บทที่ 2 : ครูคนนี้หล่อจังเลย
“น้องสาว นี่ครูของเธอ ครูหลิว” น้ำเสียงของอวิ๋นเฉียวแฝงไว้ด้วยแววหยอกล้อ
อวิ๋นตั่วมองครูของตัวเอง รูปร่างสูงกว่าพี่ชายของเธอเล็กน้อย เขาใส่เสื้อสีขาว กางเกงยีนส์สีน้ำเงิน ดวงตาเป็นประกายน่ามองอย่างที่เธอไม่เคยเห็นมาก่อน ครูคนนี้หล่อมากจริงๆ อวิ๋นตั่วแอบรู้สึกยินดีอยู่ในใจ
“ครูหลิว ขอเรียกว่าพี่ได้ไหมคะ”
“ไม่ได้” ครูหลิวปฏิเสธอออกมาย่างไร้เยื่อใย
อวิ๋นตั่วรู้สึกราวกับว่าถูกทำลายความมั่นใจ ด้วยเพราะเธอไม่เคยถูกปฏิเสธแบบนี้มาก่อน นัยน์ตาของเธอราวกับมีม่านหมอกมาปกคลุม
หลิวอวี่เจ๋อพูดอธิบายขึ้นด้วยความหงุดหงิด “เธอมีพี่แล้ว และฉันก็มาเป็นติวเตอร์ เคยมีคำกล่าวไว้ว่า ทุกคนต่างมีบทบาทของตัวเอง เคยได้ยินไหม”
อวิ๋นตั่วส่ายหน้า
อวี่เจ๋อพูดขึ้น “นำทางไปห้องเรียนเลย แล้วฉันจะบอกเธอเองว่า ทุกคนต่างมีบทบาทของตัวเอง คืออะไร”
ห้องสมุดที่อยู่ชั้นหนึ่งถูกนำมาใช้เป็นห้องเรียน หน้าต่างกระจกล้อมรอบเป็นครึ่งวงกลม ยื่นออกไปในบริเวณสนามหญ้า ทำให้แสงแดดสาดส่องผ่านเข้ามาถึงโต๊ะหนังสือจนรู้สึกแสบตา อวิ๋นเฉียวปรับกระจกจนแสงภายในห้องมืดลงเล็กน้อย
อวี่เจ๋อเดินไปตามชั้นหนังสือที่เรียงรายเป็นแถวยาว รู้สึกราวกับตัวเองตกลงมาในหุบเขาล้ำค่า
“หนังสือพวกนี้นายอ่านได้ตามสบาย มีลิมิเต็ดหลายเล่มเลย” นี่เป็นเงื่อนไขตั้งแต่แรกตอนที่อวิ๋นเฉียวขอให้เขามาเป็นครูสอนพิเศษ พอได้เห็นหนังสือเหล่านี้ อวี่เจ๋อก็รู้สึกว่าเป็นการเดินทางที่คุ้มค่าแล้ว
อวิ๋นตั่วนั่งลงประจำที่ มีหนังสือภาษาจีนวางอยู่บนโต๊ะเรียบร้อย
อวี่เจ๋อดึงหนังสือสามร้อยกวีสมัยถังออกมาหนึ่งเล่ม “วันนี้ฉันจะสอนเธออ่านบทกวี เลือกมาหนึ่งบทสิ”
อวิ๋นตั่วเปิดหนังสือ ก่อนจะยื่นมันกลับคืนให้อวี่เจ๋อ
เขาขมวดคิ้วยามก้มมอง บทกวีฉางก้านชิงของหลี่ไป๋
ยามเยาว์วัยผมข้าปรกหน้าผาก เล่นบุปผาหลายหลากอยู่หน้าบ้าน
เจ้าขี่ม้าไม้ไผ่มาพบพาน ช่วยข้าเก็บลูกพลัมรอบบ่อดิน
เด็กทั้งสองเติบโตเคียงข้างกัน ทุกคืนวันไร้ซึ่งความระแวง
เขาปิดหนังสือ แล้วยื่นส่งให้อวิ๋นตั่ว “บทนี้ยาวไป เปลี่ยนบทใหม่”
อวิ๋นตั่วยังคงแน่วแน่ เพื่อแก้แค้นที่อวี่เจ๋อปฏิเสธเธอเมื่อครู่ “ถ้าอย่างนั้นบทนี้”
เธอเปิดหนังสือกลับไปหน้าเดิม แล้วยื่นส่งกลับไปให้อวี่เจ๋อ
ก่อนหน้านี้อวิ๋นเฉียวได้เตือนเขาแล้วว่าน้องสาวนั้นถูกตามใจมาโดยตลอด และค่อนข้างที่จะเอาแต่ใจ
“กวีบทนี้ต้องใช้เวลานาน กว่าจะท่องเสร็จ วันนี้คงไม่มีเวลาทำอย่างอื่น เธอทำได้เหรอ”
อวิ๋นตั่วไม่คิดเลยว่าสุดท้ายแล้วคนที่ลำบากจะกลายเป็นตัวของเธอเอง แต่เธอนั้นก็ถือเป็นคนดื้อรั้นคนหนึ่ง “หนูทำได้”
อวิ๋นเฉียวเดินเข้ามาดูหนังสือหน้านั้น แล้วยิ้มออกมาอย่างเจ้าเล่ห์
“ตอนนี้เราเริ่มเรียนกันแล้ว” อวี่เจ๋อมองอวิ๋นเฉียว เป็นการไล่อย่างมีมารยา
เช่นนั้นอวิ๋นเฉียวก็ถอยออกไปอย่างรู้งาน
ในห้องสมุดจึงเหลือเพียงแต่อวิ๋นตั่วกับอวี่เจ๋อสองคน คนหนึ่งเป็นครู อีกคนเป็นนักเรียน ท่าทางเคร่งเครียดจริงจัง
อวี่เจ๋ออ่านวรรคหนึ่ง อวิ๋นตั่วก็อ่านวรรคหนึ่ง อ่านยังไม่ทันจบ จู่ๆ อวิ๋นตั่วก็หัวเราะออกมา “หนูรู้แล้ว บทกวีนี่เป็นเรื่องของคนสองคนที่โตมาด้วยกัน”
“เก่งมาก”
อวิ๋นตั่วแทบไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง “ครูบอกว่าหนูโง่มาก เป็นนักเรียนที่ไม่เคยสอบได้เกิน 27 คะแนนเลยสักครั้ง”
“เทียบกับครั้งก่อน เธอก้าวหน้าไปได้มากแล้ว”
อวิ๋นตั่วแปลกใจ “ครูรู้ได้ยังไงคะ”
“เป็นครู ก็ต้องเข้าใจนักเรียนของตัวเองอยู่แล้วสิ”
อวิ๋นตั่วหน้าแดง พร้อมๆ กับรู้สึกเกลียดพี่ชายตัวเองไปด้วย ต้องเป็นพี่ชายเธอแน่ๆ ที่เอาไปพูด
ก่อนหน้าที่จะสอบได้ 27 คะแนน เธอเคยสอบได้ 17 คะแนนมาก่อน คุณครูจะให้ผู้ปกครองเซ็นรับทราบ เธอก็เลยเอาโดนัทไปขอให้พี่ชายเซ็นแทน และห้ามไม่ให้เขาเอาไปบอกใคร
แย่แล้ว ! ในเมื่อพี่ไปบอกครูแบบนี้ หรือว่าพี่จะเอาไปบอกพ่อด้วย ?
อวิ๋นตั่วอ้าปากค้าง แผ่นหลังเย็นเยียบราวกับเพิ่งสะดุ้งตื่นจากฝันร้าย
ราวกับเขาอ่านความคิดของเธอออก อวี่เจ๋อจึงพูดปลอบขึ้นว่า “ไม่ต้องห่วงหรอก เขาบอกฉันแค่คนเดียว”
อวิ๋นตั่วยังคงไม่วางใจ “พี่ชายไม่เคยรักษาคำพูดเลยสักครั้ง”
ทันใดนั้นเธอก็นึกอะไรดีๆ ขึ้นมาได้ “อย่างนั้นครูก็บอกความลับของพี่ชายหนูมาสักข้อสิคะ แบบนี้หนูก็ไม่กลัวเขาแล้ว”
อวี่เจ๋อมองสาวน้อยตรงหน้า ฉลาดเจ้าเล่ห์แบบนี้ ใครบอกว่าเธอโง่กันนะ
อวิ๋นตั่วเห็นอวี่เจ๋อเงียบไป เช่นนั้นถึงได้พูดกระตุ้นเขาอีกครั้ง “ได้ไหมคะ”
“ไม่ได้ ฉันไม่ใช่พวกผู้หญิงที่ชอบซุบซิบนินทานะ”
อวิ๋นตั่วรู้สึกผิดหวังเป็นอย่างมาก ครูคนนี้พูดด้วยยากชะมัดเลย