พวกเราเรียนรู้อยู่ที่มหาลัย เรียน 5 วัน หยุด 2 วัน วันหยุดของเราก็จะหมดไปกับการนั่งเล่นนั่งคุยกัน เล่าเรื่องต่างๆ ของกันและกัน เมฆาบ่นตลอดว่าที่นี่ไม่มีสัญญาณอินเทอร์เน็ต ซึ่งแน่นอนว่าผมไม่รู้จักว่าอินเทอร์เน็ตคืออะไร พวกเพื่อนๆ ต้องช่วยกันอธิบายอยู่พักใหญ่
พวกเราสนิทกันมากขึ้น จะมีแค่สายหมอกที่ไม่ค่อยเล่าเรื่องของตัวเองมากนัก แต่เขาก็พูดมากขึ้นกว่าตอนที่เจอกันครั้งแรก
และแน่นอนว่า เราไม่เคยได้ออกจากมหาลัย หรือติดต่อคนที่อยู่นอกมหาลัยเลย...
ผ่านไป 3 เดือน
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว เราได้เรียนพื้นฐานของอาคมมากมาย ซึ่งอาคมแต่ละชนิดก็แตกต่างกันออกไป ตามความถนัดหรือพรสวรรค์ของแต่ละคน
ซึ่งวันนี้เป็นวันที่พวกเราจะต้องแยกย้ายกันไปเรียนตามความถนัด
ผมได้เรียนสาขาวิญญาณวิทยา อาจารย์น้ำค้างสอนผมเกี่ยวกับการเรียกวิญญาณของเหล่าสัตว์มาสถิตที่ตุ๊กตา เรียนรู้เทคนิคการใช้วิญญาณต่างๆ
เมฆาได้เรียนวิชาอาคมสักยันต์ อาจเป็นเพราะเขาเป็นน้องของพี่วายุ ศิลปะการต่อสู้มือเปล่าของเขาเก่งมาก ยิ่งตอนนี้เขามีมหาอุดทำให้ผมมั่นใจว่าเขาสามารถสู้กับพวกโจรป่าด้วยมือเปล่าแบบสบายๆ
ลำธาร ได้เรียนวิชาควบคุมจิต ตลอดเวลาที่ผ่านมาผมได้รู้จักเพื่อนๆ มากขึ้น ได้รู้ว่าลำธารไม่ได้เป็นโรคสองบุคลิก แต่เธอมีอีกวิญญาณอยู่ในตัวเธอ เธอต้องเรียนรู้วิธีควบคุมวิญญาณนั้นจากอาจารย์ภูมิ (ซึ่งเรียนกับแกมีแค่อย่างเดียวคือนั่งสมาธิ)
บุปผา เธอมีพรสวรรค์ด้านอาคมรักษา ถอนของ หรือแม้กระทั่งการใช้มนต์สะกดต่างๆ เพราะเธอเป็นลูกสาวของหมอธรรมชื่อดังคนหนึ่งทางภาคอีสาน เธอบอกว่าเธอคลุกคลีกับอาคมพวกนี้มาตั้งแต่เด็ก
และคนสุดท้าย สายหมอก ตอนนี้เขาเข้ากับเพื่อนได้มากขึ้น คุยกับเพื่อนมากขึ้น สาขาที่เขาไปเรียนคือวิชาโหร ซึ่งคนสอนคือคุณตาอธิการบดี พี่วายุบอกว่าวิชาโหรต้องเป็นผู้มีเชื้อสายโหรเท่านั้นถึงจะเรียนได้ มันเป็นวิชาเฉพาะ และตอนนี้โหรที่ยังอยู่ในโลกเบื้องหลังเหลือแค่ไม่กี่คน
เวลาแห่งการเรียนรู้โลกเบื้องหลังผ่านไปอย่างรวดเร็ว พวกเราเรียนรู้การใช้อาคมต่างๆ มากขึ้น ตอนนี้ผมสามารถเรียกเหล่าสัตว์ออกมาช่วยเหลือโดยไม่ต้องใช้ตุ๊กตาดินเหนียว ใช้แค่วัตถุธรรมชาติ เช่น ก้อนหิน ใบไม้ หรืออะไรก็ตามที่เป็นวัสดุธรรมชาติ
อาจารย์น้ำค้างบอกว่ามีแค่ผมคนเดียวที่ทำแบบนี้ได้ เพราะวิญญาณที่ผมใช้คือวิญญาณของสัตว์ ไม่ใช่วิญญาณมนุษย์ จึงไม่ต้องใช้ตุ๊กตาที่ลงอักขระอาคม แต่การไม่ใช้ตุ๊กตาลงอาคมก็ทำให้เหนื่อยและต้องใช้สมาธิเป็นสองเท่า เปรียบเทียบง่ายๆ ถ้าวิญญาณของสัตว์เป็นน้ำ พวกสิ่งของธรรมชาติก็เหมือนขวดน้ำที่ใส่น้ำลงไปได้แต่จะใส่ยาก ต้องใช้สมาธิในการเล็งให้น้ำตรงกับปากขวด แต่ถ้าเป็นตุ๊กตาลงอักขระ ก็เหมือนกันขวดน้ำที่ตัดปากขวดแล้ว สามารถเทน้ำลงไปได้ง่ายขึ้นเพราะปากขวดกว้างกว่า
เพื่อนๆ เองก็พัฒนาขึ้นมาก แต่เพราะเราแยกกันเรียน จะเจอกันอีกทีก็หลังเลิกเรียน ผมจึงไม่ค่อยรู้ว่าตอนนี้เพื่อนๆ เก่งกันแค่ไหนแล้ว ผมรู้แค่ว่า เมฆาตอนนี้มีรอยสักเต็มแผ่นหลังแล้ว...
เวลาผ่านไป 6 เดือน
เราอยู่ที่มหาลัยแห่งนี้มา 6 เดือนแล้ว วันนี้เป็นวันแรกที่มีคำสั่งให้นิสิตทุกคนไปรวมตัวกันที่ลานสนามหน้ามหาลัย
เป็นครั้งแรกที่ผมได้เห็นรุ่นพี่ ปี2 พวกเขามีกัน 3 คน ปกติปี2 จะได้ออกไปฝึกงานในสถานที่จริง แต่วันนี้ทุกคนมารวมตัวกันอยู่ที่นี่
ทางมหาลัยให้พวกเราอยู่ที่นี่ทั้งคืนจนกว่าจะเช้า มันดูมีอะไรแปลกๆ ดูเหมือนพวกเจ้าหน้าที่ ที่เป็นมนุษย์ปกติ จะไม่ได้อยู่ที่เกาะนี้
พวกอาจารย์เองก็ดูเครียดกันมาก ตอนนี้บรรยากาศภายในมหาลัยเงียบสงบ ราวกับทั้งมหาลัยมีแค่พวกเราที่อยู่ตรงนี้
อาจารย์น้ำค้าง ในชุดเดรสสีขาวแขนกุด ผมยาวสีดำถูกมัดรวบตึง ข้างๆ เธอมีโหงพรายสองตนยืนอยู่
ตนหนึ่งเป็นผู้ชายใส่กางเกงยีนขาสั้น ไม่ใส่เสื้อ รูปร่างกำยำ สูงใหญ่พอๆ กับเจ้าผีไฟไหม้ที่เคยมาไล่ล่าผม ดวงตาสีขาวไร้ชีวิต ผมสั้นสกินเฮด โครงหน้าคมเข้มแบบไทย ในมือถือดาบโบราณ 2 เล่ม มือซ้ายและมือขวา
ส่วนอีกตนเป็นผู้หญิง มาในชุดรัดรูปเต็มตัว ผมสั้นประบ่า ใบหน้าจริงจัง ปากสีแดงสดให้ความรู้สึกร้อนแรง แว๊ปแรกผมแอบคิดว่าโหงพรายตนนี้คือ เจ้าหน้าที่โรมานอฟ ในอเวนเจอร์ (เป็นภาพยนตร์เรื่องโปรดของเมฆา เขาเปิดดูเกิน 5 รอบแล้ว)
พี่วายุก็เช่นกันตอนนี้เขาถอดเสื้อ เผยให้เห็นรอยสักลิงลมอย่างชัดเจน และนอกจากนั้นก็ยังมีรอยสักอักขระอื่นๆ ที่ผมไม่รู้จักอีกมากมาย เขาใส่กางเกงวอร์มขาสั้น ทำให้เขาดูเหมือนนักฟุตบอลที่ถอดเสื้อเพื่อโชว์สาวๆ ข้างสนาม
อาจารย์ภูมิ แกเป็นอาจารย์ที่สอนการควบคุมจิต (คนที่ให้นั่งสมาธิทั้งวันนั่นแหละครับ) อาจารย์เป็นคนรูปร่างสันทัดตัวไม่สูงมาก ใบหน้าเรียวเล็ก ปากบางสีชมพู ดวงตากลมโต บุปผาบอกว่าอาจารย์หน้าหวาน ถ้าแกไว้ผมยาวอาจจะสวยกว่าอาจารย์น้ำค้างด้วยซ้ำ
อาจารย์ภูมิมาในเครื่องแบบของอาจารย์เต็มยศ คือใส่สูทสีดำ เสื้อเชิ้ตด้านในสีขาวปลดกระดุมบน เผยให้เห็นอกขาว ตอนนี้อาจารย์อยู่ในท่านั่งสมาธิหลับตาปากของแกท่องอาคมไม่หยุด มีเทียนสีขาวจุดไฟตั้งอยู่รอบตัวแก
พวกเรามองเห็นจิตที่แผ่ออกมาจากตัวของอาจารย์อย่างชัดเจน มันเหมือนกับออร่าสีขาวที่แผ่ออกมาปกคลุมตัวอาจารย์
และอาจารย์คนสุดท้ายอาจารย์ภัทร เป็นอาจารย์ที่สอนอาคมรักษาและถอนคุณไสยให้กับบุบผา อาจารย์ภัทรเป็นผู้ชายที่ดูอ่อนโยน
เวลายิ้มที ทั้งบุพผาและลำธารเขินกันตัวบิดไปมา วันนี้อาจารย์มาในเสื้อเชิ๊ตสีขาวกางเกงสแล็คสีดำขายาว รองเท้าหนัง ในมือมีสายสิญจน์สีขาวอยู่ 1 ม้วน
"มีอะไรกันเหรอครับอาจารย์" ผมเดินไปถามอาจารย์น้ำค้าง
"วันนี้เป็นวันนรกเปิดน่ะสิ"