ในช่วงเวลาปรกติของซัท ตอนอยู่ในเพนต์เฮาส์ หรือบ้านของเขานั่นแหละ ซัทจะตื่นมา 6 โมงกสังเกต ล้างหน้าล้างตาจัดการธุระส่วนตัวให้เรียบร้อย แล้วนั่งกินกาแฟริมระเบียงอย่างสงบ ๆ พลางมองไปยังโลกเบื้องล่าง ที่อยู่ต่ำลงไป 50 ชั้น
หลังจากนั้นเขาก็ไปออกกำลังกาย ในห้องฟิตเนสส่วนตัวอีกราว ๆ 1 ชั่วโมง ก่อนจะไปอาบน้ำ แล้วกินมื้อเช้าเบา ๆ ไม่เอาถึงกับอิ่มมาก แล้วค่อยนั่งทบทวนบทเงียบ ๆ คนเดียว
นั่นคือเช้าปรกติ ในทุก ๆ วันของซัท แต่เช้าวันนี้มันไม่ปรกติไง เมื่ออาหารที่เขาทำมากินเองนั้น ดันเป็นข้าวผัดอเมริกันชุดคุณหนูไปเสียได้ ซึ่งมันมากเกินไปสำหรับเขา
"ให้ตายสิ เผลอทำอะไรมาเนี่ย นายจืดก็ไม่อยู่ แล้วใครจะกินล่ะทีนี้"
ซัทบ่นพึมพำ ก่อนจะหยิบอาหารไปเททิ้ง แล้ววางจานอาหารเปล่า ๆ ลงไปในอ่างล้างจาน
จากนั้นซัทก็เดินไปหยิบบท แล้วตรงเข้าไปในห้องซ้อมเต้น
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ซัทยืนนิ่งอยู่ตรงหน้ากระจก ด้วยสีหน้าและแววตาเกรี้ยวกราด อกผายไหล่ผึ่ง ตาจ้องมองต่ำแบบเหยียดหยัน มือทั้งสองกางกระดาษออก ทำท่าเหมือนถือถาดอะไรสักอย่าง ก่อนเขาจะยกมันขึ้น แล้วทำท่ากระแทกมันลงไปแบบสุดแรง
"ข้าวผัดไก่ทอดสูตรปีศาจเชิญรับประทานได้!"
ซัทตะโกนใส่กระจกเสียงดังฟังชัดถ้อยชัดคำ ก่อนจะทำหน้าเซ็งแล้วส่ายหัวไปมา อย่างไม่พอใจ
"ไม่ได้ ๆ ดุไป ใครเขาจะมาซื้อกิน"
ซัทบ่นพึมพำ ขณะที่กำลังเดินไปเดินมา สูดหายใจเข้าลึก ๆ แล้วไปยืนตรงหน้ากระจกอีกรอบ
ซัทมีแววตาที่ดูเป็นมิตรมากขึ้น ใบหน้าเปื้อนไปด้วยรอยยิ้ม มือทั้งสองกางกระดาษออก ทำท่าเหมือนถือถาดอะไรสักอย่าง เขาเดินไปข้างหน้าหนึ่งก้าว ทำท่าเหมือนวางมันลงอย่างแผ่วเบา แล้วปล่อยมือจากกระดาษจนมันร่วงลงสู่พื้น เขาเอียงคอไปทางขวาเล็กน้อย แล้วพูดว่า
"ข้าวผัดไก่ทอดสูตรปีศาจเชิญรับประทานได้เลยนะ"
ซัทพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนหวานและนุ่มนวล ชวนฝัน มือทั้งสองข้างของเขาประกบกันเป็นรูปหัวใจตรงอกข้างซ้าย ใบหน้ายังเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม เขามองตรงไปยังเงาของตัวเอง แล้วขยิบตาซ้ายหนึ่งครั้ง ก่อนจะหลุดขำออกมา
"ไม่ไหว ๆ จอมมารอะไร ท่าทางน่ารักเกิน"
เขาบ่นไปขำไป ก่อนจะก้มลงไปหยิบกระดาษบนพื้น
"พี่ว่าเมื่อกี้โอเคเลยนะ แต่เหมาะไปอยู่ในเมดคาเฟ่มากกว่า"
เสียงของประธานดังขึ้นจากทางด้านหลังของซัท
ซัทหยิบกระดาษขึ้นมาไว้ในมือ ก่อนจะมองหน้าพี่สาวของตัวเองผ่านกระจก
"ลมอะไรหอบพี่มาที่นี่แต่เช้า"
"พี่ก็จะมาเช็กน้องชายสุดที่รักด้วยความเป็นห่วงบ้างไม่ได้รึไง"
"แทนที่จะมาเช็กผม พี่ไปเช็กข่าวไม่ดีกว่าเหรอ เล่นจงใจส่งผมไปร่วมงานกันกับไอ้ชีค กับวีแบบนั้น"
"เรื่องนั้นไม่ต้องเช็กก็รู้ว่าได้ผลดีขนาดไหน แฮชแท็กจอมมารแห่งวงการบันเทิง ขึ้นเทรนในทวิตอีกแล้ว"
ได้ยินแบบนั้นซัทก็ส่ายหัวไปมาอย่างหน่ายใจ ก่อนจะหันหลังกลับไปพูดกับพี่สาวแบบตรงไปตรงมา
"ผมบอกพี่กี่ครั้งแล้วว่า ผมโอเคถ้าพี่จะปั่นข่าว จะสร้างกระแสอะไรผมโอเค เอาเลย แต่อย่างน้อย ๆ ก็ช่วยบอกผมก่อนเถอะ ว่าผมจะต้องไปเจอกับอะไร ผมจะได้เตรียมตัวทัน ผมคือยอดนักแสดงเบอร์หนึ่งของค่าย อาจจะของประเทศนี้ด้วยซ้ำ แค่ปั้นหน้าให้สัมภาษณ์พร้อมกับเมียเก่า ทำไมผมจะทำไม่ได้วะ"
ช่วงต้นประโยค น้ำเสียงของซัทยังดูปรกติดีอยู่ แต่ยิ่งพูด ความเดือดดาลก็ยิ่งเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
"พี่รู้ พี่รู้ว่าเราทำได้ แต่ความรู้สึกจริง ๆ กับการแสดงมันต่างกันนะ"
ได้ยินพี่สาวพูดแบบนั้น ซัทแทบอยากจะเอามือทุบกระจกให้มันรู้แล้วรู้รอดไป แต่เขาก็ไม่ทำ
"ว่าแต่พูดถึงเรื่องบอกก่อนบอกทีหลัง"
น้ำเสียงของประธานเริ่มเคร่งขรึมขึ้นมาอย่างฟังได้ชัด
"ถ้าแกอยากไปเดินเล่นแถวไชน่าทาวน์ ทำไมไม่บอกพี่ล่ะ พี่จะได้เอาทีมงานไปด้วย ไม่เห็นต้องแอบไปเลย"
ซัทฟังประธานพูดจนจบ ก่อนจะค่อย ๆ สูดลมหายใจเข้าไปลึก ๆ ท่าทางของเขาดูสงบลง ก่อนจะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า
"พี่บอกเองไม่ใช่เหรอว่า ความรู้สึกจริง ๆ กับการแสดงน่ะมันต่างกัน เพราะงั้นแหละ ผมถึงไม่บอกพี่ ขืนบอกไปมันก็จะเป็นการไปทำงานสิไม่ใช่ไปเที่ยว"
พอพูดจบซัทก็แสยะยิ้มออกมา ประธานจึงแสยะยิ้ม และตอบกลับไปว่า
"เข้าใจยอกย้อนดีนี่ ก็ได้คราวนี้พี่แพ้พอใจยัง"
พูดจบประธานก็หุบยิ้มลง ในขณะที่ซัทได้แต่ส่ายหัวไปมา
"งั้นพี่จะบอกได้รึไงยังว่านี้พี่มาทำไม"
น้ำเสียงของซัทฟังดูอ่อนลง จะเกือบจะปรกติ
"ก็มาเพราะเรื่องไชน่าทาวน์นั่นแหละ เด็กคนนั้น เอ่อ ผู้จัดการที่ชื่อบังโตอยู่ไหม"
"เขาชื่อพลูโต ไม่ใช่บังโต แล้วเขาก็ไม่อยู่ วันนี้ผมให้เขาหยุด"
"งั้นก็ดี พี่จะมาบอกว่า ให้ระวังเขาไว้นะ"
"เรื่องคุณชายสายเผือกงั้นสินะ"
"ใช่ นายก็รู้ตัวแล้วนี่ ถึงว่าไม่ไล่ออก กะจะคอยสอดแนมเขาอยู่ล่ะสิ"
"เปล่าเลยผมไล่เขาออกไปแล้ว แต่เขาก็ขอกลับมาจนได้ ขอชมเลยว่าไอ้เด็กนั่นมันป่วนผมสุด ๆ เลยล่ะ"
"งั้นยิ่งน่าสงสัยใหญ่"
"ตอนแรกผมก็สงสัยแบบพี่นั่นแหละ แต่ตอนนี้ ผมว่าเขาคงไม่ใช่หรอก มั้งนะ"
"ทำไมล่ะ นอกจากเขาแล้วจะมีใครน่าสงสัยอีก คนที่รู้เรื่องไชน่าทาวน์ก่อนใคร ๆ ก็เห็นจะมีแต่เขานะ"
"ก็จริง แต่พอพี่พูดมาแบบนั้น ผมยิ่งมั่นใจว่าพลูโตไม่ใช่คุณชายสายเผือกแน่ ๆ เขาต่างจากคนอื่น ๆ ที่พี่เคยส่งมา เขาไม่ใช่พวกขี้ฟ้อง"
"แบบนี้นี่เอง เพราะเขาไม่ค่อยรายงานพี่ เราเลยเชื่อใจเขางั้นสิ"
ซัทไม่ได้พูดอะไรตอบ ทำแค่แบะปากกับยักไหล่เป็นการตอบพี่สาว
"ฟังนะซัท"
น้ำเสียงของประธานดูจริงจัง เธอพูดพร้อมเดินเข้ามาใกล้ ๆ ซัท
"เราเหลือกันแค่สองพี่น้อง เราเชื่อใจพี่ได้นะ"
"ผมเชื่อใจพี่ แต่ผมไม่เชื่อใจคนรอบ ๆ ตัวพี่"
น้ำเสียงของซัทดูจริงจัง แต่ประธานกลับเบือนหน้า พร้อมกับผละตัวออกมาให้ห่างซัท
"อย่าดึงคุณรุจเขาเข้ามาเกี่ยวด้วยเลย"
ประธานพูดพร้อมกับหันหลังเดินจากซัทไป
"ก็ได้ แต่ผมจะบอกแบบเดียวกันกับพี่นั่นแหละ พี่เชื่อใจผมได้นะ"
ซัทตะโกนบอกพี่สาว ที่กำลังเดินห่างออกไปเรื่อย ๆ โดยทิ้งเขาไว้ข้างหลัง
"พี่รู้"
ประธานตะโกนตอบกลับน้องชาย ก่อนที่เธอจะเดินหายวับ ออกจากห้องไป
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ที่ป้อมยาม หน้าตึกที่ซัทพักอยู่ มีพี่ยามคนหนึ่ง ซึ่งไม่ใช่พี่ยามดอน กำลังคุยโทรศัพท์อยู่
"ครับท่าน วันนี้ยังไม่เห็นผู้จัดการเลยครับ"
"ครับเขากลับไปเมื่อคืนครับ"
"ที่มาวันนี้ก็มีแต่ภรรยาของท่านคนเดียวครับ"
ที่ปลายสาย อีกฟากฝั่งของโทรศัพท์ที่พี่ยามกำลังคุยอยู่นั้น มีผู้ชายคนหนึ่งกำลังนั่งถือสาย และกำลังคุยตอบโต้กับพี่ยามอยู่
"งั้นเหรอ ถ้ามีอะไรเปลี่ยนแปลงอย่าลืมรีบแจ้งมาล่ะ"
ทันทีที่พูดจบเขาก็วางหูโทรศัพท์ลง แล้วมองตรงไปข้างหน้าโต๊ะทำงานของตัวเอง
"เอาล่ะ โทษทีนะชีคเมื่อกี้เราคุยกันถึงไหนแล้วนะ"
"เมื่อกี้ผมถามท่านรองว่า ท่านมีแผนอะไรอยู่เหรอ ถึงให้ผมคาบข่าวจากเพจคุณชายสายเผือกไปส่งซัท"
"เอาจริง ๆ ฉันไม่มีแผนอะไรหรอก ฉันแค่ส่งเด็กฝึกงานไปเป็นผู้จัดการเฉย ๆ เพราะทุกคนในบริษัทนี้ไม่มีใครอยากทำงานกับจอมมารอีกแล้ว ว่ากันตามตรงนะ ฉันนึกว่าไอ้เด็กนั่นจะโดนไล่ออกตั้งแต่วันแรกด้วยซ้ำ ใครจะไปคิดว่าเด็กฝึกงาน จะพาจอมมารไปเดินไชน่าทาวน์ เรื่องราวมันน่าสนใจกว่าเดิมอีกไม่คิดงั้นเหรอ"
"ที่ผมคิดอยู่ในหัวมีเพียงแค่อย่างเดียว คือเรื่องที่เราเคยตกลงกันไว้เมื่อสิบปีก่อน"
น้ำเสียงของชีคดูไม่ค่อยจะพอใจสักเท่าไหร่
"อย่าใจร้อนไปเลยชีค การจะล้มอันดับหนึ่งมันไม่ง่ายนักหรอก เพราะงั้นเกาะที่สองไว้ให้แน่น ๆ อันดับหนึ่งล้มลงเมื่อไหร่ ยังไงแกก็ได้เข้าไปแทนที่มันอยู่แล้ว"
"สองสามปีก่อนคุณก็พูดแบบนี้"
ชีคพูดด้วยน้ำเสียงเซ็ง ๆ
"นั่นมันผิดแผนนิดหน่อย ก็ใครจะไปคิดว่าไอ้คุณชาย...สายเผือกอะไรนั่น จะลงข่าวนั้นก่อนฉัน"
"ผมคิดว่าเพจนั้น เป็นคนของคุณเสียอีก"
"ไม่ใช่ จริงอยู่ว่าเพจซุบซิบดาราทั้งหลาย ส่วนใหญ่เป็นคนของฉัน แต่ไอ้คุณชายสายเผือกไม่ใช่ ว่ากันตามตรงฉันตามล่ามันมาหลายปีแล้ว แต่ยังไม่เจอเลย"
"ไม่น่าเชื่อนะครับว่าคนอย่างท่านรอง จะมีสิ่งที่ทำไม่ได้"
"ฉันก็ไม่อยากจะเชื่อ....."
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นแทรกการพูดของท่านรอง ท่านรองจึงรีบยกหูโทรศัพท์ขึ้นมา
"ว่าไง"
"ใกล้จะถึงเวลานัดแล้วค่ะท่านรอง"
เสียงผู้หญิงที่อยู่ปลายสายพูด
"ป่านนี้แล้วเหรอเนี่ย โอเคเดี๋ยวออกไป"
พูดจบท่านรองก็วางหูโทรศัพท์ลง แล้วลุกขึ้นยืน
"หมดเวลาแล้ว ขอตัวก่อนล่ะชีค"
"ผมอยากรู้เหลือเกินว่า ใครกันนะที่ทำให้ท่านรองต้องรีบออกไปเจอ ปรกติคนแบบท่านเนี่ย มีแต่ต้องให้คนอื่นรอไม่ใช่เหรอ"
"คนที่อาจจะได้กลายเป็นผู้นำประเทศนี้ไงชีค"
ท่านรองเดินมาพูดใกล้ ๆ ก่อนจะตบบ่าชีคเบา ๆ แล้วเดินจากไป
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ช่วงเที่ยง ๆ เกือบ ๆ จะบ่าย ของวันที่ 5 เมษา พลูโตก็ขับรถพาซัทมาถึงสตูดิโอถ่ายรูปแห่งหนึ่ง
จากนั้นพวกเขาเดินเข้าไปในสตู ซึ่งมีผู้หญิงคนหนึ่งรอต้อนรับพวกเขาอยู่
"สวัสดีค่ะคุณซัท ฉันชื่อหวานนะคะ เดี๋ยวฉันขออนุญาตพาคุณซัทไปห้องแต่งตัวเลยนะคะ"
"โอเคครับ"
ซัทพยักหน้าตอบรับ ก่อนจะหันหลังกลับไปพูดคุยกับพลูโต
"นายเดินเล่นอยู่แถวนี้ไปก่อนแล้วกัน หรือจะไปหาอะไรกินก็ได้ คงอีกสักพักนั่นแหละ"
หวานมองซัทพูดคนเดียวด้วยความประหลาดใจ แต่ก็ไม่กล้าทัก ไม่กล้าถามว่าเขาพูดอยู่กับใคร จนกระทั่งพลูโตเริ่มพูดนั่นแหละ เธอถึงรับรู้ได้ในการมีตัวตนของเขาทันที โดยการสะดุ้งจนตัวโยก
หลังจากนั้นซัทก็เดินแยกออกไปกับหวาน ส่วนพลูโตนั่นก็เดินเล่น หาอะไรทำเหมือนทุกที เอาจริง ๆ หลังจากทำงานมาสักพัก เขารู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนขับรถ มากกว่าผู้จัดการเสียอีก
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------
พลูโตค่อย ๆ เดินอย่างเชื่องช้า คอยสำรวจนั่น สำรวจนี่ไปเรื่อย ๆ ระหว่างทางไปห้องถ่าย จนกระทั่งเขาเดินไปชนเข้ากับใครบางคน
"ขอโทษครับ"
พลูโตรีบพูด พร้อมกับก้มหัวลงเล็กน้อยเพื่อแสดงความรู้สึก
"อ้าวมีคนอยู่ด้วยเหรอเนี่ย!"
เสียงของผู้ชายคนนั้นบ่นพึมพำ ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกันกับพี่พลูโตเงยหน้าขึ้นมาพอดี
"คุณชีค!"
เมื่อเห็นว่าเขาเป็นใครพลูโตก็อุทานออกมาเสียงดัง
"ครับใช่ครับผมเอง เราเคยเจอกันมาก่อนรึเปล่าครับ คุณเป็นทีมงาน หรือว่าคุณเป็นซาแซง"
ชีคเริ่มพูดด้วยน้ำเสียงเป็นมิตร ก่อนที่น้ำเสียงจะค่อย ๆ เปลี่ยนไป
"ไม่ใช่ครับ"
พลูโตรีบแย้งด้วยท่าทางตกใจ จนชีคหลุดขำออกมา
"ผมล้อเล่นครับ แล้วก็ผมต้องขอโทษด้วยนะครับที่ชนคุณเมื่อกี้ ผมไม่ทันมองจริง ๆ งั้นขอตัวก่อนนะครับ พอดีผมกำลังรีบ ไว้เจอกันนะครับ"
ชีคกล่าวอย่างสุภาพ ก่อนจะรีบซอยเท้าจากไปทันที
พลูโตจึงมองไปรอบ ๆ ตัวเองด้วยความสงสัยว่าชีคโผล่มาจากไหน ก่อนจะพบว่าซ้ายมือของเขาเป็นห้องน้ำชาย ซ้ายมือเป็นห้องน้ำหญิง ก่อนที่จะคลายสงสัย แล้วเดินไปข้างหน้าต่อไป
แต่หลังจากเดินไปได้ไม่กี่ก้าว พลูโตก็หยุดเท้าลง เขามีความคิดว่า จะลองตามชีคไปดูดีไหม อาจจะรู้อะไรเพิ่มเติมบ้างก็ได้ เขาจึงเหลียวหลังไปมองก็จะพบว่า ชีคได้หายวับไปเสียแล้ว ทำเขารู้สึกเสียดายอยู่หน่อย ๆ แต่ทว่าจังหวะนั้นเอง มีผู้หญิงคนหนึ่ง ชะโงกหัวออกมาจากห้องน้ำชาย แล้วมองซ้ายมองขวา ก่อนจะรีบวิ่งเข้าห้องน้ำหญิงไปอย่างรวดเร็ว ด้วยท่าทางที่ดูมีพิรุธอย่างเห็นได้ชัด
ดูเหมือนพ่อเบอร์สองของเรา ไม่ได้จะรีบไปทำธุระหรอก แต่เขาพึ่งจะทำธุระเสร็จต่างหาก พลูโตคิดในใจ ก่อนจะเดินตรงไปทางเดิม เขาล้มเลิกแผนที่จะแอบตามชีคลงไปแล้ว แล้วเขาก็ไม่อยากตามผู้หญิงคนนั้น เข้าไปในห้องน้ำหญิงด้วย
หลังจากนั้นไม่นานนัก พลูโตก็เดินมาถึงสตูที่ซัทจะต้องเข้ามาถ่ายทำในวันนี้ ทันทีที่พลูโตเปิดประตูเข้าไปข้างใน เขาก็ได้พบเข้ากับความวุ่นวายของงานเบื้องหลังที่เขาคุ้นเคยเป็นอย่างดี แล้วเขาก็มองไปรอบ ๆ ตัวเพื่อหามุมสงบ ๆ เพื่อนั่งรอ
ในระหว่างที่นั่งมองคนอื่นทำงานด้วยความวุ่นวายอยู่นั้น ก็มีความคิดหนึ่งโผล่เข้ามาในหัวของเขา
"ไอ้คนพวกนี้นี่นะ จะเป็นคุณชายสายเผือก!"
งานวุ่นวาย แข่งกับเวลา ราคาก็โดนกด เวลาพักเหนื่อย พักหายใจยังไม่ค่อยจะมีกันเลย เงินค่าจ้างที่ได้มาก็ต้องเอาไปหาหมอ เพื่อดูแลทั้งสุขภาพกาย และสุขภาพจิต เบื้องหน้าสวยหรูเบื้องหลังหดหู่ นี่แหละหนาวงการมายา พลูโตคิดแล้วก็หน่ายใจ
หลังจากนั้นสักพัก ซัทก็เดินเข้ามาในสตู พร้อมกับปีกค้างคาวสีดำ ชุดหนังสีดำทั้งหมด ตัวกางเกงขายาว ส่วนตัวเสื้อนั้นแหวกอกมาจนถึงสะดือ ดูเซ็กซี่อยู่ไม่น้อย บนหัวมีเขาโค้งยาวสีดำ ใบหน้าก็ถูกแต่งเติมไปในโทนนั้นเช่นกัน โดยเฉพาะตาที่กรีดมาเป็นสีดำชัดเจน ยังดีที่ไม่ทาปากดำมาด้วย มันคงดูน่ากลัวสมเป็นจอมมากกว่านี้อีก พลูโตคิดก่อนจะนึกอะไรออก เลยหยิบเอกสารขึ้นมาดู
"โฆษณาตั้งเยอะแยะ ทำไมต้องข้าวผัดด้วยวะ"
พลูโตบ่นพึมพำ เมื่อเห็นคำว่าข้าวผัด ที่ทำให้เขานึกถึงข้าวผัดคุณหนูของซัท บางทีตอนนี้ถ้ามีใครถามว่า อาหารอะไรที่เขาเกลียดที่สุด เขาคงตอบไปว่าข้าวผัดอย่างไม่ลังเล
หลังจากซัทเดินเข้าไปในฉากแล้ว พลูโตก็ค่อย ๆ เดินตามไปใกล้ ๆ แต่ไม่ให้ใกล้เกินไป จนขวางการทำงานของทีมงานคนอื่น ๆ ซึ่งมีจังหวะหนึ่ง ซัทหันมาสบตากับเขาพอดี ก็เป็นอันว่า ซัทรู้แล้วว่าเขาอยู่ตรงไหน เพราะงั้นเขาจะย้ายที่ไม่ได้แล้ว ต้องยืนรออย่างสงบ เผื่อซัทเรียกใช้อะไร
หลังจากนั้นการถ่ายทำก็เริ่มขึ้น และจบลงอย่างสวยงามภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง จริง ๆ ตามกำหนดการคือ 5 โมงเย็น แต่นี่ 4 โมงกว่า ๆ ก็เสร็จแล้ว เบื้องหลังอาจจะมีเสียงดังเจี๊ยวจ๊าวเป็นบางช่วงบ้าง แต่ก็เข้าใจได้ เพราะมันเป็นการถ่ายภาพนิ่ง ไม่ใช่ภาพเคลื่อนไหว ซึ่งส่วนใหญ่เสียงซุบซิบจะเกิดขึ้น ตอนที่ซัทไปเปลี่ยนชุดอื่น ๆ ที่แทบไม่ต่างจากเดิมเลยแม้แต่น้อย ต้องคงแครักเตอร์ของจอมมารไว้นั่นแหละนะ
แน่นอนว่าเสียงซุบซิบเหล่านั้น ส่วนใหญ่ก็จะพูดถึงซัทนั่นแหละ แต่เป็นในแง่ดีนะ
ดูเหมือนว่าพวกเขาคิดว่าวันนี้จะได้เจอกับจอมมารเรื่องมาก ไร้ความเป็นมืออาชีพเหมือนที่เห็นในข่าว แต่ที่พวกเขาเจอในวันนี้มันเหมือนเป็นคนละคนกับในข่าวอย่างสิ้นเชิงเลย
"ไงซัทเสร็จแล้วไปดื่มกันหน่อยไหมเล่า"
ตากล้องหนุ่มใหญ่ วัยน่าจะ 50 ขึ้น เพราะทั้งผมทั้งหนวดเริ่มงอกแล้วเอ่ยทักซัท แล้วเดินเข้าไปหา
"เอาตั้งแต่ตะวันยังไม่ลับเลยเหรอพี่ไม่ดีมั้ง"
ซัทตอบกลับอย่างเป็นกันเอง ก่อนจะเหลือบไปมองพลูโต
"นายจืดมานี่หน่อยสิ"
ซัทเรียกพลูโต แล้วในจังหวะที่พลูโตขานรับว่าครับ ทุกคนที่อยู่บริเวณนั้นต่างก็สะดุ้ง แล้วหันมองมาทางพลูโตกันเป็นตาเดียว
"มีอะไรเหรอครับ พี่...เอ่อ คุณซัท"
"มาทำความรู้จักไว้ก็ดี พี่คนนี้คือพี่กบ ตากล้องที่เก่งที่สุดในสยาม"
"อย่าอวยเยอะมันดูไม่น่าเชื่อถือไงก็ไม่รู้"
พี่กบพูดแล้วก็ขำออกมา
"สวัสดีครับ ผมชื่อพลูโต เป็นผู้จัดการส่วนตัวของคุณซัทครับ"
ทันทีที่พลูโตเอ่ยคำแนะนำตัว ทุกคนก็หูผึ่ง แล้วเริ่มซุบซิบกันทันที
"คนนี้เหรอที่เป็นข่าว"
แน่นอนว่าการนินทาระยะเผาขนขนาดนี้ ทั้งพี่กบ ซัท และพลูโตต่างก็ได้ยินกันชัดแจ๋วประมาณหนึ่ง จนพี่กบต้องกลับหลังหันไปดุเสียหน่อย
"อ้าว ๆ ๆ รีบ ๆ เก็บข้าวเก็บของกันได้แล้ว อุตส่าห์เสร็จงานเร็วทั้งที บอกไว้ก่อนนะว่า เก็บของช้า เลยเวลา ไม่จ่ายค่าโอทีนะโว้ย"
เมื่อทุกคนได้ยินแบบนั้นก็วงแตกกันทันที จะมีก็แค่ซัทพลูโต และพี่กบเท่านั้นที่ยังยืนนิ่งกันอยู่ที่เดิม
"เอาล่ะ ถ้างั้นก็ขอตัวก่อนดีกว่า แล้วเจอกันอีกวัน...ไหนนะ"
"วันมะรืนนี้...มั้งครับ"
พูดจบซัทก็เอียงคอมองไปทางพลูโต ก่อนที่พลูโตจะหยิบเอกสารออกมาดู
"ครับใช่ครับ วันที่ 7 มีถ่ายโฆษณา ที่นี่เหมือนเดิม"
"งั้นก็ไว้เจอกันวันมะรืนนี้นะซัท แล้วก็น้องผู้จัดการด้วย"
พี่กบหันไปพูดกับทั้งสองคน ก่อนจะหันหลังเดินจากไป
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ระหว่างขับรถกลับบ้านในช่วง ๆ เย็น ๆ ของวันนั้น พลูโตกับซัทก็ใช้ชีวิตอยู่ด้วยบนถนนที่ทอดยาวไปอย่างไม่รู้จบ เช่นเดียวกันกับความยาวของรถที่ต่อท้ายกันเป็นขบวนอย่างไม่รู้จบ ตามปรกติของเมืองนี้
"พี่ซัทรู้จักกับพี่กบมานานแล้วเหรอครับ ทั้งสองคนดูสนิทกันดีจัง"
"ก็ใช่แหละ ตั้งแต่ฉันยังเป็นเด็กเลยมั้ง เขาเคยเป็นลูกทีมของพ่อฉันน่ะ"
ซัทตอบคำถามของพลูโตในขณะที่สายตายังจับจ้องไปที่เอกสารในมือ
"งั้นเหรอครับ"
พลูโตขานรับอย่างเรียบเฉย ก่อนจะเงียบไปราวกับถูกดับเครื่อง
"คิดอะไรอยู่ นายดูแปลกไป ไม่ช่างจ้อเหมือนทุกทีนะ"
ซัทพูดพร้อมกับวางเอกสารไว้ข้างตัว แล้วจ้องหน้าพลูโตผ่านกระจกมองหลังของรถ
"ขอสารภาพตามตรงเลยแล้วกันนะครับ ผมกำลังสืบสวนเรื่องคุณชายสายเผือกอยู่ ซึ่งผมสงสัยว่าเขาน่าจะเป็นคนใกล้ตัวพี่ซัทนั่นแหละครับ"
"ก็จริง เพราะนายนั่นแหละคือคุณชายสายเผือก"
"งั้นผมขอสารภาพอีกเรื่องเลยแล้วกันนะครับ ว่าพี่ซัทเองก็เป็นหนึ่งในผู้ต้องสงสัยของผมเช่นกัน"
พลูโตพูดด้วยสีหน้าท่าทางไม่พอใจเท่าใดนัก
"เหรอน่าสนใจดีนี่"
ถึงปากจะบอกว่าน่าสนใจ แต่ท่าทางของซัทดูไม่สนใจมันสักเท่าไหร่นัก
"ไหนว่ามา ทำไมถึงสงสัยพี่กบ"
"ไม่ใช่แค่พี่กบหรอกครับ อย่างที่บอก พี่ซัท หรือประธานเองก็น่าสงสัย ผมสงสัยคนที่อยู่รอบตัวพี่ เพราะว่ามันมีผลประโยชน์มันทับซ้อนกันอยู่"
"ถ้าเป็นพี่สาวฉันก็คงใช่ ถ้าเป็นพี่กบคงไม่หรอก อย่างที่บอกพี่กบเป็นตากล้องที่เก่งที่สุดในสยาม เขาแทบไม่ได้อะไรจากเรื่องนี้เลย ไม่ว่าฉันจะดังหรือดับ จะฉาวจะคาวขนาดไหน งานเขาก็ล้นมืออยู่ดี พูดตามตรง ถ้าไม่ได้พี่กบคอยช่วย ฉันคงมาได้ไม่ไกลขนาดนี้หรอก ฉันได้จากเขา มากกว่าที่เขาได้จากฉันเยอะ"
"ก็จริงครับ แต่พอตีวงให้แคบลงแล้ว ก็จะเหลือแค่ข้อมูลที่ว่า คุณชายสายเผือกเป็นคนในวงการแน่นอน แล้วผมคิดว่าเขาน่าจะเป็นคนใน หรือไม่ก็คนที่เกี่ยวข้องกับเฟทมากกว่า เพราะว่าข่าวของเขาจะแม่น และมาก่อนกาลกว่าใครเสมอ เมื่อข่าวนั้นเกี่ยวข้องกับศิลปินของเฟท"
"เหรอแล้วไงต่อ สงสัยใครอีกบ้างล่ะ"
"ก็มีพี่ยาม แต่ดูเหมือนว่า พวกนั้นจะเป็นแค่สายข่าวเฉย ๆ ไม่ใช่ตัวใหญ่ ส่วนคนที่น่าสงสัยที่สุดก็มี ชีคผู้เป็นหมายเลขสอง กับรองประธานที่เต็มไปด้วยปริศนา"
สิ่งที่ได้ยิน ทำซัทมีสีหน้าแววตาเปลี่ยนไปเล็กน้อย ก่อนที่เขาจะรีบกลับมาทำหน้าตาปรกติ ในเวลาเสี้ยววิจนแทบจะไม่มีใครสังเกตเห็น
"ปริศนาอะไร ลองมองมาทางซ้ายมือสิ"
พลูโตหันไปมองตามคำเชื้อเชิญของซัท ซึ่งเขาเห็นรถกระบะมุงหลังคาปิดมิดชิดอย่างดี พร้อมโลโก้รูปผึ้งหิ้วกล่องพัสดุอันเป็นเอกลักษณ์
"บริษัทขนส่ง B-Leave มีอะไรเหรอครับ"
พลูโตเอ่ยถามด้วยความสงสัย
"พี่เขยฉันมาจากตระกูลคนรวย ซึ่งหนึ่งในธุรกิจที่ทำให้ครอบครัวของเขาประสบความสำเร็จก็คือไอ้เจ้านี่นั่นแหละ"
พลูโตฟังซัทพูดแล้วขบคิด เขาจ้องมองไปยังโลโก้รูปผึ้งหิ้วกล่องพัสดุ แล้วก็พลางคิดไปว่า ในกล่องนั้นที่ผึ้งหิ้วอยู่ มันมีอะไรอยู่ข้างในกล่อง
"มองไปข้างหน้าได้แล้ว ถนนโล่งแล้วนั่น"
ซัทดุพลูโตเบา ๆ ก่อนที่พลูโตจะหันกลับมามองตรงไปข้างหน้า แล้วเหยียบคันเร่งออกไป
....โปรดติดตามซีนต่อไป....