webnovel

ความเข้าใจ

3 เดือนผ่านไป…

ชายหนุ่มมีเหตุให้ต้องกลับมาที่โรงงานที่เขารักอีกครั้งหนึ่ง เนื่องจากวิศวกรจากสำนักงานใหญ่เกิดป่วยกะทันหัน วินจึงได้รับการติดต่อจากคุณวิชิตให้เข้ามาช่วยประสานงานเรื่องการส่งมอบเครื่องจักรแทน และอดีตนายช่างใหญ่คนนี้ก็เป็นคนหนึ่งที่รู้จักเครื่องจักรทุกเครื่องในโรงงานนี้ดีที่สุด

หลังเสร็จภารกิจคุณวิชิตเอ่ยปากชวนชายหนุ่มไปทานอาหารเย็นด้วยกัน

"เดี๋ยวขอผมไปเอาเอกสารที่ห้องหน่อยนะ"

ผู้สูงวัยกว่าเดินนำเปิดประตูเข้าไปที่ห้องทำงาน วินมองไปรอบๆห้องของคุณวิชิตซึ่งอดีตเคยอัดแน่นไปด้วยแฟ้มเอกสารซึ่งบรรจุอยู่ตามชั้นต่างๆ หากบัดนี้กลับเต็มไปด้วยกล่องกระดาษวางตั้งเรียงรายอย่างเป็นระเบียบ

"แล้วเอกสารพวกนี้นี่ทำยังไงต่อครับ"

ชายหนุ่มเดินสำรวจรอบๆห้องก่อนจะถามถึงเอกสารต่างๆที่บรรจุกันอยู่ในกล่อง ในขณะที่คุณวิชิตกำลังเก็บเอกสารและของบางอย่างลงกระเป๋าทำงาน

"เดี๋ยวก็คงจะเอาไปทำลายหมดแล้ว เพราะนี่ก็ครบสามเดือนแล้วที่เก็บไว้เผื่อจะได้ใช้ เดี๋ยวคนจากสำนักงานใหญ่ก็จะมาจัดการเอง ส่วนพวกข้อมูลที่สำคัญๆคุณสิปรางค์เค้าทำเป็นไฟล์ส่งเข้าสำนักงานใหญ่ไปหมดแล้ว"

วินชะงักไปเมื่อได้ยินที่คุ้นเคยนั้น เขาไม่แน่ใจว่าคุณวิชิตรู้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างเขากับหญิงสาวหรือไม่ แม้ชายหนุ่มจะนับถือคุณวิชิตเสมือนพ่ออีกคนหนึ่ง แต่หากถ้าเป็นเรื่องส่วนตัววินก็แทบจะไม่ปริปากกับใครอยู่แล้ว

ชายหนุ่มสังเกตเห็นผู้สูงวัยกว่าเงยหน้าขึ้นมามองเขาเล็กน้อย แต่วินก็ทำเฉยเสีย เขาทำเป็นมองดูรอบๆห้องอย่างสนอกสนใจ เมื่อเห็นมีกล่องเอกสารเล็กกล่องหนึ่งยังคงเปิดวางอยู่บนเก้าอี้ข้างโต๊ะทำงาน ชายหนุ่มจึงเสหยิบเอกสารฉบับบนสุดนั้นขึ้นมาดู และเมื่อหัวข้อบนหน้าปกเอกสารที่คล้ายรายงานฉบับนั้นปรากฏขึ้นต่อหน้าเขา มันทำให้วินต้องพลิกดูอย่างสนใจใคร่รู้

รายงานสรุปผลการสำรวจเพื่อการปิดกิจการโรงงานแม่ริม บริษัทกาแฟมิตรแท้จำกัด โดย สิปรางค์ สิริสาร

"แม้แต่รายงานของคุณสิปรางค์ฉบับนี้ก็จะทิ้งหรือครับ" ชายหนุ่มยื่นเอกสารในมือให้อดีตผู้จัดการโรงงานดู

"อ๋อ ฉบับนี้เป็นฉบับก๊อบปี้ที่คุณสิปรางค์เค้าส่งให้ผมอ่านตอนโน้น ตอนนี้มันก็ไม่มีประโยชน์อะไรแล้ว" คุณวิชิตพูดอย่างไม่สนใจนัก รายงานของหญิงสาวถูกเก็บรักษาอยู่ในไฟล์ระบบของบริษัทใหญ่อยู่แล้ว

"งั้นผมขอเอาไปอ่านได้ไหมครับ"

ก่อนหน้านี้วินแทบไม่เคยสนใจในด้านบัญชีของบริษัทเท่าไหร่ เขาต้องการแค่รับผิดชอบในส่วนเครื่องจักรของเขาให้ดีที่สุดก็เท่านั้น แต่หากชื่อของสิปรางค์บนหน้าปกและตัวบทสุดท้ายในรายงานฉบับนี้ทำให้เขาเกิดรู้สึกอยากจะอ่านเอกสารทางธุรกิจขึ้นมาบ้างทันที

บทที่ 10 บทสรุป ข้อเสนอแนะถึงทางเลือกหากไม่จำเป็นต้องปิดกิจการ…

บรรยากาศริมแม่น้ำปิงยามเย็นขณะนี้ทำให้ชายหนุ่มต่างวัยทั้งสองต่างรู้สึกผ่อนคลาย พวกเขานั่งกันอยู่ในร้านอาหารริมน้ำชื่อดังในตัวเมืองเชียงใหม่

"แล้วตอนนี้ช่างวินเป็นไงบ้างล่ะ" วิชิตถามคนตรงหน้าด้วยความอยากรู้ หลังจากโรงงานปิดเขาก็แทบจะไม่ได้เจอชายหนุ่มอีกเลย

"ก็เรื่อยๆครับ ช่วงนี้ก็ไปเล่นดนตรีที่ร้านเกือบทุกเย็น" ชายหนุ่มยิ้มน้อยๆ

"แล้วไม่คิดจะหางานใหม่หรือ" คนสูงวัยกว่าอดไม่ได้ที่จะต้องถามคำถามนี้

วินยกแก้วเบียร์ขึ้นมาจิบก่อนจะตอบผู้มีพระคุณอย่างไม่จริงจังนัก "ก็คงอีกสักพักล่ะครับ แต่คนเรียนน้อยอย่างผม ไม่รู้จะมีใครเค้ารับหรือเปล่า"

วิชิตมองชายหนุ่มเบื้องหน้าด้วยสายตาเอ็นดู หากวินตั้งใจสมัครงานที่ใหม่อย่างจริงจัง มีหรือที่จะไม่มีใครรับ ลำพังแค่จดหมายแนะนำจากอดีตผู้จัดการโรงงานที่เป็นที่รู้จักอย่างเขา บริษัททุกแห่งในเชียงใหม่ก็พร้อมจะอ้าแขนรับแล้ว

ผู้อาวุโสเคยคุยกับชายหนุ่มเรื่องนี้แล้วเมื่อครั้งโรงงานปิดใหม่ๆ แต่วินยังคงปฏิเสธ ดูอดีตนายช่างใหญ่ไม่เร่งรีบที่จะหางานทำใหม่เลย แต่วิชิตคิดว่าเขาเข้าใจชายหนุ่มดี สำหรับวินแล้ว งานคือชีวิต ถ้าลงมือทำแล้วก็คงต้องเต็มที่ นายช่างคนนี้คงไม่สามารถทำงานที่เขาไม่รักได้

"ผมต้องขอโทษด้วยนะ ที่ผมดูแลช่างวินได้ไม่ตลอดรอดฝั่ง พ่อช่างวินน่ะเค้าอุตส่าห์ฝากฝังช่างวินไว้กับผม"

วินมองผู้สูงวัยตรงหน้าด้วยความรู้สึกตื้นตันและขอบคุณ นับจากครั้งแรกที่ได้เจอกันผู้ใหญ่คนนี้มีแต่ความเมตตาให้เขาเสมอมา

คุณวิชิตเรียกเขาว่าช่างวินตั้งแต่เขายังเป็นเด็กตัวน้อย ทั้งๆที่ตอนนั้นเขาเป็นเพียงเด็กผู้ชายที่ไม่ได้เรื่องได้ราว แม้ในตอนแรกจะเป็นเพียงการเรียกแบบหยอกล้อ เพราะเขาได้เจอคุณวิชิตครั้งแรกตอนที่เขากำลังพยายามจะซ่อมรถของบิดา ซึ่งในตอนนั้นเขายังเป็นเด็กผู้ชายตัวเล็กนิดเดียว และนับจากวันแรกที่เข้าทำงานในโรงงาน คุณวิชิตก็เรียกเขาว่าช่างวินมาโดยตลอด คนคนนี้ได้เปิดโอกาสให้เด็กเกเรอย่างเขามีโอกาสเป็นผู้เป็นคนขึ้นมา

อดีตผู้จัดการโรงงานมองชายหนุ่มร่างสูงใบหน้าคร้ามแดดตรงหน้าด้วยความเข้าใจ เขาเห็นชายหนุ่มคนนี้มาแต่เด็กแต่เล็ก มีหลายครั้งที่เขาได้บังเอิญพบปะกับบิดาของวินบนไร่กาแฟบนดอย ทำให้เขามีโอกาสได้เจอเด็กชายตัวน้อยด้วย ไม่รู้ว่าเขาเห็นแววอะไรในตัวของเจ้าตัวน้อยคนนั้น ในเวลาต่อมาเขาจึงแนะนำให้เด็กน้อยเข้าเรียนต่อทางด้านช่างกลและได้ออกปากชวนให้มาทำงานด้วยกันที่โรงงาน และมันก็ทำให้เด็กชายดื้อรั้นเกเรในวันนั้น กลายมาเป็นหนึ่งในหัวเรี่ยวหัวแรงให้โรงงานของเขาในวันนี้

"ก็บอกแล้วให้ไปเรียนต่อ ช่างวินก็ไม่ยอม ผมบอกมาตลอดว่าช่างวินเป็นคนหัวดี ก็ไม่เชื่อผม นี่ขนาดไม่ได้จบปริญญานะ ยังอุตส่าห์เป็นหัวหน้าแผนกกะเค้าได้"

วิชิตหมายความอย่างที่พูดจริงๆ เขาไม่ได้ต้องการเพียงแค่จะให้กำลังใจแก่ชายหนุ่ม แต่ผู้อาวุโสรู้ว่าชายหนุ่มเป็นคนฉลาด สามารถเข้าใจอะไรต่างๆได้รวดเร็ว วินเป็นคนที่ขยันขันแข็ง แต่ในขณะเดียวกันก็มีความเป็นตัวของตัวเองสูงมาก วิชิตยังจำครั้งแรกที่เขาเจอชายหนุ่มได้ ภาพของเด็กชายตัวน้อยที่กำลังง่วนอยู่กับการพยายามซ่อมรถกระบะของบิดาอย่างตั้งอกตั้งใจยังจำติดตาวิชิตมาจนทุกวันนี้

บิดาของวินฝากฝังวินให้เข้าฝึกงานที่โรงงานตั้งแต่ตอนที่ชายหนุ่มยังเรียนปวช.อยู่ วิชิตเห็นแววความฉลาดของชายหนุ่มตั้งแต่ตอนฝึกงานนั้น ดังนั้นหลังจากชายหนุ่มจบปวช. วิชิตจึงบังคับให้ชายหนุ่มเรียนปวศ.ต่อทันที อันที่จริงเขาวางแผนที่จะให้ชายหนุ่มศึกษาต่อให้ได้สูงที่สุดด้วยซ้ำ แต่วินกลับปฏิเสธที่จะเข้ามหาวิทยาลัย ชายหนุ่มให้เหตุผลว่าไม่มีความจำเป็น และเขาไม่ชอบเข้าห้องเรียน

วิชิตรู้จักนิสัยนายช่างของเขาดี วินเป็นคนดื้อเงียบ การจะโน้มน้าวจิตใจของชายหนุ่มทำได้ไม่ง่ายเลย วินจะลงมือทำอะไรก็ต่อเมื่อมีใจต้องการจะทำจริงๆเท่านั้น ชายสูงวัยจึงปล่อยเลยตามเลยทั้งๆที่เขาเองก็นึกเสียดายมันสมองของชายหนุ่มอยู่ไม่น้อย

"ผมคงไม่เหมาะกับชีวิตในมหาลัยน่ะครับ"

วินนึกภาพตัวเองใส่ชุดนักศึกษาเดินไปมาในมหาวิทยาลัยไม่ออกเลยจริงๆ เขาไม่ชอบชีวิตที่จมอยู่กับตำรา ลำพังแค่ศึกษาให้จบปวศ.นั้นสำหรับเขาก็น่าเบื่อเต็มทนแล้ว นี่ถ้าไม่ติดการขอร้องแกมบังคับจากคุณวิชิต เขาก็คงไม่เข้าเรียนต่อปวศ.ตั้งแต่ทีแรก

"อันที่จริงผมก็มีความสุขกับการเล่นดนตรีไปเรื่อยๆ อย่างนี้แหละครับ"

ชายหนุ่มเป็นคนเช่นนี้เอง ไม่ได้คิดอะไรมากมายกับชีวิตนัก หากวันหนึ่งวันใดเกิดนึกอยากกลับเข้าไปทำงานประจำอีก เขาก็อาจลองหางานใหม่ดู ซึ่งวินเองก็ยังไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ เขาไม่ได้เดือดร้อนด้านการเงิน ตอนนี้รายได้จากการเล่นดนตรีก็พอสมควร เขาแทบไม่ต้องใช้จ่ายอะไร ส่วนใหญ่ก็เป็นแค่ค่าอาหารกับค่าน้ำมันรถมอเตอร์ไซค์ เหล้าก็ดื่มฟรีจากที่ผับ ส่วนบ้านก็มีเป็นของตัวเองอยู่แล้ว แถมยังตัวคนเดียวไม่มีภาระต้องรับผิดชอบหาเลี้ยงใคร

"มันก็น่าเสียดายคนที่มีฝีมืออย่างช่างวินอยู่นะ" วิชิตรู้ดีว่าเขาคงไม่อาจชักจูงใจชายหนุ่มไปมากกว่านี้ได้

"เสียดายที่โรงงานถูกปิดไปซะก่อน ไม่งั้นผมก็อยากจะให้ช่างวินดูแลโรงงานแทนผมต่อไปนะ"

วิชิตจ้องมองไปที่ชายหนุ่มตรงหน้า ความคิดนี้เขาไม่เคยเอ่ยกับใครมาก่อน

อดีตนายช่างหนุ่มตกใจเล็กน้อยกับสิ่งที่ผู้สูงวัยเอ่ยออกมา วินแทบไม่เชื่อหูตัวเองว่าคุณวิชิตจะเห็นคุณค่าในตัวเขามากขนาดนั้น ในขณะที่พ่อของเขาเบื่อและเหนื่อยหน่ายกับความประพฤติของเขาเต็มทน แต่คุณวิชิตกลับเป็นคนที่มองเห็นอะไรบางอย่างในตัวเขาและให้โอกาสเขา

"เรื่องของโรงงาน ผมพยายามแล้ว คุณสิปรางค์เค้าก็พยายามแล้ว แต่เราสู้โลกของทุนนิยมไม่ไหวจริงๆ"

ชื่อของสิปรางค์ถูกเอ่ยขึ้นมาอีกครั้ง วินมองคนตรงหน้าด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยคำถาม

พยายามงั้นหรือ พยายามอะไรกัน

"เด็กรุ่นใหม่ๆนี้เค้าเก่งๆกันทั้งนั้นนะ ผมล่ะนับถือคุณสิปรางค์จริงๆ เห็นตัวเล็กๆอย่างนั้นแต่ตั้งใจทำงานมากเลยนะ" วิชิตยังคงจ้องหน้าชายหนุ่ม

และเป็นอีกครั้งที่วินสังเกตเห็นว่าผู้มีพระคุณของเขาคนนี้คงกำลังพยายามจับความผิดปกติของท่าทีเขาเมื่อเอ่ยถึงหญิงสาวคนนั้น เขาจึงไม่พยายามสบตาคนตรงข้ามแล้วเสยกแก้วเบียร์ขึ้นดื่ม ชายสูงวัยจึงพูดต่อ

"เมื่อตอนต้นปี ผมกับคุณสิปรางค์ไปที่สำนักงานใหญ่ คุณสิปรางค์แกพยายามจะไปชี้แจงแนวทางกับผู้ถือหุ้นเพื่อไม่ให้โรงงานของเราต้องถูกปิด ผมเองก็นึกไม่ถึงว่าเค้าจะเป็นฝ่ายที่พยายามจะปกป้องโรงงานของเราขนาดนั้น แต่ก็อย่างที่ผมคิดนะ พวกผู้ถือหุ้นเค้าไม่มีใครสนใจหรอก ผมเห็นความพยายามของคุณสิปรางค์ในห้องประชุมแล้ว ก็สงสารนะ"

คราวนี้วินหันมาฟังอย่างตั้งใจ ทำไมสิปรางค์ไม่เห็นเล่าให้เขาฟังถึงเรื่องนี้

"คุณสิปรางค์เค้าบอกใครเรื่องนี้ไม่ได้หรอก มันเป็นความลับของบริษัท" วิชิตตอบคำถามแววตาช่างสงสัยนั่น

"ผมเองก็ต้องขอโทษช่างวินและทุกคนด้วยที่ไม่สามารถบอกพวกเราเรื่องนี้ได้ในตอนนั้น มีผม คุณสิปรางค์ และคุณณัฐเท่านั้นที่รู้จนวันสุดท้าย ช่างวินไม่รู้หรอกว่าพวกเราลำบากใจกับเรื่องนี้กันแค่ไหน"

ผู้สูงวัยถอนหายใจ นัยน์ตาแห้งผากเมื่อพูดถึงเรื่องนี้

"มันเป็นช่วงเวลาที่แย่ที่สุดในชีวิตผมตอนนั้นเลย"

วิชิตเหม่อมองไปทางแม่น้ำ ไม่ทันสังเกตว่าตอนนี้สายตาของอดีตนายช่างหนุ่มได้เปลี่ยนไป วินกำลังรู้สึกปั่นป่วนในใจอย่างบอกไม่ถูกเมื่อได้รับรู้ความจริง

"ที่คุณสิปรางค์มาในตอนแรกน่ะ เค้าได้รับมอบหมายให้มาดำเนินการปิดกิจการจริง แต่ไปๆมาๆ มาอยู่นี่นานเข้า ไม่รู้ทำไมเค้าเปลี่ยนใจ ไอ้ความคิดเรื่องจะทำยังไงให้โรงงานไม่ถูกปิดนี่มาจากคุณสิปรางค์ล้วนๆเลยนะ ผมเห็นเค้าพยายามเขียนรายงานใหม่ในช่วงเวลาสั้นๆนั้นแล้วก็นับถือใจเค้าจริงๆ"

"ทำไมผมไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อนเลย" วินพึมพำอย่างไม่เข้าใจ

"ผมไม่ได้คุยกับช่างวินถึงเรื่องนี้ตอนช่วงปิดโรงงานใหม่ๆ เพราะตอนนั้นคิดว่าไม่มีประโยชน์แล้ว ยังไงผู้ถือหุ้นก็ลงมติไปแล้ว และเรื่องราวมันก็เลยเถิดไปถึงเรื่องประท้วง แล้วก็เรื่องไฟไหม้ เรื่องช่างวุฒิ พวกเราก็มัวแต่ยุ่งๆกันไปหมด"

วิชิตมองสายตาน้อยใจคู่นั้นอย่างเห็นใจ เขาเองก็รู้สึกผิดไม่น้อยที่ในตอนนั้นไม่ได้พยายามอธิบายให้ชายหนุ่มได้ฟัง จังหวะนั้นเขามีหลายเรื่องให้ต้องคิดต้องทำ กว่าจะนึกขึ้นได้ว่าควรจะหาโอกาสคุยกับช่างวินเกี่ยวกับเรื่องของคุณสิปรางค์บ้าง เวลาก็ผ่านไปหลายเดือน…

คำบอกเล่าของคุณวิชิตที่ได้ยินในวันนี้ทำให้วินถึงกับนอนไม่หลับ สามเดือนที่ผ่านมาเป็นช่วงที่วันเวลาผ่านไปอย่างยากลำบากมากสำหรับเขา ความคิดถึงที่มีต่อหญิงสาวอันเป็นที่รักไม่ได้น้อยลงตามกาลเวลาที่ล่วงเลยไป หากกลับมากขึ้นเรื่อยๆเสียด้วยซ้ำ เวลาไม่ได้ช่วยเยียวยาเลย ชายหนุ่มยังคงมีภาพหญิงสาวตามมารบกวนจิตใจอยู่แทบจะตลอดเวลา

แม้วินพยายามจะคิดว่าเขาไม่ได้รอคอยให้มะปรางของเขากลับมา เพราะเรื่องของเขาและหล่อนมันจับลงโดยสิ้นเชิงแล้ว หากแต่ในบางวันเขายังอดไม่ได้ที่จะเดินไปที่รั้วไม้ไผ่นั้นโดยไม่รู้ตัว และเมื่อได้เห็นว่าเรือนพักหลังเล็กหลังนั้นมีผู้แวะเวียนมาอาศัยไม่ซ้ำหน้า วินจึงได้ตระหนักว่าหญิงสาวตัวเล็กหน้าใสแววตามุ่งมั่นคนนั้นได้จากเขาไปแล้วจริงๆ

หลังจากที่สิปรางค์กลับไปกรุงเทพ การติดต่อก็ห่างหายจากคนทั้งคู่ไปโดยสิ้นเชิง ชายหนุ่มใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับยานพาหนะคู่ใจโลดแล่นไปตามขุนเขาลูกแล้วลูกเล่า เขามีเต็นท์ติดท้ายรถไปด้วยสำหรับค้างคืนตามที่ต่างๆตามที่พอใจ หรือหากไม่ได้ออกจากบ้านไปไหน วินก็ได้แต่อาศัยดนตรีเป็นเครื่องบำบัดจิตใจ ภาพที่สมเพชรและลุงแปงเห็นเป็นประจำ ก็คืออดีตนายช่างหนุ่มนั่งฝึกซ้อมกีตาร์อยู่ที่ท่าน้ำเกือบจะทั้งวัน…

วินลุกขึ้นจากเตียงมาเปิดกระเป๋าสะพายคู่ใจ เขาล้วงเอารายงานที่หยิบติดมือมาจากที่บริษัทมานั่งอ่านตั้งแต่ต้นอย่างตั้งใจ

รายงานที่สิปรางค์เขียนทำเอาชายหนุ่มต้องนั่งครุ่นคิดอยู่พักใหญ่ มีข้อมูลชุดใหญ่ของโรงงานที่เขาไม่เคยได้รับรู้และไม่เคยได้สนใจมาก่อน ที่ผ่านๆมาเขาเพียงแค่สนใจในแค่ส่วนที่ต้องรับผิดชอบเท่านั้น อดีตนายช่างหนุ่มคนนี้ไม่เคยรู้เลยว่า คุณวิชิตต้องแบกรับภาระไว้มากเพียงใดในการที่จะทำให้โรงงานอยู่รอดในแต่ละปี

หากหญิงสาวคนนั้นได้ศึกษาข้อมูลทุกด้านของโรงงานอย่างละเอียด และในบทสรุปของรายงานมะปรางของเขาได้นำเสนอทางเลือกไว้หลายทางสำหรับอนาคตของโรงงานที่จะเป็นไปได้ และหนึ่งในหลายๆทางเลือกนั้นคือทางเลือกที่สามารถทำให้โรงงานมีกำไรที่มากขึ้นโดยไม่จำเป็นต้องปิดโรงงาน มีตั้งแต่การตัดขั้นตอนการผลิตบางส่วนออก การปรับปรุงเครื่องจักรบางชนิดให้ทันสมัยขึ้น การพัฒนาพื้นที่บางส่วนของโรงงาน หรือแม้กระทั่งการปลดคนงานบางส่วนออกเท่าที่จำเป็น

ภาพในช่วงเวลาท้ายๆที่หญิงสาวอยู่ที่นี่ผุดขึ้นมาในความทรงจำของชายหนุ่ม มิน่า มะปรางของเขาถึงต้องทำงานอย่างเคร่งเครียดถึงดึกดื่นเกือบทุกคืน เขาไม่แน่ใจว่าอาการปวดหัวของหล่อนเป็นผลมาจากการทำงานที่หนักเกินไปหรือเปล่า แล้วตอนนี้หญิงสาวเป็นอย่างไรบ้าง

วินรู้สึกผิดเอามากๆ เขาห่วงคนสวยคนนั้นขึ้นมาจับจิต ชายหนุ่มอยากจะขอโทษหล่อน อยากจะเจอหญิงสาวอีกสักครั้ง

แต่กระนั้นเมื่อนึกถึงความเป็นจริง ความสับสนในใจก็ยังมีอยู่ หากเขาได้เจอมะปรางของเขาอีกครั้ง ไม่แน่ว่ามันอาจจะยิ่งทำให้เขาเจ็บปวดมากไปกว่านี้ก็ได้…

ชายหนุ่มรู้ตัวดีมาตลอดว่าชีวิตของเขาและหล่อนแตกต่างกันอย่างยากที่จะมาบรรจบกัน วินยังนึกไม่ออกว่าเขาและคนสวยคนนั้นจะใช้ชีวิตร่วมกันได้อย่างไร ความรู้สึกอย่างนี้เคยเกิดขึ้นกับเขาแล้วครั้งหนึ่งยามเมื่อเขาหลงรักคุณแป้ง สาวไฮโซที่มาจากกรุงเทพคราวนั้น แล้วเหตุการณ์ซ้ำรอยเดิมก็ขึ้นอีกจนได้

วินพยายามสลัดความว้าวุ่นสันสนในใจนั่นออกไป เรื่องนั้นมันยังไม่สำคัญเท่าอีกเรื่องหนึ่งที่เขามีความกังวลในใจเสมอมา

มะปรางปวดหัวอีกบ้างหรือเปล่า แล้วไปให้หมอดูอาการบ้างหรือยังนะ…