ฝนที่ตกหนักยามเย็นหลังเลิกงาน ทำเอายวดยานพาหนะบนท้องถนนในเมืองกรุงแห่งนี้ไม่สามารถขยับเขยื้อนไปได้ไกลอย่างที่ใจผู้ขับขี่นึก สิปรางค์นั่งกอดพวงมาลัยรถพลางจ้องมองดูสายฝนที่ไหลกระทบกระจกหน้าของรถอย่างเบื่อหน่าย ข้างหน้าหญิงสาวคือตึกสูงระฟ้าที่แทรกแซมด้วยขบวนรถที่ติดสาหัสสากรรจ์มากกว่าวันปกติ
ฝนที่ยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดตกง่ายๆทำเอาสิปรางค์คิดถึงเชียงใหม่จับใจ ยิ่งช่วงเวลาใกล้พลบค่ำเช่นนี้ทำให้หล่อนยิ่งรู้สึกคิดถึงลานท่าน้ำที่บ้านสวนของใครคนหนึ่ง เขาเป็นอย่างไรบ้างหนอ คนที่นัยน์ตายิ้มได้คนนั้นจะหายโกรธหล่อนหรือยัง…
ตั้งแต่หญิงสาวกลับมากรุงเทพ หล่อนแทบไม่มีกะจิตกะใจจะไปทำงาน ความท้าทายในงานของหล่อนได้มลายหายไปหมดสิ้น สิปรางค์ไม่รู้ว่างานที่หล่อนกำลังทำอยู่นี้หล่อนทำไปเพื่ออะไร เพื่อเงิน เพื่อความสำเร็จในชีวิตงั้นหรือ แม้แต่งานปาร์ตี้หรูหราพบปะกับบรรดานักธุรกิจที่แสนจะชาญฉลาดซึ่งเดิมเคยเป็นสิ่งที่หล่อนเคยชื่นชอบ ก็ไม่ทำให้หญิงสาวกลับมาเป็นสิปรางค์คนเดิมได้ ช่วงเวลาแค่สามสี่เดือนที่เชียงใหม่มันทำให้หล่อนเปลี่ยนไปถึงเพียงนี้เชียวหรือ
ใบหน้าสวยมองไปที่ตึกคอนกรีตที่อยู่รายล้อมด้วยความรู้สึกเหงาขึ้นมาจับใจ เสียงเพลงจากวิทยุดังลอยขึ้นมาเหมือนจะมากลั่นแกล้งเพิ่มความเหงาให้หล่อน ตอนนี้ที่เชียงใหม่ฝนจะตกเหมือนกันไหมนะ…
สายฝนเม็ดใหญ่ที่โปรยปรายอยู่นั้นถูกลอบมองจากชายหนุ่มแววตาเศร้าสร้อยมาร่วมกว่าชั่วโมงแล้ว วินนั่งเหม่อมองไปทางท่าน้ำที่ว่างเปล่า นึกถึงวันที่มีใครคนหนึ่งนั่งฟังเขาร้องเพลงอย่างตั้งใจ
ชายหนุ่มนั่งสูบบุหรี่พิงเสาอยู่ที่ระเบียงบ้านอยู่อย่างนั้นตั้งแต่เย็น อาการไร้ชีวิตชีวาของเขาหนีไม่พ้นสายตาของทั้งลุงแปงและสมเพชร ทั้งคู่ยืนแอบมองเจ้าของบ้านซึ่งเปรียบเสมือนญาติสนิทด้วยความเป็นห่วงเป็นใย
"อ้ายวิน ปี้คนที่งามๆเขาจะบ่ปิ๊กมาแล้วกา"
สมเพชรเดินอย่างหงอยๆเข้ามาหาผู้เป็นเสมือนพี่ชาย เด็กชายปีนขึ้นไปนั่งบนตักของชายหนุ่ม วินหันไปขยี้บุหรี่ทิ้ง ก่อนจะเอื้อมมือไปกอดเด็กน้อยตัวอ้วนเอาไว้
"เขาก่อปิ๊กไปอยู่บ้านเขาก่า สมเพชรกึ๊ดเติงหาเขาก๋า"
"ปี้เขาใจดี งามโตย ผมว่าตอนปี้เขาอยู่ อ้ายวินยิ้มนักกว่านี้" เด็กน้อยช่างจำนรรจา
"โอย รู้ดีนะเราน่ะ" ชายหนุ่มแกล้งหยิกแก้มป่องทั้งสองข้างนั้น
"แล้วคุณวินบ่ได้คุยกะเปิ้นเลยก่า" ลุงแปงเข้ามายืนข้างๆเจ้าของบ้าน
ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าเจ้านายหนุ่มของเขากำลังคิดถึงหญิงสาวคนสวยๆช่างพูดคนนั้น ตอนที่หล่อนมาถามหาคุณวินก่อนจะกลับกรุงเทพเมื่อสามเดือนที่แล้ว คุณสิปรางค์ถือโอกาสร่ำลาเขาและสมเพชร แววตาที่โศกเศร้าของหญิงสาวในขณะนั้น ทำให้เขารู้ทันทีว่าจะต้องมีอีกคนแถวนี้ที่จะมีแววตาแบบนั้นตามมาแน่ๆ
"บ่รู้จะคุยอะหยัง เขาก่ออยู่ส่วนเขา เฮาก่ออยู่ส่วนเฮา" หนุ่มตัวสูงตอบมาด้วยนัยน์ตาเหม่อลอย
"อย่างน้อยเฮาก่อจะได้ฮู้ว่า เขาเป็นจะไดพ่อง" ลุงแปงยังคิดว่าการไถ่ถามสารทุกข์สุกดิบนั้นไม่น่าจะเสียหายตรงไหน
วินไม่ตอบ ชายหนุ่มเบือนหน้าไปยังท่าน้ำ กดคางของเขาลงบนหัวสมเพชร แล้วหนุ่มรูปหล่อกับเด็กตัวอ้วนก็พากันจ้องสายฝนอย่างเหงาๆ
ลุงแปงถอนหายใจ เป็นอันรู้กันว่าบทสนทนาคงจบลงแต่เพียงเท่านี้ ชายคนเก่าแก่ของบ้านสวนมองดูคนทั้งคู่อย่างเหนื่อยใจ หลังๆมานี้เจ้าเด็กตัวอ้วนชักจะทำท่าทางเหมือนลูกพี่ขึ้นทุกที…
"เนื่องในโอกาสต้อนรับการกลับมาของน้องสุดที่รักของเรา เอ้า ดื่มครับดื่ม"
เสียงของหนุ่มโต้งดังขึ้นมากลบเสียงดนตรีที่กำลังดังกระหึ่ม วงดื่มวงเดิมซึ่งประกอบด้วยวิน โต้ง อู๊ด และปัณณ์ ต่างหยิบแก้วของตนเองขึ้นมาชนกันที่กลางวง วินมองอดีตลูกน้องของเขาทีละคนอย่างคิดถึง
ความสัมพันธ์ของพวกเรายังคงอยู่
วันนี้ชาวคณะเดิมได้นัดเจอกันที่ผับที่ชายหนุ่มเล่นดนตรีอยู่เพื่อต้อนรับสมาชิกคนใหม่ของเมืองแห่งดอยสุเทพนี้ น้องปัณณ์ หนุ่มชาวกรุงผู้หลงรักสาวชาวเหนือ หนุ่มน้อยถึงกับขัดคำสั่งของครอบครัวดั้งด้นมาหางานทำถึงที่เชียงใหม่ตามที่ได้สัญญาไว้กับน้องเอื้องคำ
"นี่พี่ไม่คิดว่าน้องปัณณ์จะจริงจังขนาดนี้นะเนี่ย" ช่างอู๊ดแปลกใจว่าหนุ่มน้อยท่าทางเหนียมๆอย่างปัณณ์จะทำได้
"แหม่ อ้ายอู๊ด อย่าว่าจะอั้นจะอี๊เลย ตัวเก่าก็คือกั๋น ผมก่อบ่นึกว่าอ้ายจะสมหวังโตยเปิ้น"
มาอยู่เชียงใหม่ได้ไม่เท่าไหร่ หนุ่มปัณณ์ก็อู้คำเมืองป๋อเสียแล้ว เขาเองก็นึกไม่ถึงจริงๆว่าท้ายสุดแล้วช่างหนุ่มใหญ่คนนี้จะสมหวังในความรักกับคนสวยประจำโรงงาน
อดีตนายช่างไฟฟ้าประจำโรงงานยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ เขากำลังจะเป็นพ่อคนแล้ว กับหญิงสาวที่เขาแอบหลงรักมาตลอดหลายปี
"จะฮื้อละอ่อนจื้ออะหยังดี ปู้ชายแม่นก่อ" โต้งพยายามจะหาชื่อที่เหมาะสมไว้ให้หลาน
"อือม์ สุเทพ ดีก่อ" วินที่เงียบอยู่นานเสนอขึ้น
"โอย พี่วิน คิดมาได้ไงเนี่ย" หนุ่มปัณณ์ไม่ยอม ทำไมอดีตหัวหน้าเขาเชยอะไรจะปานนี้
"ก็มาจากดอยสุเทพไง" วินคิดว่าชื่อที่เขาเสนอเป็นชื่อที่มีความหมายดีมากแล้ว
"เอาชื่อฝรั่งๆหน่อยดีกว่า เดี๋ยวนี้เขากำลังฮิตแบบ น้องนอร์ทเทิร์น เป็นไง" ปัณณ์พยายามดึงเข้าโหมดทันสมัย
"อิหยังจื้อมันซับซ้อนขนาดนั้นวะ พอๆ กระผมได้คิดเอาไว้แล้วขอรับทุกท่าน กระผมจะเรียกบุตรชายของกระผมว่า น้องกาแฟ! เป็นไงล่ะคร้าบ" อู๊ดเอ่ยด้วยความภาคภูมิใจ เขานั่งคิดถึงชื่อนี้ตลอดเวลาหลายเดือนที่ผ่านมา
"ตัวมันดำก๋า จะไปฮ้องมันว่า กาแฟ น่ะ" โต้งสงสัย คนชื่อกาแฟน่าจะเป็นผิวคล้ำๆหน่อยถึงจะสมชื่อ แต่ดูแล้วลูกของทั้งช่างอู๊ดและราณีน่าจะเป็นเด็กผิวขาวอยู่
"อ่อ เขาพบรักกันเพราะกาแฟไง" วินพยายามหาเหตุผลให้อดีตลูกน้อง
สองคนนี้ไปจีบกันตอนไหนชายหนุ่มก็ไม่อาจรู้ได้ หลังจากโรงงานปิด วินก็พาน้องสาวต่างมารดาของเขากลับไปอยู่บ้านแม่เลี้ยงของเขาที่ลำพูน
เป็นครั้งแรกที่ชายหนุ่มนั่งลงพูดคุยกับทั้งสองคนแม่ลูกอย่างเต็มใจ แม่เลี้ยงของเขาร้องไห้เสียอกเสียใจด้วยความผิดหวังในตัวลูกสาว วินต้องเข้าช่วยห้ามอาการที่นางด่าทอตบตีลูกสาวไม่หยุด แม้เขาจะพยายามเกลี้ยกล่อมให้ราณีไปพูดเรื่องนี้กับณัฐ แต่หญิงสาวก็ไม่ยอมท่าเดียว
หลังจากนั้น ชายหนุ่มก็ไปเยี่ยมเยียนสองแม่ลูกอย่างสม่ำเสมอ แต่หลายครั้งที่วินไปเยี่ยมน้องสาว เขามักจะพบช่างอู๊ดอยู่ที่นั่นด้วย จนไม่นานมานี้ วินจึงได้รับรู้จากปากของอดีตลูกน้องเขาว่าราณีได้ยินยอมให้ช่างอู๊ดรับเป็นพ่อของเด็กในท้องแล้ว
โอเค คงหนีกันไม่พ้นจริงๆ อดีตลูกน้องเขาตอนนี้จะมาเป็นน้องเขยเสียแล้ว น้องเขยซึ่งเคยเป็นอดีตช่างไฟฟ้ามือหนึ่งประจำโรงงาน แต่เดี๋ยวนี้ได้ผันตัวเองมาเป็นผู้ทำลาบมือหนึ่งประจำอำเภอป่าซางจังหวัดลำพูน
"เดี๋ยวว่างๆ ผมจะไปขอชิมลาบที่ร้านพี่นะ"
ปัณณ์พยายามจะเรียนรู้วัฒนธรรมทางเหนือให้ได้มากที่สุด หนุ่มน้อยผู้บัดนี้จบการศึกษาและมีการมีงานทำเรียบร้อยต้องการแสดงให้เอื้องคำเห็นว่า เขาเข้ากับดินแดนแห่งนี้ได้ดีแค่ไหน
"ยินดีเลยครับคุณน้อง จะลาบหลู้ ลาบคั่ว ลาบดิบ บอกอ้ายอู๊ดคนนี้ ลำแต๊ลำว่าเลยครับ" ช่างไฟซึ่งเปลี่ยนมาเป็นช่างทำลาบกล่าวขึ้นด้วยความภาคภูมิใจ
ดูเหมือนว่าเหตุการณ์การปิดโรงงานครั้งนี้ทำให้เกิดทางเลือกใหม่ในชีวิตสำหรับใครหลายๆคน บางทีการถือโอกาสเปลี่ยนวิกฤตมาเป็นโอกาส ชีวิตมันก็ไม่ได้แย่เสมอไป
"แล้วโต้งลอ ขายของเป็นไดพ่อง" วินหันไปถามไถ่หนุ่มรุ่นน้องคนสนิท
เขาไม่ค่อยจะได้เจอโต้งบ่อยนัก เนื่องจากอาชีพใหม่ของอดีตนายช่างคู่ใจวินคือเป็นตัวแทนขายเครื่องจักรจากต่างประเทศ ทำให้โต้งต้องเดินทางไปมาข้ามจังหวัดอยู่เสมอๆ
"ก่อดีอ้าย อิดน่อย แต่ค่าคอมมิสชั่นมันก็นักอยู่"
โต้งพอใจงานใหม่ของเขาอยู่พอสมควร มันทำให้เขาได้พบปะผู้คนที่หลากหลาย ทักษะทางช่างที่มีอยู่ของเขาช่วยเรื่องงานใหม่ได้มากทีเดียว และแม้จะเป็นงานที่เหน็ดเหนื่อย แต่ค่านายหน้าที่ได้จากการขายก็ทำให้ครอบครัวของเขามีชีวิตที่สบายขึ้น
"เอ้อ ไอ่น้องปัณณ์ แล้วคุณสิปรางค์เปิ้นเป็นไดพ่อง เป็นญาติกันไม่ใช่เหรอ" อู๊ดนึกขึ้นได้ คนสำคัญอย่างสิปรางค์ป่านนี้จะเป็นอย่างไรบ้างหนอ
"ทำงานสำเร็จ โบนัสท่าจะงามอยู่เนาะ" โต้งทำหน้าเยาะๆ นอกจากสิปรางค์จะทำให้คนงานต้องลำบากแล้ว หล่อนยังทำให้ลูกพี่ของเขาต้องเสียใจอีก
"อ๋อ พี่ปรางลาออกจากบริษัทของเราแล้วนะพี่ ไม่รู้เกิดอะไรขึ้น พี่เค้าเพิ่งจะลาออกเมื่อเดือนที่แล้วนี่เอง"
ข่าวนี้นำความแปลกใจมาสู่อดีตนายช่างทั้งหลายรอบโต๊ะ
อะไรนะ สิปรางค์ลาออกหรือ
วินไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง
คนรักความก้าวหน้าในอาชีพการงานอย่างสิปรางค์น่ะหรือ
"แล้วตอนนี้คุณสิปรางค์เค้าทำอะไรอยู่เหรอ" วินกลั้นใจถามออกไป
"ไม่รู้เหมือนกันพี่ เหมือนว่าเค้าก็ไม่ได้ไปทำงานที่ใหม่นะ เห็นว่าพี่ป้องพยายามจะเสนองานที่โน่นที่นี่ให้เค้าก็ไม่เอา ส่วนบริษัทอสังหาของลุงปริญพ่อของเค้า พี่ปรางเค้าก็ไม่ไปเหมือนกัน"
ปัณณ์เองก็ยังงงๆกับการตัดสินใจของพี่สาว สิปรางค์ดูเหมือนจะไม่ค่อยอยากอธิบายอะไรให้คนในครอบครัวฟัง จู่ๆหญิงสาวก็หายเงียบไป แทบจะไม่ได้มาพบปะหรือออกงานสังคมกับครอบครัวเลย
"กะว่าเปิ้นเครียดวะ ก่อนโฮงงานปิด ดูแกหมองๆหม่นๆยังใดก่อบ่ฮู้" ช่างอู๊ดยังคงสงสัย
"ตอนนั้นพี่เค้าไม่ได้อยากจะปิดโรงงานเรานะครับ ตอนหลังๆนี่พี่เค้าทำงานหนักมากเพื่อช่วยพวกเรา แต่มันก็ไม่สำเร็จอะครับ เห็นว่าพวกผู้ถือหุ้นเขาไม่ยอม" ปัณณ์ยังคงเล่าต่อไป เขากลับกรุงเทพไปตั้งแต่ก่อนปีใหม่ เลยไม่รู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นที่โรงงานหลังจากนั้นบ้าง เรื่องผู้หุ้นนี้แม่เขาเป็นคนเล่าให้ฟังเอง
"แสดงว่าน้องปัณณ์ฮู้มาก่อนแล้ว ว่าโฮงงานเฮาจะถูกปิด" อู๊ดหันขวับมาทางหนุ่มน้อยอดีตเด็กฝึกงานในทันที
"ก่อ…ฮู้บ้าง" ปัณณ์หน้าจ๋อย สลับคำเมืองคำไทยมั่วไปหมด
"เฮาก็บ่อฮู้เนาะว่าเขามาทำหยัง หันเปิ้นทำงานหนักกู๊กคืน" ช่างอู๊ดรำพึงรำพัน สีหน้ารู้สึกผิดเมื่อได้รับรู้ว่าหญิงสาวเคยพยายามที่จะช่วยชีวิตโรงงานเขาเอาไว้
โต้งหันมามองหน้าลูกพี่อดีตนายช่างใหญ่ เหมือนจะพยายามคาดคั้นว่า วินรู้เรื่องนี้หรือไม่
"ก่อเพิ่งจะฮู้จากคุณวิชิตเหมือนก๋าน" ลูกพี่เอ่ยออกมาในที่สุด
วินรู้สึกคิดถึงหญิงสาวขึ้นมาอย่างจับใจ ความสับสนในใจเขาบรรเทาเบาบางลงบ้างแล้ว ความโกรธแค้นแทบจะหายเป็นปลิดทิ้ง อย่างไรก็ตามหล่อนได้เคยพยายามจะช่วยโรงงานของเขา แม้ว่ามันจะไม่สำเร็จก็ตามที
เขาคิดถึงหล่อนเหลือเกิน…
มะปราง ตอนนี้มะปรางอยู่ที่ไหน ทำอะไรอยู่ครับ…
คลื่นที่ซัดสาดมากระทบโขดหินกระเซ็นขึ้นมาเปียกขาของหญิงสาวโครมใหญ่ ทำเอาผู้กำลังนั่งทอดอารมณ์มองดูพระอาทิตย์ที่กำลังจะลาลับขอบฟ้านั้นสะดุ้งไปเล็กน้อย สิปรางค์กำลังนั่งกอดเข่าซบหน้าลงกับท่อนแขน ปล่อยให้ลมทะเลโลมไล้ผิวสวยของหล่อน
หญิงสาวบอกไม่ถูกเหมือนกันว่าตนเองกำลังคิดจะทำอะไรอยู่ หล่อนเพียงแค่ต้องการเวลาอยู่คนเดียวเงียบๆสักพัก
ชีวิตในกรุงเทพช่วงสองสามเดือนที่ผ่านมาทำให้หล่อนสับสน หล่อนไม่มีความสุขในการทำงานอีกต่อไปแล้ว เหมือนกับว่าสิ่งที่เกิดขึ้นที่เชียงใหม่มันทำลายความมั่นใจในตัวเองของหล่อนลง มันสั่นคลอนหลักการการดำเนินชีวิตของหญิงสาวไปโดยสิ้นเชิง ตัวตนแท้ๆของหล่อนเป็นยังไงกันแน่นะ
และที่สำคัญที่สุด… อาการปวดหัวยังตามมารบกวนอยู่บ่อยๆ และเริ่มหนักข้อขึ้นทุกวัน จนทำให้หญิงสาวต้องถอยออกมาจากทุกๆสิ่ง…
พระอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปแล้ว ทิ้งไว้เพียงแสงสีทองเรื่อๆที่ปลายขอบฟ้านั้น ความเงียบสงบเริ่มเข้ามาปกคลุม กลุ่มนักท่องเที่ยวได้อันตรธานหายไป หากหญิงสาวยังคงนั่งอยู่ที่เดิม หล่อนกำลังคิดถึงใครคนหนึ่ง คนที่หญิงสาวเคยคิดว่า เมื่อต่างคนต่างแยกย้าย และหล่อนกลับมาใช้ชีวิตเป็นปกติที่กรุงเทพแล้ว หล่อนจะลืมเขาได้
แต่ความเป็นจริงก็คือ สิปรางค์ไม่เคยลืมหนุ่มร่างสูงนัยน์ตายิ้มได้คนนั้นเลย หญิงสาวยังคงคิดถึงเขาทุกวัน คิดถึงเสียงเพลงของเขา คิดถึงเสียงหัวเราะเบาๆ คิดถึงน้ำเสียงที่แหบนิดๆ คำพูดที่ดูซื่อๆและจริงใจ หญิงสาวชอบมองท่าทางที่สบายๆของเขา
แม้วินจะเป็นผู้ชายที่ต่างไปจากผู้ชายส่วนใหญ่ที่หล่อนรู้จักคุ้นเคย แม้ชายหนุ่มจะการศึกษาด้อยกว่าเมื่อเทียบกับคนส่วนใหญ่ในสังคมของหล่อน แม้เขาจะไม่ได้แต่งกายด้วยเสื้อผ้าทันสมัยมีสไตล์ แม้เขาจะไม่ได้มีตำแหน่งหน้าที่การงานใหญ่โต หรือมีรสนิยมอันเลิศวิไล แต่วินก็มีบุคลิกบางอย่างที่ทำให้คนที่ได้อยู่ใกล้ชิดเขามีแต่ความอบอุ่นและสบายใจ แล้วความสบายใจนี้มิใช่หรือ ที่เป็นสิ่งที่ทุกคนต้องการ
สิปรางค์จ้องมองดูโทรศัพท์มือถือ อยากจะเรียกสายถึงชายหนุ่มใจจะขาด
แต่เอาเข้าจริงหญิงสาวก็ไม่รู้จะพูดอะไรกับเขา หล่อนควรจะบอกเขาไหมว่าหล่อนลาออกจากงานแล้ว แต่ดูท่าทางวินจะโกรธเอามาก เขาจะให้อภัยหล่อนได้ไหม ชายหนุ่มก็คงเหมือนทุกคนที่โรงงาน ทุกคนเกลียดหล่อน หญิงสาวทำให้ชีวิตของพวกเขาพังทลาย แล้วหล่อนยังจะกล้าสู้หน้าพวกเขาได้อย่างไร ความรู้สึกผิดนี้มันคงตามติดหล่อนไปชั่วชีวิต
และแล้วสิปรางค์ก็ตัดสินใจปิดโทรศัพท์ หญิงสาวต้องการคิดทบทวนอะไรเงียบๆคนเดียวสักพัก…
วินตัดสินใจหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา เขาอยากได้ยินเสียงของหญิงสาว อยากได้ยินคำถามเกรียนๆที่น่าหมันไส้จากคนสวยคนนั้น
คนเราจะสามารถรักคนคนหนึ่งซึ่งมีวิถีชีวิตแตกต่างจากเราได้จริงๆหรือ ชายหนุ่มก็ตอบตัวเองไม่ได้ว่าทำไมถึงได้รักหญิงสาวคนนี้ สิปรางค์ช่างดูแตกต่างจากเขาไปเสียทุกสิ่ง ทั้งการศึกษา ฐานะ การใช้ชีวิตและแนวความคิด เขารักหล่อนตรงไหนกันนะ
หรืออาจจะเพราะมะปรางของเขาเป็นคนมุ่งมั่น…
วินยังจำภาพนั้นได้ติดตา ภาพที่สิปรางค์คุกเข่าลงไปช่วยผายปอดให้ป้าฟองโดยที่ไม่ห่วงเรื่องภาพลักษณ์ ชายหนุ่มนึกไม่ถึงว่าคนรักสวยรักงามอย่างหล่อนจะทำได้ ภาพของหญิงสาวที่คนทั้งโรงงานมีก็คือคนสวยที่มีแต่ความเย่อหยิ่งและน่าหมันไส้
ชายหนุ่มกดหมายเลขโทรศัพท์ที่คุ้นเคย ใจเขาเต้นตึกตักยามที่เฝ้าคอยสัญญาณตอบรับ
"ไม่มีสัญญาณตอบรับจากเลขหมายที่ท่านเรียก"
คำตอบของสายปลายทางทำเอาชายหนุ่มผิดหวัง วินพยายามอยู่อีกสองสามครั้งก็ได้รับแต่คำตอบเดิม หรือหญิงสาวจะปิดโทรศัพท์ ขณะที่ชายหนุ่มกำลังจดๆจ้องๆหน้าจอเจ้าเครื่องสี่เหลี่ยมผืนผ้าในมือ พลันก็มีสายอื่นเรียกเข้ามา
"ว่าใดไอ่ไท" วินกรอกหูลงไปเมื่อเห็นชื่อที่ปรากฏบนหน้าจอ
ไท อาจารย์หนุ่มภาควิชาวิศวกรรมไฟฟ้า มช. เพื่อนรักเขาสมัยเรียนปวศ.นั่นเอง
"ว่างก่อ จะฮื้อช่วยหยังน่อย"
คำขอร้องจากเพื่อนของเขาเบี่ยงเบนความสนใจจากเรื่องของสิปรางค์ไป เป็นที่รู้กันว่าวินเป็นคนรักเพื่อนพ้อง ชายหนุ่มมีเวลาให้เพื่อนๆเสมอ เมื่อเพื่อนร้องขอความช่วยเหลือมา เขาก็พร้อมจะไปในทันที
และครั้งนี้ก็เช่นกัน…