรื่องขาด 'role model' ซึ่งนักเรียนผู้เชื่อฟังก็ทำเป็นเห็นดีเห็นงามตามไปทั้งหมด

ตอนนั้นนาวีไม่ได้คิดเลย…ยิ่งเก็บกดความจริงเพื่อหลอกโลกภายนอกมากเท่าไหร่ ในใจก็อาจเผลอเชื่อฟังไปโดยไม่รู้ตัว

___

"นาวี อยู่คุยกันก่อนได้ไหม"

"มีอะไรเหรอครับ?"

การโดนเรียกตัวไว้หลังเลิกเรียนไม่ค่อยเกิดขึ้นบ่อย ช่วงหลังมานี้เด็กหนุ่มเรียนรู้วิธีเลี่ยงการถูกเพ่งเล็งได้แล้ว แต่ดูจากสีหน้ากระตือรือร้นของผู้สอน เขามั่นใจว่าธุระที่จะคุยเป็นเรื่องดี ความเครียดที่ปั่นมวนในอกจึงไม่จำเป็น

นาวีเลื่อนเก้าอี้นั่งตรงข้ามโต๊ะผู้บรรยาย รอยยิ้มสุภาพไม่จางหายไปจากใบหน้า

"เพื่อนชายของเธอเคยมาที่ศูนย์ไหม"

เรื่องดีกับผีสิ…เขาคิดน้อยไป ดีสำหรับพี่แซมกับดีสำหรับเขาช่างต่างกัน

"ไม่เคยครับ"

"เพราะเรื่องเงินล่ะสิ พี่พอจะเดาได้" ชายหนุ่มถอนหายใจออก ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงเห็นอกเห็นใจ "บอกตามตรงนะพี่ไม่ค่อยเห็นด้วยกับวิธีทำงานของที่นี่เท่าไร เน้นแต่เรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ มากกว่าช่วยเหลือคน อย่าบอกย่าล่ะพี่พูดแบบนี้" เขาพูดติดตลกต่อท้าย แต่ผู้ฟังรับรู้ได้ว่าเขากลัวจริง

ทุกคนต่างยำเกรงย่าทั้งนั้น นาวียิ่งไม่ใช่ข้อยกเว้น เขาทั้งเกรงและเกลียดวิธีการที่หล่อนพูด สายตาที่หล่อนใช้ แค่มองยิ้ม ๆ แล้วเอ่ย 'น่าเสียดาย' ต่อหน้าก็ทำเอาขนลุกไปถึงไขสันหลัง

"ผมไม่เอาไปเล่าให้ใครฟังหรอก สัญญาเลย" เพราะดีไม่ดีก้าวออกจากห้องนี้เขาก็ลืม อุดมการณ์อะไรก็ตามของชายหนุ่มไม่ใช่สิ่งน่าสนใจเท่าการกลับไปนอน หนังตาเขาจะปิดแล้ว

"คิดดูสิ ข้างนอกมีเด็กอีกกี่คนที่ต้องทนอยู่กับปัญหาเพราะฐานะไม่เอื้ออำนวย เด็กป่วย ๆ โตขึ้นไปเป็นผู้ใหญ่ป่วย ๆ แล้วก็ส่งต่อความเจ็บป่วยให้ลูกหลานอีกที กลายเป็นปัญหาสังคมไม่จบไม่สิ้น"

"อือ…ครับ น่าเห็นใจนะครับ" นาวีพยายามอย่างยิ่งที่จะเข้าใจผู้พูด เขาพอเข้าใจความอุดมคตินิยมของพี่แซม แต่ไม่เข้าใจว่าเกี่ยวอะไรกับตัวเอง เขามาทำอะไรตรงนี้ แกอยากให้มีคนฟังตอนเพ้อการเมืองรึไง

ชายหนุ่มกดหัวปากกาลูกลื่นลงโต๊ะอย่างใช้ความคิด ดวงตาทอดมองออกไปนอกหน้าต่าง

"ข้างนอกนั่นมีแต่คนที่รังเกียจพวกเธอเต็มไปหมด เด็กหลายคนถูกกีดกัน ถูกทำร้าย ถูกต่อว่าคึกคะนอง ไม่มีใครพยายามเข้าใจปมปัญหาจริง ๆ อย่างที่ทางศูนย์กำลังทำ แต่เรากลับไปเน้นเรื่องไร้แก่นสาร"

"ว้าว น่านับถือมากเลยครับ" แต่ปล่อยเขาออกไปสักที

"พี่เลยว่าจะไปลองเป็นเจ้าหน้าที่พิเศษดู"

นาวีตีหน้าเศร้าเร็วจนเกือบผิดปกติ "แบบนี้ผมก็จะได้เจอพี่น้อยลงน่ะสิ" กลับห้องไปเขาจะนอนหลับฉลอง

งานของเจ้าหน้าที่พิเศษคือรับตัว (ในบางกรณี—จับลากคอขึ้นรถโดยมีผู้ปกครองยืนเชียร์อยู่หน้าประตูบ้าน) คนไข้มารักษา ประเด็นสำคัญคือแกต้องออกไปข้างนอกบ่อย ๆ ถือว่าเป็นข่าวดีที่สุดในรอบปีเลยทีเดียว

"เวลาว่างพี่ก็ไปทำ session ฟรีให้เด็กด้อยโอกาสได้ ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว"

นาวีเริ่มรู้แล้วล่ะว่าบทสนทนานี้จะมุ่งไปทางไหน และเขาไม่ชอบมันเลยแม้แต่นิดเดียว

"เธอจะพาเพื่อนเธอมาก็ได้นะ พี่อยากจะช่วยพวกเธอจริง ๆ"

"อยากให้ผมพาเพื่อนไป?"

"ไม่ได้บังคับหรอก แค่คิดว่าเวลามีเรื่องดี ๆ เกิดขึ้นพี่ก็อยากให้โอกาสเธอเป็นคนแรก" อีกฝ่ายเริ่มขุดการ์ดมิตรภาพขึ้นมาใช้

ผู้อ่อนวัยกว่านึกเสียใจแล้วที่แสดงบทบาทเด็กดีได้เนียนเกิน ใคร ๆ ก็อยากช่วยเหลือเขา รักษา 'เพื่อน-ชาย' ของเขา ถามสักหน่อยว่าต้องการรึเปล่า

"พี่เสียใจนะ พี่ไม่อยากปล่อยให้เด็กคนหนึ่งอยู่กับความผิดปกติในโลกอันโหดร้าย"

"เขาไม่ได้ผิดปกติ" เด็กหนุ่มลดเสียงไม่ให้ก้าวร้าวอย่างยากลำบาก

"พี่ไม่ได้หมายความว่างั้น ไม่ใช่ว่าเพื่อนของเธอไม่ดี แค่กำลังบอกว่าเขาดีกว่าเดิมได้เธอเข้าใจใช่ไหม? เทียบกับเธอตอนปีแรก ๆ กับตอนนี้สิ ไม่คิดอยากให้คนอื่นได้โอกาสบ้างเหรอ" ชายหนุ่มสัมผัสได้ว่าผู้ฟังกำลังใกล้จุดเดือด เขาถึงค่อย ๆ อธิบายเหตุผลด้วยเสียงนิ่มนวล เข้าอกเข้าใจ แต่คนฟังยังอยากทิ่มปากกาเข้าไส้ให้หุบปาก

"ทำมาเป็นห่วง—"

แค่เดินหนีไป

แค่อดทนนิดเดียว

"ห่วงสิ ถ้าเธอห่วงเพื่อนจริง ๆ แล้วจะเข้าใจ"

นาวีพุ่งข้ามโต๊ะไปหาอย่างที่จินตนาการมาหลายครั้ง

หมัดเหวี่ยงชกระบายอารมณ์เป็นอันดับแรก แนวฟันกระทบข้อนิ้วจนเกิดเสียงน่ากลัว แต่คนที่เลือดขึ้นหน้าทั้งไม่รู้สึกเจ็บและไม่ได้ยิน

ปากกาหัวแหลมถูกใช้เป็นอาวุธแทงใส่หน้า ผู้เยาว์สู้แรงผู้ใหญ่ ค่อย ๆ กดมือเข้าใกล้ดวงตาเบิกโพลง

ชายหนุ่มผลักคนตัวเล็กกว่าออกก่อนจะกดปุ่มฉุกเฉินใต้โต๊ะสำเร็จ เสียงกริ่งเตือนดังลั่น แล้วนาวีก็โดนเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยลากไป

เอาล่ะ…ไม่ห้องเรียนพิเศษก็ห้องผาสุขกับย่า อย่างไหนก็นรกพอกันทั้งนั้น

_____