webnovel

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

เหมียวอี้ เด็กหนุ่มธรรมดาแต่มีโชคชะตาที่ไม่ธรรมดา! เขาคือเด็กกำพร้าที่ถูกเพื่อนบ้านตราหน้าว่าเป็น 'ตัวหายนะ' เพราะพ่อแม่บุญธรรมที่รับเลี้ยงเขาล้วนมีจุดจบอยู่ในกองเพลิงทั้งสิ้น เขาจึงต้องเติบโตมากับน้องๆ ต่างสายเลือดอีกสองคนตามลำพัง ไร้เงิน ไร้อำนาจ ไร้ความสามารถ ซ้ำยังเป็นตัวซวย โลกนี้มันช่างอยู่ยากเสียจริง! หนทางที่จะลบคำครหาของชาวบ้านและก้าวพ้นชีวิตที่ยากไร้ไปได้ก็คือการสำเร็จเป็นเซียน แม้ความปรารถนาจะอยู่สูงเกินเอื้อม แต่เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่น ถึงจะลำบากและอันตรายเพียงใด ก็ขอทะยานไปให้สุดขอบฟ้า!

เยวี่ยเชียนโฉว · Huyền huyễn
Không đủ số lượng người đọc
1151 Chs

042 มีก้างขวางคอ (1)

บทที่ 42 มีก้างขวางคอ (1)

ฉินเวยเวยหน้าบูดบึ้งขึ้นมา อยากระเบิดอารมณ์โกรธจริงๆ แต่ก็ยังอดกลั้นไว้ได้ เพราะนางดูออกว่าเหมียวอี้พูดประจบบออกมาส่งเดช ถ้าไปคิดเป็นจริงเป็นจัง ก็เท่ากับโดนเหมียวอี้ลามปามแล้วจริงๆ

นางเชิดใส่อย่างเย็นชา ทำหน้าตึงแล้วควบอาชามังกรออกไปอย่างรวดเร็ว

เหมียวอี้สบตากับเหยียนซิวด้วยสีหน้าเหมือนคนมีความผิดติดตัว คนข้างหลังชูนิ้วโป้งขึ้นมาเป็นสัญญาณแทนคำพูดว่า 'เจ้าช่างกล้าหาญที่กล้าทะลึ่งลามปามใส่ฉินเวยเวย'

คนข้างหน้าหดคอลง สีหน้าอับอาย ไม่รู้ว่าตัวเองกลายเป็นคนต่ำตมแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไร ไม่น่าเชื่อว่าจะเอ่ยคำพูดหยาบคายแบบนี้ออกมา

ทั้งสองคนรีบควบอาชามังกรวิ่งตามกระโปรงสีขาวที่สะบัดโบกอยู่ใต้แสงจันทร์นั้นไป…

พอพวกเขากลับถึงถ้ำคล้อยบูรพา ก็ติดตามหยางชิ่งที่เคลื่อนกำลังพลมุ่งสู่จวนหนานเสวียนต่อในคืนนั้นทันที ที่นั่นต่างหากล่ะที่หยางชิ่งต้องการจะนั่งบัญชาการ…

เมืองหนานเสวียน เป็นเมืองใหญ่ที่มีจำนวนสาวกกว่าหนึ่งล้านคน เป็นครั้งแรกที่เหมียวอี้ได้เห็นเมืองที่ใหญ่ขนาดนี้ จนตกตะลึงในความเจริญรุ่งเรืองของที่นี่ เขากับเหยียนซิวปลอมตัวเป็นคนธรรมดาเดินเตร็ดเตร่อยู่ตามถนนหลายวัน เพื่อสังเกตการณ์ธรรมเนียมในท้องที่และดื่มด่ำกับอาหารเลิศรส

แน่นอนว่าพวกเขาไม่ได้มาเที่ยวเล่นอย่างเดียว ล้วนถูกส่งออกมาลาดตระเวนอย่างลับๆ ดูว่ามีลูกสมุนที่เหลือรอดของหลูอวี้มาก่อเรื่องหรือไม่ รับประกันความสงบสุขของสาวกในอาณาเขตคือเรื่องสำคัญ ไม่เช่นนั้น หากเมื่องที่มีประชากรหนึ่งล้านกว่าคนนี้เกิดวุ่นวายขึ้นมา จะมีผลกระทบใหญ่มากต่อการเก็บรวบรวมลูกแก้วพลังปรารถนา

สาวกของเมืองนี้มีจำนวนเกือบเท่าสาวกของเขาเส้าไท่ที่หยางชิ่งดูแลในปีนั้น นี่ยังไม่รวมภูเขาอื่นๆ อีกสิบลูกนะ…

ปัจจุบันเมืองนี้ได้กลายเป็นอาณาเขตสิทธิ์ขาดของประมุขหยางชิ่งแห่งจวนหนานเสวียนแล้ว อาณาเขตของภูเขาอื่นๆ อีกสิบลูกก็ต้องแบ่งมอบเป็นรางวัลไปตามผลงาน แต่ทั้งหมดก็เป็นอาณาเขตของเขาอยู่ดี มีแค่เมืองหนานเสวียนที่หยางชิ่งดูแลโดยตรง

ด้วยเหตุนี้ หยางชิ่งย่อมให้ความสำคัญต่อการปกครองของหัวเมืองนี้มากเป็นธรรมดา ไม่ใช่แค่ส่งนักพรตจำนวนมากลงมาตรวจตราทั้งแบบเปิดเผยและแบบลับ ขณะเดียวกันก็เรียกพบขุนนางท้องถิ่นเพื่อประกาศความผิดของหลูอวี้ให้รับรู้ บอกว่าตนได้รับคำสั่งให้ปราบปราม และได้ตัดหัวกบฏหลูอวี้ไปแล้ว

แน่นอน หลังจากขู่ไปแล้ว ก็ต้องมีคำพูดปลอบใจด้วย อย่างไรเสียนักพรตใต้บัญชาของหยางชิ่งก็ฝึกตนฝนเป็นหลัก จะเอาเวลาที่ไหนไปเน้นเรื่องกิจการท้องถิ่น คนที่เก็บตัวฝึกตนฝนบ่อยก็ไม่มีประสบการณ์นั้นเช่นกัน ยิ่งทำจะยิ่งวุ่นวาย ดังนั้นเรื่องการปกครองสถานที่ก็ยังต้องอาศัยขุนนางในท้องที่อยู่ดี

สิบกว่าวันต่อมา เหล่าประมุขถ้ำที่โจมตียึดภูเขาแต่ละสาย รวมทั้งศิษย์สำนักหยกครามที่ติดตามสู้รบ ค่อยๆ ทยอยตามมาถึง ชุมนุมพร้อมเพรียงกันที่จวนหนานเสวียน

ท่ามกลางเทือกเขาคดเคี้ยวที่สูงตระหง่าน ต้นไม้เก่าแก่สูงระฟ้า ดอกไม้ใบหญ้าสวยแปลกตาราวลายผ้าไหม เหล่านกและสิงห์สาราสัตว์มีให้เห็นไม่ขาดตา มีตำหนักใหญ่โตโอ่อ่าแห่งหนึ่งตั้งอยู่ ในศาลาสูงตระหง่านเหนือน้ำนั้น มีชนชั้นสูงจากโลกมนุษย์และเหล่าเซียนปะปนรวมอยู่ด้วยกัน

เมื่อเทียบกับจวนหนานเสวียนนี้แล้ว สำหรับเหมียวอี้ ถ้ำล่องนิภาก็เหมือนกับศาลเจ้าธรรมดาแห่งหนึ่งซึ่งไม่สะดุดตา

ประมุขถ้ำแต่ละสาย ทุกคนหน้าตาสดชื่นมีชีวิตชีวา เต็มไปด้วยความสุขและความปลาบปลื้ม พอตั้งแถวเสร็จแล้ว ก็เดินเป็นแถวยาวเหยียดขึ้นบันได เข้าไปในตำหนักใหญ่โอ่อ่าของจวนหนานเสวียน

จะไม่ให้ทุกคนดีใจก็ไม่ได้ เพราะถึงเวลาได้ตบรางวัลตามผลงานแล้ว

ผลการสู้รบครั้งนี้ถือว่าบริบูรณ์คุ้มค่าโดยแท้ หยางชิ่งยึดครองจวนหนานเสวียนได้ทั้งหมด เท่ากับสาวกเพิ่มขึ้นอย่างน้อยสิบเท่า พวกหัวหน้าที่อยู่ใต้บัญชาเขาก็เพิ่มขึ้นตามไปด้วย ประมุขถ้ำเหล่านั้นนั้นที่กำลังจะกลายเป็นประมุขขุนเขา ก็จะมีสาวกเพิ่มขึ้นเกือบสิบเท่าเช่นกัน นั่นก็หมายความว่าต่อจากนี้ไป ลูกแก้วพลังปรารถนาที่เก็บได้ในแต่ละปีก็จะเพิ่มขึ้นสิบเท่าแล้ว

พอเห็นคนพวกนั้นเข้าไป เหมียวอี้เดินกลับไปกลับมาอยู่ที่ศาลาริมน้ำอย่างร้อนใจ จะทำอย่างไรได้ หากไม่ได้ถูกเรียกเข้าพบ เขาก็ยังไม่สิทธิ์เข้าตำหนักใหญ่

เขาร้อนใจคิดว่าหยางชิ่งจะยังจำเรื่องของเขาได้หรือไม่ อย่าข้ามแม่น้ำเสร็จแล้วรื้อสะพานทิ้ง ลืมเรื่องของตนไปแล้วล่ะ

เห็นได้ชัดว่าหยางชิ่งไม่ใช่คนแบบที่เขาคิด พอประมุขถ้ำสายต่างๆ เพิ่งเข้าตำหนักใหญ่ไปไม่นาน ก็เห็นหญิงงามชุดสีเขียวคนหนึ่งออกมาจากตำหนัก แฉลบตัวลอยมายังศาลาริมน้ำข้างๆ ดอกบัวขาวบานเจ็ดกลีบตรงหว่างคิ้วหลบซ่อนไป นางเดินเนิบนาบมาที่เหมียวอี้

พอเหมียวอี้เห็นนางเดินมาก็ใจระทึก ในตาฉายแววปีติยินดีทันที รีบก้าวออกไปข้างหน้าแล้วกุมหมัดคารวะ "เหมียวอี้คำนับกูกูน้อย​[1]​"

หลังจากเขาพักอยู่ที่นี่ไม่กี่วัน ก็ค่อยๆ รู้จักคนสนิทข้างกายของหยางชิ่ง หยางชิ่งมีหญิงรับใช้ประจำตัวสองคน คนหนึ่งชื่อชิงเหมย อีกคนชื่อชิงจวี๋

หญิงรับใช้สองคนนี้อยู่รับใช้ข้างกายหยางชิ่งมาตั้งแต่ตอนหยางชิ่งเป็นประมุขถ้ำ วันนี้มีวรยุทธ์บงกชขาวขั้นเจ็ดแล้ว กองกำลังใต้บังคับบัญชาของหยางชิ่งล้วนสุภาพนอบน้อมต่อหญิงรับใช้สองคนนี้ พวกเขาเรียกชิงเหมยว่ากูกูใหญ่ และเรียกชิงจวี๋ว่ากูกูน้อย

กูกูน้อยที่อยู่ตรงหน้าเขานี้แน่นอนว่าคือชิงจวี๋

"ทำตัวตามสบายเถอะ!" ชิงจวี๋ยกช้อนมือขึ้นแสดงมารยาท เห็นได้ชัดว่านางเองก็รู้ว่าหยางชิ่งให้ความสำคัญกับเหมียวอี้ นางพูดกับเหมียวอี้ด้วยสีหน้าแต้มร้อยยิ้มอ่อนๆ "เหมียวอี้ ท่านประมุขจวนเรียกให้เข้าเฝ้า"

ตอนนี้ทุกคนไม่เรียกหยางชิ่งว่าท่านประมุขขุนเขาอีกแล้ว เรียกอย่างเต็มปากเต็มคำว่าท่านประมุขจวนแล้ว

เหมียวอี้ตามหลังนางไปด้วยท่าทางนอบน้อม

ในตำหนักใหญ่ หยางชิ่งถอดเครื่องแบบทหารออกแล้ว เขาสวมชุดคลุ่มผ้าไหมนั่งอยู่บนแท่นสูง เกล้าผมด้วยปิ่นหยก ท่าทางเลอเลิศไม่ธรรมดา เหล่าสมุนใต้บัญชายืนเรียงแถวแบ่งเป็นฝั่งซ้ายและขวาราวกับข้าราชสำนักเข้าเฝ้าจักรพรรดิในท้องพระโรง

พอเหมียวอี้และกูกูน้อยเข้ามาในตำหนักใหญ่ สายตาของทุกคนจับจ้องไปที่ตัวเหมียวอี้ ฉินเวยเวยที่ยืนอยู่ท้ายสุดพอเห็นเจ้าหนุ่มนี้ก็กัดฟันกรอดๆ นึกไม่ถึงว่าเพราะไอ้พันธุ์ถ่อยนี่จะกล้าทะลึ่งลามปามใส่ตน!

ชิงจวี๋เดินไปยืนอยู่ตรงข้างขวาของหยางชิ่ง ส่วนกูกูใหญ่ชิงเหมยท่านนั้น ก็ยืนอยู่ตรงข้างซ้ายขวาแท่นบัลลังก์ของหยางชิ่งมาตลอด

เหมียวอี้ที่เดินมาถึงที่ว่างตรงกลางระหว่างข้าราชสำนักทั้งสองแถวแล้วหยุดยืนอยู่กับที่ กุมหมัดคารวะต่อหยางชิ่งและพูดว่า "ข้าน้อยเข้าเฝ้าท่านประมุขจวน!"

หยางชิ่งหัวเราะเบาๆ โบกมือเป็นสัญญาณว่าให้ทำตัวตามสบาย แล้วหันไปพูดกับบรรดาผู้ที่ยืนอยู่เบื้องล่าง "ข้าเคยรับปากเขาเรื่องตำแหน่งประมุขถ้ำถ้ำล่องนิภา ข้าพูดคำไหนคำนั้น! ถ้ำล่องนิภาอยู่ในสังกัดของตู้ฉางสิงแห่งเขาเจิ้นไห่ ตอนนี้ตู้ฉางสิงตายแล้ว ไม่ทราบว่าใครจะยินดีไปรับตำแหน่งประมุขแห่งเขาเจิ้นไห่ ถือโอกาสพาเจ้าเด็กนี่ไปด้วยกันเลยมั้ย?"

ในใจเหมียวอี้ดีใจสุดขีด มาถึงแล้ว ในที่สุดก็มาถึงแล้ว ข้าจะได้เป็นประมุขถ้ำแล้ว…

ภายนอกยังมีท่าทางสงบใจเย็นมาก เขามีเรื่องขอร้องอย่างหนึ่ง คิดมาตลอดว่าควรพูดออกมาหรือไม่

คนส่วนใหญ่ในนั้นมองหน้ากันแล้วปล่อยเสียงหัวเราะออกมา ความรู้สึกที่ได้แบ่งอาณาเขตแบบนี้มันดีจริงๆ

แน่นอน ทุกคนล้วนมีส่วนแบ่ง จะรีบยืนขึ้นมาก็คงไม่ดี ไม่เช่นนั้นจะดูละโมบจนน่าเกลียด

แต่ทว่า มีอยู่สองคนดูเหมือนไม่ค่อยดีใจนัก หนึ่งในนั้นคือฉินเวยเวย ส่วนอีกคนก็ก้าวออกมาแล้ว

สงเซียวออกจากแถว กุมหมัดคารวะ "ท่านประมุขจวน ข้าน้อยมีความในใจที่ไม่รู้ว่าควรพูดออกมาดีมั้ย"

หยางชิ่งอารมณ์ดี พยักหน้าตอบ "ว่ามาเลย!"

สงเซียวมองเหมียวอี้แล้วพูดว่า "เหมียวอี้เป็นเพียงเชลยศึก มีเพียงวรยุทธ์บงกชขาวขั้นหนึ่ง แถม ผลงานเล็กน้อยก็ยังไม่เคยสร้าง หากให้รางวัลตำแหน่งประมุขถ้ำส่งเดช เกรงว่าจะทำให้บรรดาผู้ใต้บังคับบัญชาเก่า ที่ติดตามท่านประมุขจวนมาตลอดหลายปีขุ่นเคืองในใจ "

เหมียวอี้อึ้งไป รีบเงยหน้ามองสงเซียว กำลังคิดว่าสงเซียวเป็นก้างขวางคอ ตนกับเขาไม่ได้มีเรื่องแค้นเคืองกันนี่นา?

หยางชิ่งขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่พอเห็นบรรดาผู้คนที่อยู่ตรงนั้นมีท่าทางเห็นพ้องต้องกัน สายตาก็ไปตกอยู่ที่สงเซียวแล้วถามว่า "เจ้าจะให้ข้าผิดคำพูดหรือไง?"

"มิบังอาจ! คำพูดท่านประมุขจวนมีค่าดั่งทองคำ พูดคำไหนคำนั้น!" สงเซียวกุมหมัดคารวะอีกครั้ง "ข้าเพียงแค่ไตร่ตรองเพื่อท่านประมุขจวนเท่านั้น ข้าคิดว่า ทำไมไม่หาข้อตกลงบางอย่าง ทำให้คนอื่นรู้ว่าไม่ว่าผลงานใหญ่หรือผลงานเล็ก ขอเพียงพยายามทำงานให้ท่านประมุขจวนอย่างเต็มที่ ท่านประมุขจวนก็จะกรุณามอบรางวัลให้ พอคนอื่นรู้ว่าเขาทำงานเพื่อท่านประมุขจวนถึงได้รับตำแหน่งประมุขถ้ำพวกเขาก็พูดอะไรไม่ได้ อย่างน้อยในที่เปิดเผย ก็หยุดคำครหาจากปากคนมากมายได้

หยางชิ่งพยักหน้าแล้วพูดว่า "ถ้าอย่างนั้นเจ้าคิดว่าควรให้เขาทำคุณงามความดีอะไรถึงจะเหมาะสม?"

…………………………

^1 กูกู (姑姑) ความหมายตรงตัวคือ อาหญิง ทั้งนี้ในสมัยโบราณยังเป็นคำเรียกนางกำนัลรับใช้อาวุโส