บทที่ 1 : 27 คะแนน
อวิ๋นอี้ฟานหยิบกระดาษข้อสอบขึ้นมาดูซ้ำไปซ้ำมาหลายสิบครั้งด้วยความไม่อยากเชื่อ บนกระดาษมีตัวเลข 27 เขียนเอาไว้อย่างชัดเจน
“27 คะแนนเหรอ”
เขามองเด็กสาวตัวเล็กที่นั่งอยู่ตรงหน้าด้วยความปวดใจ
ตาโตๆ ของเธอกระพริบปริบๆ ผิวขาวราวหิมะแดงระเรื่อ คล้ายกับตระหนักได้ว่านี่ไม่ใช่เรื่องที่ดีสักเท่าไหร่นัก
“หนูไม่ได้ตั้งใจ”
“ถ้าเธอตั้งใจมันก็คงออกมาดีแล้วล่ะ !”
อวิ๋นเฉียวหลุดหัวเราะออกมา น้องสาวที่สอบได้ 27 คะแนน ทำให้เขาเกิดความรู้สึกที่เหนือกว่าขึ้นมา
“27 คะแนน เธอทำได้ยังไง”
แม้อวิ๋นตั่วจะอายุยังน้อย แต่เธอก็ฟังน้ำเสียงที่ยินดีในความโชคร้ายของพี่ชายออก ดังนั้นเธอจึงจ้องพี่ชายเขม็ง
อวี๋ชูยินช่วยพูดกู้หน้าให้ลูกสาว “27 คะแนนก็ 27 คะแนนแหละนะ ถึงอย่างไรครอบครัวของเราก็ไม่ได้อยากให้ลูกเรียนได้โดดเด่นกว่าใครอะไรนักหนาอยู่แล้ว”
ถึงแม้จะพูดแบบนั้น แต่เธอยังเด็กอยู่แท้ๆ สอบได้ 27 คะแนน มันดูไม่ค่อยสมเหตุสมผลเลยสักนิด
“ถ้าอย่างนั้นเราก็หาครูสอนพิเศษให้ตั่วเอ๋อร์ดีไหม” อวิ๋นอี้ฟานแนะนำ
อวี๋ชูยินคัดค้านขึ้นมาอย่างทันที “ฉันไม่เห็นด้วยกับการให้ครูมาสอนพิเศษเด็กเลยสักนิด เรื่องเรียนมันเป็นเรื่องของที่โรงเรียน อยู่บ้านก็ควรจะได้ซึมซับความรักความอบอุ่นของครอบครัวสิ”
อวิ๋นอี้ฟานรู้สึกว่าภรรยาพูดจามีเหตุผล
แต่เหตุผลของอวี๋ชูยินนั้นก็เปลี่ยนแปลงได้เสมอ วันต่อมา เธอก็ตัดสินใจที่จะเชิญครูสอนพิเศษมาสอนให้อวิ๋นตั่ว สาเหตุก็เนื่องมาจาก สือเหยียนลูกสาวของจ้าวเยว่นั้นสอบได้ 100 คะแนนเต็ม
อวี๋ชูยินกับจ้าวเยว่นั้นเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน เกิดวันเดียวกัน เดือนเดียวกัน ปีเดียวกัน เพราะอย่างนั้นจึงยากที่จะหลีกเลี่ยงการถูกเปรียบเทียบ วันนี้มีคนบอกว่าจ้าวเยว่หน้าตาดี พรุ่งนี้ก็มีคนชมว่าชูยินหน้าตาสะสวย จ้าวเยว่สอบวิชาคณิตศาสตร์ได้ 100 คะแนน ชูยินสอบวิชาภาษาจีนได้ที่หนึ่ง จ้าวเยว่แต่งงานกับอัจฉริยะในวงการการศึกษา ชูยินแต่งงานกับตำนานแห่งวงการธุรกิจ ชูยินไม่เคยแพ้......
และเห็นได้ชัดว่าครั้งนี้เธอแพ้อย่างราบคาบ แบบนี้จะให้เธอเอาหน้าไปไว้ที่ไหนกัน !
“หาครูสอนพิเศษมาให้อวิ๋นตั่ว เลือกครูที่ดีที่สุด” ชูยินออกคำสั่งอย่างเด็ดขาด
อวิ๋นเฉียวมองน้องสาวแล้วเอ่ยขึ้น “ครูที่ดีที่สุดก็อยู่ที่โรงเรียนของน้องอย่างไรล่ะครับ ครูที่สอนเด็กให้สอบได้ 27 คะแนนน่ะ”
อวิ๋นตั่วแลบลิ้นปลิ้นตาใส่อวิ๋นเฉียว ยังไม่ถึงหนึ่งวัน ความรู้สึกอับอายจากคะแนนสอบ 27 คะแนนก็เลือนหายไปจนหมดแล้ว
“ถ้าอย่างนั้นจะเอายังไงดี” ชูอินเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง
เช่นนั้นอวิ๋นเฉียวก็ออกความเห็น “ครูดีๆ มีประสบการณ์ก็คงอยู่ตัวไม่ได้ต้องการความก้าวหน้าอะไรอีกแล้ว เราหาทางอื่นไม่ดีกว่าเหรอครับ เพื่อนผมมีนักเรียนคนหนึ่ง ถือว่าเป็นอัจฉริยะในอัจฉริยะเลยก็ว่าได้ พูดจากระชับเข้าประเด็น ต้องเป็นครูที่ดีแน่ๆ”
ชูยินลังเล “นักเรียนม.ปลายอย่างนั้นเหรอ”
“แค่มาเป็นติวเตอร์ให้น้อง ม.ปลายก็เหลือเฟือแล้วครับ”
อวิ๋นอี้ฟานพยักหน้า “ลองดูก็ไม่เสียหายนี่”
อวิ๋นตั่วรู้สึกหวาดหวั่นขึ้นมา ถึงแม้เธอจะอายุยังน้อย แต่เธอก็รู้ว่ากลุ่มเพื่อนนั้นมักจะมีนิสัยที่เหมือนกัน แล้วแบบนี้เพื่อนของพี่ชายจะมีคนดีๆ อยู่ด้วยเหรอ
ในตอนที่อวิ๋นตั่วเอ่ยถามออกมาเสียงเบานั้น พี่ชายของเธอกำลังเล่นเกมอยู่ “เพื่อนพี่เป็นคนอารมณ์ดีหรือเปล่า”
คนเป็นพี่นิ่งคิดจริงจังอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยออกมาตามจริง “ไม่ค่อยดี พวกอัจฉริยะก็อารมณ์ไม่ดีกันทั้งนั้นแหละ !”
อวิ๋นตั่วรู้สึกเหมือนลำไส้ของเธอกำลังบิดมวน “เขาชอบมีเรื่องหรือเปล่า”
“ผู้ชายไม่ลงมือกับผู้หญิงหรอกนะ”
อวิ๋นตั่วถอนหายใจออกมาเล็กน้อย “ชอบกินโดนัทไหม”
พี่ชายพยายามนึกอยู่ครู่หนึ่ง “โดนัทที่พี่เอาไปคราวก่อนก็ดูเหมือนเขาจะกินด้วยเหมือนกันนะ”
อวิ๋นตั่วชะงักค้างไป มีคนแย่งโดนัทเธออีกคนแล้วสินะ !
อวิ๋นเฉียวเมื่อเห็นท่าทางของน้องสาวแล้วก็รู้สึกตลกขึ้นมา “ไม่เป็นไรหรอกน่า ต่อไปก็ให้แม่หลิวซื้อมาเยอะอีกหน่อยสิ”
อวิ๋นตั่วรู้ดีว่าต่อให้ซื้อมาเยอะกว่านี้เธอก็ไม่ได้กินเองหรอก คราวก่อนอวิ๋นเฉียวมาแย่งโดนัทเธอไป บอกว่าอีกสามวันจะซื้อคืนให้เธอหกชิ้น แต่นี่ผ่านมาไม่รู้กี่สามวันแล้ว แต่เธอก็ยังไม่ได้คืนสักที พอไปถาม เขาก็บอก “น้องสาว พี่หวังดีกับเธอนะ ดูเธอสิ อ้วนอย่างกับอะไรแล้วเนี่ย !”
อวิ๋นตั่วอ้วนจริงๆ นั่นแหละ แต่ถึงจะอ้วน เธอก็ยังน่ารักอยู่ดี ผิวของเธอขาวราวกับหิมะ ผมดำขลับคาดที่คาดผมเป็นประกายวิบวับ
ตอนที่หลิวอวี่เจ๋อเจอเธอ เธอยืนอยู่บันไดหินอ่อน สวมชุดกระโปรงสีขาว ราวกับเจ้าหญิงที่ออกมาจากหนังสือนิทานแสนหวาน