webnovel

ความไม่คาดคิด

เป็นเวลาร่วมอาทิตย์หลังจากกลับมาจากพักร้อน ชายหนุ่มหัวหน้าแผนกซ่อมบำรุงก็ยังคงได้ยินเรื่องราวของหญิงสาวผู้มาจากสำนักงานใหญ่อยู่เรื่อยๆ แม้เขาจะไม่ได้ใส่ใจนัก ทว่าว่าลูกน้องเขาก็ยังคงเซ้าซี้อยากจะรู้เหตุผลของการมาของสาวกรุงเทพคนนี้ วินจึงคิดว่าการมาหาคำตอบเรื่องนี้กับผู้จัดการโรงงานผู้สูงวัยน่าจะคลายข้องใจให้ลูกน้องเขาได้บ้าง วันนี้บังเอิญเขามีเรื่องต้องเข้ามาที่สำนักงานอยู่แล้วด้วย นายช่างใหญ่จึงตรงไปยังห้องทำงานของคุณวิชิตแต่เช้าตรู่

ขณะกำลังจะเดินขึ้นบันไดไปที่สำนักงานชั้นสอง เขาก็ปะทะกับหัวหน้าฝ่ายผลิตที่เพิ่งเดินผ่านประตูโรงงานเข้ามาเช่นกัน

"อ้าว! ช่างวุฒิ!"

"อ้าว! ช่างวิน!"

ทั้งสองจ้องมองกันอยู่ครู่หนึ่ง แล้วต่างคนต่างเดินอย่างรวดเร็วแย่งกันขึ้นบันไดมุ่งตรงไปยังห้องทำงานของคุณวิชิต และต่างก็ยกมือขึ้นเคาะประตูห้องของผู้จัดการโรงงานพร้อมกัน ก่อนที่จะหันหน้ามามองกันอีกรอบ

"เชิญครับ" เสียงคุณวิชิตดังมาจากข้างใน

ช่างวุฒิจึงรีบเอื้อมมือไปหมุนลูกบิดเปิดประตูก่อน นายช่างทั้งคู่รุดก้าวเข้าไปข้างในพร้อมๆกัน

"อ้าว มาพร้อมกันเลย มีอะไรครับ"

ผู้จัดการโรงงานสูงวัยเงยหน้าจากกองเอกสารมองการมาเยือนของหัวหน้าช่างทั้งสองคนด้วยความแปลกใจ

"เรื่องคุณสิปรางค์ครับ" ทั้งสองตอบพร้อมกันอีก ซึ่งก็ทำให้สองนายช่างต้องหันหน้ามามองกันอีกรอบด้วยความประหลาดใจ

"คุณสิปรางค์ทำไมหรือครับ"

วิชิตถามยิ้มๆ ชายสูงวัยเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ด้วยท่าทางสบายๆ เขารู้อยู่แล้วว่าหนุ่มหัวหน้าช่่างทั้งสองต้องอดไม่ได้ที่จะเข้ามาคุยกับเขาเรื่องนี้ เรื่องการมาของสิปรางค์ย่อมนำความสงสัยไปทั่วทั้งโรงงานเล็กๆแห่งนี้เป็นแน่ เขากับปกป้องได้หารือกันเรื่องการตอบคำถามพนักงานไว้นานแล้ว

"ผมไม่เข้าใจครับ โรงงานเรามีเอกสารข้อมูลอะไรมากมาย จนถึงกับต้องให้คนจากสำนักงานใหญ่มาช่วยดูหรือครับ" หัวหน้าฝ่ายผลิตเริ่มก่อน

"ก็ทางสำนักงานใหญ่เค้าอยากดูเอกสารกับบัญชีทุกอย่างอย่างละเอียดน่ะครับ เค้าบอกว่าที่เราทำส่งไปยังละเอียดไม่พอ"

วิชิตไม่ได้โกหก หากเพียงแต่เขาไม่ได้บอกจุดประสงค์สุดท้ายที่สำนักงานใหญ่ต้องการ เขารู้สึกเสียใจที่ไม่สามารถบอกความจริงทั้งหมดให้แก่พนักงานระดับบริหารอย่างหัวหน้าช่างทั้งสองได้ แต่เรื่องนี้ยังไงก็ต้องเก็บเป็นความลับของบริษัทเพื่อป้องกันการตื่นตระหนกของพนักงาน มันเป็นความรู้สึกผิดที่ไม่ว่าใครก็ไม่อาจเข้าใจหน้าที่ของผู้จัดการโรงงานอย่างเขา

"ทำไมอยู่ดีๆสำนักงานใหญ่ถึงต้องการข้อมูลโดยละเอียดขนาดนี้ครับ ปกติก็ไม่เห็นเคยตรวจสอบขนาดนี้นะครับ"

หัวหน้าฝ่ายซ่อมบำรุงเอ่ยขึ้นมาบ้าง วินเองก็แปลกใจที่ท่าทีของสำนักงานใหญ่ที่มีต่อโรงงานเล็กๆแห่งนี้เปลี่ยนไป

วิชิตมองชายหนุ่มตรงหน้าด้วยสายตาเอ็นดู หนุ่มตัวสูงคนนี้แม้จะพูดน้อยและไม่ค่อยแสดงออก แต่เขาก็รู้ว่าช่างวินคนนี้มีความฉลาดและช่างสังเกตไม่น้อย ผู้สูงวัยกำลังรู้สึกเสียดายแทนบริษัทที่จะต้องเสียคนเก่งๆอย่างชายหนุ่มทั้งสองตรงหน้าเขาไป

"ก็คงต้องรอให้พวกเค้าทำงานกันเสร็จก่อนนะครับ แล้วผมคงบอกอะไรพวกคุณได้มากกว่านี้"

วิชิตไม่อยากจะโกหกช่างคู่ใจทั้งสองของเขา ชายสูงวัยจึงได้เพียงแต่ตอบเลี่ยง และรอให้ถึงเวลาที่สมควร

"มีอะไรอีกไหมครับ เผอิญผมมีเอกสารต้องรีบสะสางให้เสร็จครับ" ผู้จัดการโรงงานจำใจต้องตัดบท เนื่องจากเขาไม่อยากตอบคำถามไปมากกว่านี้

นายช่างทั้งสองถอนหายใจ และรู้ด้วยตนเองว่าหัวหน้าของพวกเขาไม่ต้องการที่จะพูดถึงเรื่องนี้อีกต่อไป เพราะหากในยามปกติแล้วคุณวิชิตจะมีเวลาให้พวกเขาเสมอ ชายสูงวัยพร้อมที่จะรับฟังและชี้แจงทุกอย่างจนกว่าพวกเขาจะพอใจ แต่ครั้นมาถึงเรื่องนี้ ชายหนุ่มทั้งสองรับรู้ได้ว่าคุณวิชิตไม่สะดวกใจที่จะตอบ ซึ่งแม้จะยังรู้สึกไม่ชัดเจนกับคำตอบ แต่ทั้งวินและวุฒิชัยก็รู้ว่าควรจะยุติบทสนทนานี้เสีย นายช่างใหญ่ทั้งสองจึงต้องจำใจลาคนตรงหน้าแต่เพียงเท่านี้

"อ้อ เดี๋ยวครับ ช่างวินคงยังไม่ได้เจอคุณสิปรางค์เลยใช่ไหมครับ"

คุณวิชิตหันมาทางช่างมือหนึ่งของแผนกซ่อมบำรุง

"ไว้พรุ่งนี้ผมจะพาคุณสิปรางค์ไปแนะนำกับช่างวินให้ได้นะครับ"…

วันรุ่งขึ้น สิปรางค์ปรากฏกายขึ้นที่หน้าโรงซ่อมบำรุงพร้อมกับคุณวิชิตอีกครั้ง นายช่างคนนี้น่าจะมีความสำคัญอยู่ไม่น้อย ถึงขนาดที่คุณวิชิตตั้งใจจะพาหล่อนมาเจอเขาถึงที่ แต่เมื่อมาถึงกลับมีโทรศัพท์สายด่วนเรียกเข้าหาผู้จัดการสูงวัยและท่าทางธุระนั้นจะไม่จบโดยเร็ว สิปรางค์จึงอาสาจะเดินเข้าไปหาหัวหน้าโรงซ่อมบำรุงคนนี้ด้วยตัวเอง หญิงสาวเห็นคนงานสองสามคนกำลังช่วยกันขนย้ายเครื่องจักรขนาดใหญ่อยู่ไม่ไกล

มันคือเครื่องทำอะไรกันนะ เห็นทีต้องลงมาเรียนรู้เรื่องขั้นตอนการผลิตให้มากกว่านี้ซะแล้ว

สิปรางค์ถามหาถึงตัวหัวหน้าของโรงซ่อมบำรุง เหล่าคนงานก็โบ้ยบ้ายให้หล่อนเดินไปทางข้างหลัง

หญิงสาวเดินเข้าไปในตัวอาคารเพดานสูงแห่งนั้นตามทางที่เหล่าคนงานชี้มา แล้วหล่อนก็เห็นแผ่นหลังของผู้ชายคนหนึ่งอยู่ไวๆ สิปรางค์รีบสาวเท้าเดินเข้าไปหาเขา ในที่สุดก็ได้เจอตัวเสียที

เบื้องหน้าหล่อนเป็นชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งผิวคร้ามใส่ชุดช่างแบบชุดหมีหลวมๆกำลังยืนมองเครื่องจักรอย่างครุ่นคิด ที่ไหล่ข้างหนึ่งมีผ้าเปื้อนน้ำมันเครื่องจักรพาดอยู่ แม้หญิงสาวจะรู้สึกคุ้นๆแผ่นหลังและท้ายทอยนี้อย่างบอกไม่ถูก แต่สิปรางค์ก็ยังนึกไม่ออกว่าเคยเห็นลักษณะแผ่นหลังกว้างอย่างนี้ที่ไหน สองอาทิตย์ที่หล่อนมาอยู่เชียงใหม่นี้หล่อนได้ทำความรู้จักคนใหม่ๆเยอะแยะไปหมด แถมผู้ชายชาวเหนือยังมีลักษณะตัวเพรียวๆโปร่งๆอย่างนี้กันเป็นส่วนใหญ่

"ขอโทษค่ะ ช่างวินใช่ไหมคะ ได้เจอกันซักทีนะคะ"

ชายหนุ่มผมรองทรงสั้นหันขวับกลับมา ใบหน้าที่คุ้นชินนั้นทำให้สิปรางค์ต้องตะลึงงันไปชั่วขณะ คนที่ยืนอยู่ข้างหน้าของหล่อนเองก็จ้องหล่อนอย่างตะลึงไม่แพ้กัน

"อ้าว มะปราง"

แววตานั้นแสดงอาการดีใจที่เห็นหล่อน

สิปรางค์ทำตัวไม่ถูก ไม่นึกว่าหนุ่มหน้าใสเพื่อนบ้านคุณเจ้าของสวนลิ้นจี่จะกลายมาเป็นนายช่างใหญ่ของที่นี่ เขาไปตัดผมสั้นมานี่เอง มิน่าหล่อนถึงจำเขาจากข้างหลังไม่ได้ แล้วทำไมเขาเป็นอะไรได้มากจัง เป็นชาวสวน เป็นนักดนตรี แล้วนี่ยังจะเป็นช่างซ่อมเครื่องจักรอีก ทุกครั้งที่เจอกันหล่อนกับเขามักคุยกันเรื่องโน้นเรื่องนี้เว้นเสียแต่เรื่องงาน อีกอย่างชายหนุ่มก็เป็นคนพูดน้อยเอามากๆ แทบไม่เคยเล่าเรื่องของตัวเอง

เฮ้อ มิน่า ทำไมชื่อนี้จึงคุ้นหูจริงๆแฮะ…

"สวัสดีค่ะ ช่างวิน ดิฉันสิปรางค์ค่ะ"

ในที่สุดหญิงสาวก็เอ่ยแนะนำตัวเองด้วยน้ำเสียงที่ไว้ตัวและห่างเหิน หล่อนไม่รู้จะวางตัวอย่างไรดี เสียงของปกป้องดังก้องขึ้นมาในหัวของหล่อน

พี่ย้ำอีกครั้งนะปราง ว่าปรางต้องระวังให้มาก อย่าไปสนิทสนมกับพนักงานคนไหนในโรงงานทั้งนั้น

"อ่อ ครับ คุณสิปรางค์ ผมชื่อวินครับ"

ชายหนุ่มมีสีหน้าเจื่อนไปเล็กน้อย เขารู้สึกเสียหน้าระคนกับน้อยใจจากกิริยาท่าทางของหญิงสาว คนร่างสูงนั้นจึงแนะนำตัวพอเป็นพิธีแล้วหันหลังกลับไปสนใจกับเครื่องจักรตรงหน้าตามเดิม

สิปรางค์รู้สึกผิดและกระอักกระอ่วนใจกับสิ่งที่หล่อนได้แสดงออกไปเมื่อครู่ แต่หล่อนก็ไม่รู้จะทำอย่างไรดี คนสวยรู้สึกได้ถึงบรรยากาศที่เริ่มตึงๆขึ้นมา แต่แล้วหญิงสาวก็โพล่งถามออกไป

"เอ่อ สงสัยนิดนึงค่ะ ชื่อวิน นี่วินมอเตอร์ไซค์หรือวินชัยชนะคะ"

ถามออกไปแล้วก็อยากจะกัดปากตัวเอง

นายช่างใหญ่ชะงักมือที่กำลังจับตรวจดูชิ้นส่วนเครื่องจักร เขาหันหน้าเรียบเฉยมาทางหล่อน

"วินสายลมครับ"

"คะ"

"วิน ดับเบิ้ลยูไอเอ็นดี ที่แปลว่าสายลมไงครับ"

ชายหนุ่มหยิบผ้าขึ้นมาเช็ดมือ คราวนี้วินหันมาทางหล่อนอย่างเต็มตัว ไม่เพียงแค่มีรอยยิ้มน้อยๆในดวงตา หากยังมีรอยยิ้มน้อยๆที่ริมฝีปากของเขาด้วย

มะปรางคือคุณสิปรางค์หรือนี่ มาได้ยังไงกันเนี่ย…

บ่ายวันนั้นนายช่างวินนั่งอยู่คนเดียวที่โรงอาหาร ตรงหน้าชายหนุ่มมีจานอาหารเที่ยงที่เขาเพิ่งจะแตะไปได้นิดหน่อย เขายังคงครุ่นคิดเรื่องของสิปรางค์ หล่อนเป็นคนแบบไหนกันแน่นะ มะปรางที่เขารู้จัก กับคุณสิปรางค์ที่เขาได้ยินมาช่างแตกต่างกันเหลือเกิน แล้วหญิงสาวแยกเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวออกจากกันโดยสิ้นเชิงเลยหรือ วินไม่เข้าใจคนสวยคนนี้จริงๆ

ในที่ทำงานเป็นเพื่อนกันไม่ได้งั้นหรือ…

คิดไปคิดมาก็ปวดหัว วินไม่อยากเสียเวลาไปกับการคิดอะไรที่ซับซ้อนเกินไป ว่าแล้วชายหนุ่มก็หันกลับมาสนใจอาหารเที่ยงตรงหน้าต่อไป ก่อนที่จะพบว่ามีใครคนหนึ่งมานั่งลงตรงข้ามเขา

"ทำไมวันนี้ช่างวินมาทานข้าวคนเดียวล่ะคะ"

ราณีเอ่ยทักเขาด้วยน้ำเสียงเรียบๆ หล่อนทานอาหารกลางวันเสร็จแล้วและกำลังจะเดินกลับขึ้นตึก แต่บังเอิญหันมาเห็นนายช่างหนุ่มเข้าเสียก่อน

"คนอื่นเค้ายุ่งกันอยู่"

วินเงยหน้าขึ้นมามองหล่อน ตอบกลับด้วยน้ำเสียงเฉยเมย ก่อนจะก้มลงจัดการกับจานอาหารตรงหน้าต่อไป เขาทำท่าเหมือนไม่รับรู้ว่ามีหล่อนนั่งอยู่ตรงนั้น

หญิงสาวมองเขาด้วยสายตาน้อยเนื้อต่ำใจ หล่อนเกลียดท่าทางแบบนี้ของเขามาก ท่าทางที่ไม่เคยสนใจหล่อนเลย ท่าทางที่ไม่เคยเห็นหล่อนอยู่ในสายตา ราณีนั่งเงียบๆอยู่ตรงนั้นอีกครู่ และเมื่อไม่เห็นว่าชายหนุ่มมีทีท่าจะเอ่ยอะไรกับหล่อนอีกต่อไป หญิงสาวจึงลุกขึ้นเดินจากออกมาอย่างเงียบๆ และเมื่อหันกลับมามองคนหน้าเฉยนั้นอีกครั้ง หล่อนก็เห็นว่าเขายังคงก้มหน้าก้มตาอยู่กับจานอาหารโดยที่ไม่ได้เงยหน้าขึ้นมองหล่อนเลย…

เย็นวันนั้นนายช่างใหญ่เลิกงานตามปกติ วินขี่มอเตอร์ไซค์ออกมาจากโรงงานช้าๆด้วยใจที่ไม่อยู่กับร่องกับรอย เขากำลังครุ่นคิดเรื่องของหญิงสาวที่มาจากกรุงเทพ หญิงสาวคนสวยที่ชื่อสิปรางค์

ในขณะเดียวกันหลังจากที่ชายหนุ่มออกมาจากโรงงานได้ไม่นาน คนสวยที่เขากำลังคิดถึงอยู่ก็ขับรถออกมาจากโรงงานมุ่งตรงกลับรีสอร์ตเช่นกัน วันนี้สิปรางค์ไม่ได้กลับค่ำมากเหมือนเคย เนื่องจากวันนี้ทั้งวันหล่อนไม่ค่อยมีสมาธิในการทำงาน แถมมีอาการปวดหัวอ่อนๆร่วมด้วย หญิงสาวขับรถด้วยอาการใจลอย หล่อนกำลังครุ่นคิดเรื่องของนายช่างที่ชื่อวิน

"ว้าย!"

สิปรางค์ร้องเสียงหลงเมื่อหล่อนกำลังจะเลี้ยวรถเข้าถนนเล็กทางที่จะไปรีสอร์ต แล้วรถของหล่อนก็เกิดเฉี่ยวชนมอเตอร์ไซค์ที่แล่นอยู่ข้างหน้าโดยไม่คาดคิด หญิงสาวเหยียบเบรกพลางหักพวงมาลัยเข้าข้างทาง รถเก๋งคันหรูเสียหลักไปเฉี่ยวชนต้นมะม่วงที่ปลูกอย่างไม่เป็นระเบียบอยู่บริเวณนั้นทันที

และแล้วรถของหญิงสาวก็จอดสงบนิ่ง สิปรางค์รู้สึกเจ็บแปลบเล็กน้อยและมีความรู้สึกนัยน์ตาพร่าๆขึ้นมาชั่วขณะ อาการปวดหัวอ่อนๆที่มีมาตั้งแต่บ่ายเริ่มเข้ามารบกวนอีกรอบ เมื่อมองไปที่ถนนหญิงสาวก็เห็นเงาเลือนรางของร่างสูงๆพร้อมกับมอเตอร์ไซค์กำลังล้มคว่ำอยู่ที่พงหญ้าข้างถนน

ตอนนี้เริ่มมืดแล้ว แถมไฟข้างถนนก็มาเสียเอาตอนนี้ซะอีก สิปรางค์รู้สึกใจคอไม่ดีขึ้นมา เขาเป็นอะไรมากหรือเปล่าก็ไม่รู้ คงต้องรีบออกไปดูเสียหน่อย หญิงสาวรีบเปิดประตูรถออกมาแล้วตรงไปยังร่างที่มีมอเตอร์ไซค์คร่อมทับอยู่

"คุณ เป็นอะไรมากรึเปล่าคะ ชั้นขอโทษจริงๆ"

หล่อนละล่ำละลักท่ามกลางความมืด คืนนี้จันทร์ข้างแรมเสียด้วย เมื่อไฟถนนมาเสียเอาอย่างนี้ก็ยากที่จะเห็นอาการของคนตรงหน้า แถมสายตาของหล่อนก็พร่ามัวนิดๆ

"โอ๊ย!"

ร่างสูงนั้นพึมพำออกมาเบาๆ ขณะที่สิปรางค์พยายามอย่างเก้ๆกังๆที่จะช่วยยกพาหนะคันนั้นให้พ้นออกจากตัวของเขา

"ไม่ต้อง ไม่ต้อง เดี๋ยวผมทำเอง" เสียงต่ำแหบๆคุ้นๆนั้นตอบหล่อนมา

แล้วเมื่อเจ้าของเสียงนั้นเงยหน้าขึ้นมองหล่อนจากในความมืด

"ช่างวิน!" หล่อนอุทานเรียกชื่อเขา

คนสวยรีบช่วยเขาพยุงรถมอเตอร์ไซค์ขึ้นมา และเมื่อชายหนุ่มตั้งหลักได้ เขาก็เอี้ยวตัวออกห่างจากหล่อนทันที

"ผมไม่เป็นไร"

สิปรางค์จับความหมางเมินและความเฉยชาจากน้ำเสียงนั้นได้ทันที เขาคงยังงอนหล่อนอยู่สินะ ที่หล่อนทำท่าเฉยเมยใส่เขาที่โรงงานเมื่อตอนบ่าย

"เอ่อ ช่างวิน เอ้อ วิน…" หญิงสาวตะกุกตะกัก

แต่แล้วคนสวยก็ถอนหายใจ ช่างมันเถอะ จะช่างวิน จะคุณเจ้าของสวน จะพ่อหนุ่มมือกีตาร์ ยังไงเขาก็ชื่อวิน

"วินเป็นไรมากมั้ย เจ็บตรงไหนหรือเปล่า" หล่อนพยายามจะสำรวจเนื้อตัวเขาว่ามีบาดแผลตรงไหนหรือไม่

"ผมไม่เป็นไร"

เขาย้ำคำเดิม พร้อมถอยห่างไปจากหล่อนอย่างรวดเร็ว แต่แล้วเขาก็เซไปเล็กน้อย เนื่องจากยังรู้สึกมึนงงอยู่ สิปรางค์รีบถลาเข้าไปประคองชายหนุ่มไว้ก่อนที่เขาจะเสียหลัก

วินจ้องมองใบหน้าของหญิงสาวที่เข้ามาเกือบจะแนบชิดกับใบหน้าเขาด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก มันเต็มไปด้วยความสับสน น้อยใจ

แต่ที่แน่ๆทำไมเขาถึงใจเต้นแรงอย่างนี้หนอ…

สิปรางค์กลับเข้ามาในห้องพักด้วยความรู้สึกสับสนไม่ต่างจากชายหนุ่ม หล่อนนั่งเหม่อมองเอกสารของโรงงานที่นำติดมาด้วย ความตั้งใจที่จะเอางานกลับมาทำที่บ้านก็เป็นอันพับไป

หลังจากเกิดเหตุการณ์เมื่อตอนหัวคาำ นายช่างวินขี่มอเตอร์ไซค์มาส่งหล่อนถึงที่บ้านพักในรีสอร์ต ตลอดทางเขาไม่ได้พูดอะไรเลย มีแต่ความเงียบที่เข้าปกคลุมบรรยากาศ สิปรางค์ได้แต่ขอบคุณเขาเบาๆเมื่อมาถึงหน้าบ้านพัก ชายหนุ่มอยู่รอจนเห็นหญิงสาวเดินเข้าประตูห้องไปแล้ว เขาจึงขี่มอเตอร์ไซค์กลับออกไป…

เช้าวันถัดมาสิปรางค์ต้องให้รถของทางรีสอร์ตไปส่งที่โรงงาน รถคันหรูของหล่อนมีคนของทางรีสอร์ตไปจัดการส่งเข้าอู่ให้เรียบร้อยแล้ว

และตลอดทั้งวันนั้นหล่อนพยายามมองหาเขาคนนั้น แต่ก็ไม่เห็นวี่แววของชายหนุ่มเลย

หญิงสาวรีบกลับมาที่บ้านพักในตอนเย็นด้วยความรู้สึกที่ไม่สบายใจ หล่อนรู้สึกผิดที่แสดงท่าเฉยเมยกับเขาแล้วยังขับรถเฉี่ยวชนเขาอีก สิปรางค์กระสับกระส่ายเดินไปมาอยู่ในบ้านพักอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะออกมาที่ระเบียงเพื่อชะเงื้อมองไปที่ทางสวนลิ้นจี่ แล้วหล่อนก็กลับเข้าห้องไปอีก แล้วก็ออกมาชะเง้อมองไปที่สวนอีกเป็นระยะๆ ใจหนึ่งของหญิงสาวก็อยากจะออกไปปรับความเข้าใจกับเจ้าของสวน แต่อีกใจหนึ่งก็นึกถึงคำของปกป้องผู้เป็นพี่ชาย

ขณะที่หล่อนกำลังลุกๆนั่งๆอยู่นั้น หญิงสาวก็มองไปเห็นถุงขนมที่แม่บ้านเอามาวางไว้ให้บนโต๊ะเขียนหนังสือในบ้านพัก

เอาวะ ตอนนี้อยู่ที่รีสอร์ต เราอยู่ในโหมดการเป็นเพื่อนกันนี่นา

สิปรางค์รีบลงบันไดบ้านพักแล้วเดินลอดรั้วไม้เข้าไปในสวนด้านข้างอย่างรวดเร็ว ระหว่างทางเดินไปณัฐก็โทรเข้ามาหาหล่อนพอดี เขายังอยู่ที่โรงงานแล้วสงสัยอะไรบางอย่างเกี่ยวกับเอกสาร เมื่อเกี่ยวกับเรื่องงานหญิงสาวก็อดไม่ได้จึงต้องเดินคุยโทรศัพท์มาตลอดทาง…

รู้ตัวอีกที หล่อนก็เดินมาถึงที่ท่าน้ำแล้ว แต่ภาพที่เห็นไกลๆนั้นก็ทำเอาหญิงสาวตะลึงงันไป นายช่างหนุ่มแห่งโรงซ่อมบำรุงกำลังอาบน้ำอยู่บริเวณลานข้างบันไดบ้านซึ่งเชื่อมต่อกับบริเวณท่าน้ำ วินในชุดผ้าขาวม้าในท่อนล่างกำลังตักน้ำจากโอ่งมาราดศีรษะ แผงกล้ามอกเปลือยสีคร้ามแดดนั้นทำเอาสิปรางค์ถึงกับเขินหน้าแดง

เป็นจังหวะที่คนตัวสูงหันมาเห็นหล่อนพอดี หญิงสาวรีบแก้เก้อโดยการหันหน้าไปทางอื่น แต่ชายหนุ่มก็ไม่ได้มีท่าทีจะสนใจหล่อน เขาอาบน้ำต่อไปด้วยท่าทางรื่นรมย์เอามากๆพร้อมกับผิวปากไปด้วย

แม้จะรู้สึกหมั่นไส้ท่าทีนั้น แต่สิปรางค์เองก็อดใจไม่ได้ที่จะเหล่ตาแอบดูชายหนุ่ม นานแค่ไหนแล้วที่หล่อนไม่เห็นผู้ชายอาบน้ำในชุดผ้าขาวม้าอยู่กลางแจ้ง มันช่างเป็นธรรมชาติซะเหลือเกิน

และโชคก็เข้าข้างสิปรางค์ ชายหนุ่มอาบน้ำเสร็จหลังจากนั้นไม่นาน เขาหยิบผ้าขนหนูที่พาดไว้กับราวไม้ใกล้ๆขึ้นมาเช็ดตัว แล้วเขาก็ผลัดผ้าขาวม้าผืนใหม่ต่อหน้าต่อตาหล่อน สิปรางค์ถึงกับตาลุกวาว

ช่างเป็นภาพที่หาดูยาก!

หลังจากบิดผ้าขาวม้าผืนเปียกนั้นจนหมาดแล้ว ช่างวินซึ่งขณะนี้มีผ้าเช็ดตัวปกคลุมท่อนล่างอยู่ก็สะบัดผ้าขาวม้าตากกับราวไม้ข้างๆโอ่งน้ำนั้น แล้วเขาก็ทำท่าจะเดินขึ้นบ้านไปโดยไม่มีทีท่าจะรับรู้ว่าสิปรางค์ยังยืนอยู่ตรงนั้น

"วิน เดี๋ยวก่อน!"

หญิงสาวรีบร้องเรียก แม้จะยังเขินตัวเองที่แอบดูชายหนุ่มอาบน้ำ แต่หล่อนก็ต้องการจะปรับความเข้าใจกับเขา สิปรางค์รีบเดินเข้าไปที่คนตัวสูงอย่างไม่รอช้า ชายหนุ่มหยุดอยู่ที่ขั้นบันไดโดยที่ไม่หันหน้ากลับมา เขากำลังอมยิ้มซึ่งคนสวยคงไม่เห็น และเมื่อชายหนุ่มหันหน้ากลับมาหาหญิงสาว วินกลับมีแต่ใบหน้าที่เฉยชา

สิปรางค์ถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย นี่หล่อนมาเจอผู้ชายขี้งอนหรือนี่

"เราเอาขนมมาให้ เราขอโทษ ที่เมื่อวานเราขับรถชนวิน"

หญิงสาวยื่นถุงขนมในมือให้เขา หล่อนนึกแปลกใจตัวเองอยู่เหมือนกันว่าทำไมอยู่ดีๆหล่อนถึงได้เปลี่ยนสรรพนามเรียกตัวเองจากคำว่า'ชั้น' เป็นคำว่า'เรา'

คนขี้งอนยังคงยืนนิ่งอยู่ในขณะที่ใช้มือข้างหนึ่งจับที่ราวบันได ชายหนุ่มมองตรงๆมาที่หญิงสาวด้วยสายตาของผู้ชนะ

"ร้านเจ้าดังของเชียงใหม่เลยนะ ได้ข่าวว่าอร่อยมากๆ วินต้องชอบแน่ๆ" สิปรางค์รีบพูดเอาอกเอาใจ

"ขอบคุณครับ"

เขายื่นมือมารับไป หน้าตายังเฉยชา แต่ทำท่าก้มลงมองดูถุงขนมอย่างสนอกสนใจ

เมื่อเห็นว่าชายหนุ่มไม่มีทีท่าจะพูดอะไรไปมากกว่านี้ คนสวยจึงเอ่ยขึ้น

"งั้นไปละ" ก่อนจะหันหลังกลับช้าๆ

"เดี๋ยวครับ"

หล่อนได้ยินเสียงเขาร้องเรียกเบาๆ คราวนี้สิปรางค์เป็นฝ่ายกระหยิ่มยิ้มย่อง หันกลับไปทำใบหน้าเฉยชาใส่เขาบ้าง

"พรุ่งนี้ผมไปรับไปทำงานนะ รถมะปรางเสียอยู่ไม่ใช่หรือ"

เขาเอ่ยประโยคที่หล่อนไม่คาดคิดออกมา

"ไม่เป็นไร เราให้คนที่รีสอร์ตไปส่งได้"

สิปรางค์เกรงใจเขา หล่อนเป็นคนขับรถชนเขาแล้วถ้ายังจะต้องให้เขามารับไปทำงานอีก

"คงไม่อยากซ้อนมอเตอร์ไซค์มั้ง" เขาพูดเสียงเรียบๆ บ่งบอกความน้อยใจ

"เปล่า คือ…"

หญิงสาวไม่รู้จะปฏิเสธยังไง เพราะความจริงแล้วหล่อนก็ไม่อยากซ้อนมอเตอร์ไซค์จริงๆนั่นแหละ เรื่องเกรงใจนั่นเป็นเรื่องรอง เรื่องใหญ่กว่าคือหล่อนกลัวผมสวยๆจะเสียทรงหากต้องซ้อนมอเตอร์ไซค์ตากแดดตากลมแต่เช้า

"งั้นเจ็ดโมงเช้าผมไปรับ"

ชายหนุ่มตัดบทแล้วหันหลังเดินขึ้นบันไดไป

"เดี๋ยว…"

สิปรางค์รีบร้องเรียก แต่สิ่งที่หล่อนเห็นคือเขายกมือข้างที่ถือถุงขนมขึ้นมาโบกไปมา แล้วเดินเข้าประตูบ้านไปโดยไม่ได้หันหน้ามามองหล่อนอีกเลย

เฮ้อ เอาไงดีนี่ ไม่อยากซ้อนมอเตอร์ไซค์เลย…