"ก็บอกแล้วว่าดอยมันมีเสน่ห์ แล้วมะปรางจะหลงรักมัน"
ความอบอุ่นจากการที่เขาและหล่อนนอนอิงกันอยู่ภายใต้ผ้าห่มผืนเดียวกันนั้นแผ่ซ่านไปทั่ว คนที่ใจตรงกันทั้งสองนอนคุดคู้กันอยู่บนพื้นไม้ไผ่นอกชานที่กระท่อมโฮมสเตย์ของสิปรางค์ ทั้งคู่กำลังพากันจ้องมองดวงดาวที่ส่องสว่างระยิบระยับลอยเด่นอยู่เหนือขุนเขาที่มืดมิด
"ชักอยากอยู่บนนี้ตลอดไปจังเลย"
หญิงสาวหมายความตามนั้นจริงๆ อากาศบนนี้เย็นสบายตามธรรมชาติ เป็นสิ่งที่ไม่มีวันจะหาได้จากกรุงเทพ
"ก็อยู่ตลอดไปสิ" วินตะแคงใบหน้าอมยิ้มนั้นมาทางหล่อน
หญิงสาวผินหน้าไปหาชายหนุ่มบ้าง แสงไฟสลัวๆจากไต้ไฟที่จุดอยู่บนเสากระท่อมส่องให้เห็นแววตานั้นวิบวับเป็นประกาย และก็เหมือนเช่นเคย ปากแดงจากอากาศหนาวนั้นกำลังยิ้มน้อยๆ คนอะไรยิ้มได้บ่อยๆ ไม่ยิ้มที่ตาก็ยิ้มที่ปาก
"วินไม่โกรธเราแล้วเรื่องโรงงานจริงๆใช่ไหม" สิปรางค์ยังคงกังวลเรื่องความรู้สึกของเขา เรื่องความผิดที่หล่อนทำไว้กับโรงงาน
"เรื่องมันก็จบไปแล้ว และมะปรางก็ทำดีที่สุดแล้ว"
วินเอื้อมมือมาปัดไรผมที่ระใบหน้าสวยออกไปให้พ้นทางเพื่อที่จะได้ลูบไล้ดวงตากลมโตคู่นั้น ชายหนุ่มไม่อยากเห็นดวงตาคู่นี้ต้องโศกเศร้าอีก รายงานจากคุณวิชิตที่ได้อ่านทำให้เข้าใจหญิงสาวมากขึ้น เขาเองก็ไม่ต่างจากหล่อน เพราะในที่สุดเขาก็ต้องช่วยคุณวิชิตปิดโรงงานนั้นด้วยมือของเขาเอง บางครั้งคนเราก็คงต้องฝืนทำตามหน้าที่แม้จะเป็นสิ่งที่ตัวเองไม่อยากจะทำ มะปรางของเขาได้พยายามอย่างที่สุดแล้ว
"เราอยากขอโทษทุกๆคน"
หากสีหน้าของสิปรางค์ยังไม่คลายความกังวล ความรู้สึกผิดยังตามมาระรานใจ ไม่ว่าจะยามไหน
"มะปรางครับ เรื่องมันผ่านไปแล้ว เราแก้ไขอะไรไม่ได้อีกแล้ว ทุกคนกำลังเริ่มต้นชีวิตใหม่" วินพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง ความรู้สึกสงสารและเห็นใจหญิงสาวตรงหน้าเอ่อล้นขึ้นมา เวลาที่ผ่านมาช่วยเยียวยาจิตใจ และช่วยให้เขาคิดทบทวนอย่าง สุขุมขึ้น
"แค่มะปรางกลับมาอยู่ตรงนี้ ผมก็มีความสุขมากแล้ว แล้วจะยิ่งมีความสุขมากขึ้น ถ้ามะปรางจะอยู่ตรงนี้กับผมตลอดไป"
สิปรางค์น้ำตารื้นขึ้นที่ขอบตา ในที่สุดเขาก็เข้าใจหล่อน ความรู้สึกรักผู้ชายคนนี้เพิ่มขึ้นท่วมท้น หญิงสาวรู้ว่าวินเป็นคนจิตใจดี หล่อนไม่เคยเห็นเขาผูกใจเจ็บหรือว่าร้ายใคร ที่ผ่านมาชายหนุ่มอาจต้องการเวลา หล่อนรู้ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นกระทบจิตใจเขามากเพียงไร จะให้วินทำใจยอมรับได้ง่ายๆก็ดูเหมือนจะคาดหวังมากไปหน่อย
ชายหนุ่มมองวงหน้าเกลี้ยงเกลานั้นด้วยความรู้สึกหลงใหล สายใยรักอันดื่มด่ำรัดรึงเขาไว้กับหญิงสาวผู้นี้ เพราะเหตุใดหนอ… เพราะหล่อนสวยหรือ… ไม่น่าจะใช่แค่นั้นกระมัง
"อยู่ที่นี่ตลอดไปเหรอ อือม์ น่าสนใจเหมือนกันนะ ปลูกสตรอว์เบอรี่ขายกันดีไหมวิน"
พลันที่การปลอบโยนของวินให้หล่อนคลายกังวลเรื่องโรงงานได้ผล หัวธุรกิจของสิปรางค์ก็เริ่มทำงานทันที ระหว่างทางขึ้นดอยมาหล่อนเห็นไร่สตรอว์เบอรี่เป็นระยะๆ หญิงสาวนึกสนุก อยากจินตนาการไปเล่นๆว่าถ้าจะต้องใช้ชีวิตอยู่บนนี้กับคนหล่อๆคนนี้จริงๆ หล่อนจะทำมาหากินอะไรดี คนสวยหลิ่วตาหันไปจ้องหนุ่มหล่อในผ้าห่มคนข้างๆ
เอ หรือว่าเราไม่ต้องทำงาน เพราะวินอาจจะบ้านรวย มีมรดกเยอะก็ได้
"ไร่กาแฟดีกว่า" วินพูดไปอย่างนั้นเอง ก็ในหัวของเขาไม่เคยมีเรื่องอื่นมาก่อน ทั้งชีวิตก็รู้จักแต่กาแฟ
หากสิปรางค์กลับสะดุดไปกับคำพูดเรื่อยเปื่อยนั้น
"วิน เรามาทำไร่กาแฟกันไหม" คราวนี้หล่อนหันมาจ้องมองเขาอย่างจริงจัง
"เฮ้ย ล้อเล่น"
ชายหนุ่มพลิกกลับไปนอนหนุนแขน นัยน์ตาจับจ้องไปยังหมู่ดาวบนท้องฟ้า ท่าทางไม่ใส่ใจกับสิ่งที่เขาเพิ่งจุดประกายให้กับหญิงสาว
"มะปรางครับ โน่น กลุ่มดาวไถ มะปรางรู้ไหมว่าอีกชื่อของดาวไถคืออะไร" เขากลับไปสนใจกับจุดเล็กๆหลายล้านจุดที่อยู่ไกลโพ้นนั้น วินก็ยังคงเป็นวิน
"ดาวนายพราน แต่วิน เราจริงจังนะ เรื่องไร่กาแฟน่ะ" แม้จะตอบเรื่องกลุ่มดาวอย่างรวดเร็ว แต่หล่อนก็ยังไม่ลืมเรื่องไร่กาแฟ หญิงสาวพลิกเอื้อมตัวมาคร่อมตัวชายหนุ่มเอาไว้ และจ้องหน้าเขาอย่างจริงจัง
"เฮ้ย จะทำอะไรผม ไม่เอา อย่านะ เค้าอาย" เขาพลิกตัวหันหลังให้หล่อน ดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมศีรษะ
"วิน ไร่กาแฟ!" สิปรางค์พยายามยื้อยุดดึงผ้าห่มให้พ้นจากการหุ้มห่อร่างคนตัวสูงนั้นออก
"ไม่เอา ไม่ทำ ขี้เกียจ" แล้วคนตัวสูงก็มุดเข้าไปอยู่ในผ้าห่มอีกรอบ
อาการงอแงเหมือนเด็กของอดีตนายช่างใหญ่ ทำเอาหญิงสาวส่ายหน้า อยากให้บรรดาลูกสมุนตัวโข่งมาเห็นเสียจริงๆ
และแล้วการต่อสู้แย่งชิงผ้าห่มก็เกิดขึ้น แต่เมื่อเวลาผ่านไปอีกพักใหญ่ ชายหนุ่มยังคงยึดผ้าห่มห่อพันตัวเองไว้อย่างเหนียวแน่นได้ คนตัวเล็กกว่าจึงต้องใช้ไม้ตาย สิปรางค์แกล้งจี้เอวคนในผ้าห่มจากภายนอก ได้ผล แม้คนตัวสูงจะหัวเราะดิ้นไปมาในผ้าห่ม แต่คนภายนอกก็หาได้ยอมหยุดไม่ หญิงสาวกลับเล่นจั๊กจี้กับชายหนุ่มอย่างหนักหน่วงขึ้น
ในที่สุดชายหนุ่มก็ยอมแพ้ เขาเปิดผ้าห่มออกมาด้วยความรวดเร็ว แล้วพลิกตัวกลับขึ้นมาเป็นฝ่ายจับคนสวยกดนอนลงกับพื้น ก่อนจะกอดหล่อนไว้ในอ้อมแขนอย่างแน่นหนา
"ไร่กาแฟ!" สิปรางค์ทันเอ่ยขึ้นมาแบบยิ้มๆ ก่อนที่วินจะก้มหน้าลงมาจนชิดใบหน้าสวยนั้น
"อื้อ…"
วินไม่สนใจในสิ่งที่คนในอ้อมกอดเขาพยายามจะพูด เขาสนใจแต่ริมฝีปากอวบอิ่มสีแดงสดคู่นั้น และแล้วจูบอันแสนอ่อนหวานและเร่าร้อนในขณะเดียวกันของชายหนุ่มก็ไม่เปิดโอกาสให้หญิงสาวได้เอ่ยถึงเรื่องกาแฟอีกเลยตลอดค่ำคืนนั้น…
ไร่กาแฟรกร้างข้างหน้าทำเอาคนตัวเล็กยืนยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ หญิงสาวไม่เคยทำไร่มาก่อน แต่ถ้าผู้ชายรูปหล่อที่ยืนอยู่ข้างๆหล่อนคนนี้ให้ความร่วมมือ มันจะต้องสำเร็จอย่างแน่นอน และโดยที่ไม่สนใจถึงสีหน้ายุ่งยากใจของคนข้างๆ คนสวยก็รีบพูดโดยเร็ว
"คะเนดูคร่าวๆ สมมุติพื้นที่ไร่ประมาณสิบไร่ ระยะปลูกที่เป็นมาตรฐานคือระยะสามคูณสามเมตร จะได้ปริมาณต้นกาแฟจำนวนร้อยเจ็ดสิบเจ็ดต้นต่อไร่ ต้นนึงจะได้เมล็ดกาแฟประมาณสามกิโลกรัม เก็บเกี่ยวหนึ่งครั้งในหน้าแล้ง"
แล้วหญิงสาวก็หันหน้ามายักคิ้วให้เขาผู้เป็นที่รัก
"เฮ้อ..." วินย่นคิ้วกลับให้หล่อนพลางถอนหายใจ วันนี้คิ้วของเขาขมวดแล้วขมวดอีกเมื่อมองดูไร่กาแฟของเขาข้างหน้า ไร่แห่งนี้ที่คนเช่าเดิมทิ้งไปเนื่องจากต้องการย้ายเข้าไปอยู่ในตัวเมือง
"ไงล่ะ ทฤษฎีเรามาเต็มเลยนะ ทึ่งล่ะสิ เอาน่าวิน เรารู้ว่าวินทำได้แน่ๆ วินรู้เรื่องกาแฟดีกว่าทุกคนอยู่แล้ว"
สิปรางค์ตบไหล่ชายหนุ่มรูปหล่อข้างๆ พลังมาเต็มเปี่ยม ท่าทางมั่นอกมั่นใจในสิ่งที่กำลังจะทำ หล่อนหรี่ตามองเขา แล้วพยักพเยิดเชิดหน้าแบบกวนๆ
"แล้วโรงคั่วกาแฟก็ต้องมานะ ทำแบบเล็กๆก่อนก็ได้ เดี๋ยวเราจะเริ่มสำรวจตลาดใหม่อีกที เมล็ดกาแฟที่นี่ต้องมีเอกลักษณ์พิเศษที่ไม่เหมือนใคร ทำเป็นกาแฟออร์แกนิคดีไหมวิน เดี๋ยวเราลงทุนเอง ส่วนวินก็ลงแรง มันจะต้องออกมาดีแน่ๆ เชื่อเราสิ"
"เอ้า ลองดู" ท่าทางของหญิงสาวที่กระตือรือร้นและไม่มีวันจะยอมแพ้ง่ายๆนั้น ทำเอาวินยอมจำนนแบบไม่ค่อยเต็มใจ
"เรารู้อยู่แล้วว่าวินต้องตกลง วินน่ะใจง่าย ฮ่า ฮ่า ฮ่า"
คนตัวเล็กหัวเราะในชัยชนะ หล่อนรักเขาก็ตรงนี้ นึกจะตอบตกลงก็ตอบสั้นๆง่ายๆซะอย่างนั้น วินไม่เคยมีความวิตกกังวลหรือมีข้อแม้กับเรื่องใดๆ ชายหนุ่มทำเหมือนว่าทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตเป็นเรื่องง่ายดายไปหมด
"แล้วตรงนั้น" หญิงสาวชี้ไปยังกระท่อมไม้ปลูกอย่างลวกๆของเจ้าของเดิม "เราก็สร้างบ้านหลังน้อยของเราดีไหม"
มันคงจะโรแมนติกทีเดียว หากวิมานน้อยของหล่อนและวินจะสร้างอยู่บริเวณนั้น เนินเล็กๆตรงปากทางเข้าไร่ที่มองออกไปเห็นวิวดอยสุดลูกหูลูกตา
"มะปรางจะอยู่บนดอยนี้ได้จริงๆหรือ"
ชายหนุ่มผู้ซึ่งแต่เดิมคุ้นเคยกับการไม่เคยต้องกังวลใจเรื่องใดๆ บัดนี้เขาชักจะเริ่มไม่แน่ใจเสียแล้วเมื่อเห็นท่าทางเอาจริงเอาจังเกินเบอร์ของหญิงสาวหน้าสวยคนนี้
"ก็ถ้าวินอยู่ได้ เราก็อยู่ได้" คนตัวเล็กปากหวานตาหวานเข้าใส่
"เอ้า ลองดู" คนตัวสูงพูดซ้ำ ส่ายหน้ายอมจำนน ทำไมเขาต้องยอมทุกเรื่องครั้งแล้วครั้งเล่าด้วยนะ
"ขอบคุณนะคะ"
สิปรางค์โน้มคอเขามาจูบที่หน้าผาก หล่อนพร้อมที่จะร่วมหัวจมท้ายกับผู้ชายตายิ้มได้คนนี้แล้ว
"เฮ้ย อายเค้า"
วินพยายามเบี่ยงตัวออก ทำหน้าเขินๆ แต่ก่อนที่สิปรางค์จะทันรู้ตัว ชายหนุ่มผู้ที่กำลังเขินอยู่นั้นกลับรั้งร่างหญิงสาวเข้ามากอดอย่างรวดเร็ว เขาบรรจงก้มลงจูบหล่อนกลับที่หน้าผากอย่างนุ่มนวล….
"อ้าว ช่างวิน เข้ามาก่อนสิ"
เจ้าของบ้านละมือจากกระถางกล้วยไม้ ก่อนจะเดินออกไปเปิดประตูรั้วเมื่อได้ยินเสียงกดกริ่ง
วิชิตเอ่ยทักชายหนุ่มด้วยความแปลกใจ อยู่ๆอดีตนายช่างคู่ใจก็มาหาเขาถึงที่บ้านโดยไม่ได้โทรบอกกันก่อน
"พอดีผมเพิ่งลงจากดอยมาครับ ไปเจอกาแฟรสใหม่ๆมา เลยอยากเอามาให้คุณวิชิตได้ลองชิม" ชายหนุ่มยื่นถุงของฝากให้ชายสูงวัยอย่างนอบน้อม ขณะที่ทั้งคู่นั่งลงบนม้าหินอ่อนหน้าบ้านพักของวิชิตเรียบร้อยแล้ว
"ขึ้นดอยอีกแล้วหรือเรา แล้วเป็นไงบ้าง ยังเล่นดนตรีที่เดิมอยู่หรือเปล่า"
"ครับ ก็ยังเล่นอยู่เรื่อยๆครับ"
"ดีแล้ว ได้ข่าวว่าฝีมือช่างวินนี่ไม่เบาเลยนะ แฟนคลับเยอะแยะไปหมด" อดีตผู้จัดการโรงงานเอ่ยปากชื่นชมอย่างอารมณ์ดี พลางพลิกดูห่อเมล็ดกาแฟห้าหกห่อซึ่งวินนำมาฝาก
"โอ้โห เดี๋ยวนี้ชาวบ้านเค้ามีผลิตภัณฑ์หลากหลายกันขนาดนี้เชียวหรือ น่าสนใจจริงๆ"
วิชิตต้องประหลาดใจกับบรรดาเมล็ดกาแฟที่วินนำมาฝาก เขาพอจะรู้มาว่าในตัวจังหวัดเชียงใหม่เองนั้นไม่ยากที่จะพบเมล็ดกาแฟจากโรงงานใหญ่ๆหลากหลายยี่ห้อ แต่สำหรับเมล็ดกาแฟท้องถิ่นแบบนี้ อดีตผู้คร่ำหวอดอยู่ในวงการกาแฟอย่างเขาเองก็นึกไม่ถึง
"ที่ผมเอามาทั้งหมดในวันนี้เป็นแบบคั่วมือทั้งหมดนะครับ"
"เอาเข้าจริง ตลาดกาแฟคั่วมืออย่างนี้มันน่าจะไปได้อีกไกลเลยนะ ช่างวินไม่สนใจบ้างหรือ" ชายสูงวัยเงยหน้าขึ้นมองชายหนุ่ม เขารู้ดีว่าวินรักกาแฟมากแค่ไหน อดีตนายช่างใหญ่ของโรงงานเขาคนนี้เป็นอีกคนหนึ่งที่รู้เรื่องกาแฟดีมากอย่างไม่เป็นรองใคร
"ผมกำลังคิดๆอยู่ครับ" วินตอบอย่างตรงไปตรงมา
คำตอบของชายหนุ่มทำเอาวิชิตยิ้มกว้างอย่างดีใจ
"เอาเลย ผมสนับสนุนเต็มที่" เขากำลังนึกเสียดายความช่ำชองของวินเกี่ยวกับเรื่องกาแฟอยู่ทีเดียว ถ้าช่างวินหวนกลับมาเข้าวงการกาแฟอีกก็น่าจะมีหนทางไปได้ไกล
"แต่ผมก็ไม่รู้ว่าจะทำไปเพื่ออะไร จะดิ้นรนทำไปทำไม ผมไม่รู้ว่าคนเราจะต้องทุ่มเทลงแรงอย่างหนักกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งไปเพื่ออะไร" วินพูดความในใจออกมายาวเหยียด เขาไม่เคยมีครอบครัว เขาไม่เคยต้องทำเพื่อใคร
ความจริงจังของสิปรางค์ในการวางแผนจะเริ่มต้นชีวิตกับเขาทำให้ชายหนุ่มรู้สึกลังเลอยู่บ้าง เรื่องการใช้ชีวิตประจำวันกับหญิงสาวนั้น เขาไม่มีปัญหา เขาเป็นคนง่ายๆเข้ากับทุกคนได้อยู่แล้ว แต่เรื่องที่หล่อนต้องการจะฟื้นโรงงานกาแฟขึ้นมาอีกครั้งนั้น เขาเองยังไม่มั่นใจนัก วินต้องการจะพูดคุยเรื่องนี้กับใครสักคนที่รู้จักตัวตนของเขาเป็นอย่างดี
ชายผู้สูงวัยกว่าจ้องมองผู้อ่อนวัยกว่าตรงหน้าซึ่งเปรียบเสมือนลูกหลานของเขาเอง วิชิตไม่มีลูก วินน่าจะเป็นคนรุ่นหนุ่มสาวที่เขาใกล้ชิดด้วยที่สุดแล้ว เขาเองก็เคยประหลาดใจเสมอๆกับความฉลาดหัวดีของวิน ซึ่งขัดกับบุคลิกเรื่อยๆเฉื่อยๆของเจ้าตัวโดยสิ้นเชิง เขาพยายามอยู่หลายครั้งที่จะให้ชายหนุ่มได้เรียนต่อเพื่อที่จะได้มีโอกาสก้าวหน้าในอาชีพการงานมากกว่านี้ แต่อดีตเด็กเกเรคนนี้กลับปฏิเสธมาตลอด วินไม่เคยแสดงความทะเยอทะยานอะไรให้เขาได้เห็นเลย
"ก็หลายคนเค้าคงทำเพื่อครอบครัวเค้ากันนะ ให้ได้อยู่ดีกินดีน่ะ" ชายสูงวัยกล่าวเรื่อยๆ
"แต่ผมก็เห็นหลายคนที่ไม่ได้ทำงานหนัก เค้าก็มีความสุขกันดี แม้เค้าจะไม่ได้ร่ำรวยอะไรนะครับ"
วินอดไม่ได้ที่จะนึกไปถึงชีวิตของผู้คนที่รายล้อมอยู่รอบตัวเขา คนเราจะทะเยอทะยานไปมากมายทำไมกัน
วิชิตถอนหายใจพลางเอนหลังพิงพนักม้าหินอ่อน เขาคิดว่าเขารู้จักชายหนุ่มดีพอสมควร แม้ครอบครัวของวินจะไม่ได้มีเงินทองมากมาย แต่วินก็เติบโตมาในแบบที่ไม่เคยต้องลำบากอะไร มรดกที่ดินทั้งสวนผลไม้และไร่กาแฟที่พ่อของวินทิ้งไว้ให้ลูกชายคนเดียว หากขายออกไปเสีย เงินที่ได้มาก็คงพอเลี้ยงดูตัวชายหนุ่มเองไปทั้งชีวิต
"แต่ถ้าการทำงานหนักของเรา การลงทุนลงแรงของเรา มันเป็นการทำเพื่อคนอื่นด้วยล่ะ ช่างวินไม่คิดบ้างหรือว่ามันเป็นสิ่งที่ดีและเป็นสิ่งที่ควรทำ"
เมื่อวิชิตพูดมาถึงตรงนี้ เขาเห็นชายหนุ่มกำลังมองเขาอยู่ด้วยความตั้งใจ ชายสูงวัยจึงพูดต่อไป
"หลายๆคนเค้าไม่ได้เกิดมาด้วยความพร้อมอย่างช่างวินนะ เค้าอาจมีหน้าที่ภาระรับผิดชอบอะไรหลายอย่าง ทำให้เค้าไม่อาจที่จะใช้เวลาส่วนใหญ่ในการจะไปทุ่มเทให้กับการงานได้ หรือเค้าอาจไม่ได้มีความสามารถมากมายที่ติดตัวมาแต่เกิด เลยทำให้เค้าไม่สามารถไปได้ไกลอย่างที่ควรจะเป็น"
วินยังคงมีแววตาครุ่นคิดในสิ่งที่ชายผู้เปรียบเสมอพ่อคนที่สองของเขากำลังเอ่ยถึง
"ถ้าช่างวินมีความสามารถพอที่จะทำให้หลายๆชีวิตเค้ามีชีวิตที่ดีขึ้นได้ล่ะ ช่างวินอยากจะลองทำดูไหม"
แม้ตอนนี้ชายหนุ่มตรงหน้าจะไม่ได้เป็นช่างคู่ใจของเขาอีกต่อไปแล้ว แต่วิชิตก็ยังคงเรียกชายหนุ่มว่าช่างวินเหมือนเช่นเดิม สำหรับเขาแล้ว วินมีจิตวิญญาณของความเป็นนายช่างอยู่อย่างชนิดที่หาตัวจับยาก
วิชิตจ้องมองลึกเข้าไปในดวงตาของอดีตนายช่างใหญ่ของโรงงาน เขารู้ว่าวินเป็นคนมีความมั่นใจในตัวเอง แต่สิ่งที่นายช่างคนนี้ขาดไปก็คือแรงบันดาลใจ สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ขาดหายไปสำหรับคนหนุ่มสาวหลายคน ที่เกิดมาบนเส้นทางชีวิตที่เพียบพร้อมอยู่แล้ว
"ผมรู้ว่าช่างวินทำได้ และผมก็รู้ด้วยว่า ตัวช่างวินเองก็มั่นใจว่าตัวเองทำได้" ชายสูงวัยกล่าวต่อไป
"เอางี้ไหม ช่างวินไม่ต้องคิดว่าทำเพื่อตัวเอง แต่ให้ลองคิดว่าไร่กาแฟของช่างวินอาจทำให้ชาวบ้านหลายคนเขามีงานทำเลี้ยงครอบครัว"
ประกายที่วูบขึ้นมาในดวงตาที่ยิ้มได้คู่นั้นทำให้วิชิตรู้ได้ว่าช่างวินของเขาคงจะได้คำตอบสำหรับตัวเองแล้ว…