webnovel

ปั้นดินเป็นเดือน

จากดินสกปรกจะถูกปั้นให้เป็นเดือนได้จริงเหรอ? ความพยายามที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองนั้นมันคุ้มค่าหรือไม่? สุดท้ายแล้วคนเราก็ตัดสินกันแค่ที่หน้าตาใช่ไหม? เบญจมินทร์ หรือ เบ็น เป็นเด็กหนุ่มที่เชื่อสุดใจเลยว่าคนทุกคนบนโลกใบนี้ดูดีในแบบของตัวเอง และทุกคนสามารถเปลี่ยนแปลงตัวเองได้หากมีความพยายามมากพอ และด้วยความเชื่อที่ดูจะไปสะกิดต่อมความหมั่นไส้ของคู่อาฆาตนั้น ทำให้เขาถูกท้าแข่งในการประกวดทูตกิจกรรม ไม่ใช่ตัวพวกเขาเองที่จะลงแข่งหรอกนะ แต่พวกเขากำลังแข่งกันปั้นเด็กของตัวเองให้เป็นเดือนคณะให้ได้ต่างหาก ทว่า เด็กที่เบ็นต้องปั้นนั้นกลับเป็นรุ่นน้องปี 1 ที่แสนจืดจาง ใบหน้าห่างไกลจากคำว่าหล่อในยุคสมัยนี้ไปเลย แถมความมั่นใจยังอยู่ในระดับขั้นติดลบ ทุกคนเห็นตรงกันหมดว่าเบ็นไม่ต้องแข่งก็ได้ เพราะรู้ผลตั้งแต่ยังไม่เริ่มเลยด้วยซ้ำ แต่เบ็นเชื่อในตัวน้องคนนี้ และเชื่อในกันและกัน เขาจะปั้นเด็กคนนี้ให้เป็นดวงเดือนสีนวลบนฟ้าให้ได้! สุดท้ายแล้วพวกเขาจะสามารถพิสูจน์ให้โลกวัตถุนิยมใบนี้ยอมรับความพยายามของพวกเขาได้หรือไม่

NIMAJNEB · LGBT+
Không đủ số lượng người đọc
56 Chs

บทนำ

'แม่ครับ! พ่อครับ! คอยดูนะ ถ้าผมโตขึ้น ผมจะเป็นฮีโร่ที่ปกป้องโลกใบนี้เหมือนพ่อกับแม่ให้ได้'

...เป็นฮีโร่? เป็นฮีโร่แล้วได้อะไรเหรอ?...

ดวงจันทร์ลาลับหนีไปหลับใต้ผืนนภาแล้ว ส่วนดวงอาทิตย์ก็ยังคงสะโหลสะเหลโยเยไม่ยอมโผล่หัวออกมาสักที มันยังคงห่มร่างตัวเองด้วยหมอกนุ่ม ๆ น่านอน ส่องสว่างมาแค่แสงรำไรให้บรรยากาศเป็นเพียงสีเหลืองทองอุ่น ๆ ตัดกับสีเทาของความมืดมิดเท่านั้น

ผมก้าวออกมาจากมอเตอร์ไซค์ที่ขี่อยู่แล้วเดินตรงไปที่ทางเข้าตึกคณะ วันนี้เป็นวันรายงานตัวของนิสิตปีหนึ่ง ผมที่เป็นรุ่นพี่ปีสองจะต้องมาช่วยดูแลน้องในเวลาหกโมงเช้าด้วย

"เห้อ" ผมถอนหายใจยาวด้วยความเหนื่อยล้าที่ต้องตื่นขึ้นมาตอนเช้าตรู่แบบนี้ ตอนนี้ยังไม่มีใครมาถึงที่คณะเลยด้วยซ้ำ สังเกตได้จากลานจอดรถหน้าคณะซึ่งยังคงว่างเปล่าราวกับที่ดินรกร้าง

ทุกคนไม่ได้มาสาย ผมต่างหากที่มาเร็วเกินไป ความตั้งใจคือรีบมาเคลียร์สถานที่ ปัดกวาดตามโต๊ะที่มีเศษใบไม้ใบหญ้าและซากอารยธรรมของพวกนกที่ถ่ายไม่เป็นที่

มันก็ไม่ได้ทุเรศทุรังจนนั่งไม่ได้ขนาดนั้นหรอก แต่ผมไม่อยากให้มีใครต้องตูดเปื้อน ไม่อยากให้เอกสารของน้องเปรอะคราบเหนียวเหนอะเลอะเทอะตามโต๊ะ

ผมไม่ใช่คนดีอะไรหรอกนะ ผมก็แค่อยากเห็นทุกคนมีความสุข ก็เท่านั้น...

มันอาจจะฟังดูเว่อร์นะ แต่ผมเป็นอย่างนี้มาตั้งแต่เด็กแล้ว ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทำไปแล้วผมจะได้อะไรกลับมา อันที่จริงคงไม่มีใครสังเกตเห็นด้วยซ้ำ ถึงเห็นก็ไม่มีใครใส่ใจอยู่ดี

ถ้าได้เห็นทุกคนมีความสุข แล้ว...ผมก็จะมีความสุข...เหรอ?

'ผมจะทำให้โลกนี้น่าอยู่ ให้เป็นโลกแห่งความยุติธรรม ให้ทุกคนมีความสุข'

...ความยุติธรรม? ความยุติธรรมมีอยู่จริง? เหรอ?...

อ๊ะ!! เจ้าแมลงปอตัวน้อยผู้น่าสงสาร เจ้ากำลังจะถูกดูดกลืนชีวิตไปแล้ว

ไม่ทันที่ผมจะรู้สึกตัว ประสาทสัมผัสของผมช้ากว่าสิ่งที่เกิดขึ้น แมลงปอตัวนั้นบินไปติดกับดักของแมงมุมผู้หิวโหยซะแล้ว มันดิ้น ดิ้น ดิ้นและดิ้นอยู่อย่างนั้น แต่ถึงจะดิ้นให้ตายยังไงมันก็เอาชนะชะตากรรมของมันเองไม่ได้

ผมรู้ว่าผมไม่ควรเล่นบทบาทของพระเจ้า แต่ด้วยสัญชาติญาณที่มีมาตั้งแต่เด็ก ผมใช้นิ้วชี้เกี่ยวใยแมงมุมให้ขาดไป ด้วยแรงของมนุษย์อย่างผม ต่อให้ใยเหนียวแค่ไหนมันก็ทลายลง แมลงปอน้อยของผมรอดชีวิตไปได้ และเจ้าแมงมุมอาจจะต้องหิวโหยต่อไป ดีไม่ดี มันอาจจะหิวตายไปเลยก็ได้

ไม่ว่าเจ้าแมลงปอจะออกแรงมากแค่ไหน จะพยายามให้ตายยังไง ก็สู้แรงของผมไม่ได้หรอก

ทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกไม่ได้เกิดมาอย่างเท่าเทียมกัน โลกนี้ไม่มีความยุติธรรมหรอก

'พ่อครับ ถ้าผมช่วยเหลือคนอื่น คนอื่นก็จะช่วยเหลือผมเหมือนกันใช่ไหมครับ'

...มนุษย์คือสิ่งมีชีวิต และทุกชีวิตมีจุดประสงค์หลักเพื่อเอาตัวเองให้รอด...

อนิจจา ผมต่อชีวิตให้เจ้าแมลงปอน้อยได้เพียงไม่กี่อึดใจ มันก็บินไปติดกับต้นหม้อข้าวหม้อแกงลิงซะแล้ว

ออกมาเร็ว!! เจ้าแมลงปอน้อย ถ้าเดินต่อไปอีกนิดละก็ เจ้าจะลื่นตกลงไปแล้วนะ

ผมสามารถยื่นมือไปช่วยมันได้ทันนะ แม้การยื่นนิ้วออกไปเพียงไม่กี่เซนติเมตรจะใช้พลังงานไม่กี่เอทีพีก็ตาม แต่ผมเลือกที่จะไม่ทำ ผมช่วยมันมาครั้งนึงแล้วแต่มันกลับโง่รนหาที่ตายเอง

ถ้ามันฉลาดพอ ถ้ามันไม่บินหนีจากผมซึ่งเป็นคนช่วยมัน ถ้ามันเลือกที่จะมาเกาะไหล่ผม อยู่เป็นเพื่อนผม แทนที่จะบินไปหากระเปาะน้ำหวานอันโอชะ มันก็คงจะไม่เป็นแบบนี้

แต่ก็นะ แมลงปอก็แค่สัตว์ชนิดหนึ่ง มันไม่มีความรู้สึกนึกคิดหรอก สิ่งที่มันสนใจก็คือการหาวิธีเอาตัวรอด ไม่ได้สนใจจะผูกมิตรกับใคร

มนุษย์ก็เป็นสัตว์เช่นกัน และสัตว์ก็เกิดมาเพื่อเอาตัวเองให้รอด ไม่ได้เกิดมาเพื่อคิดจะช่วยเหลือคนอื่น

'แม่ครับ ทุกคนสามารถเป็นฮีโร่ได้ใช่ไหมครับ ทุกคนมีค่าในตัวเองใช่ไหมครับ'

...เป็นฮีโร่? ทุกคนมีคุณค่าในตัวเอง? เหรอ?...

ผมคิดไปเรื่อยพลางเดินตรงไปยังทางเข้าตึกคณะ สายตาเหม่อมองตามพื้นดินที่เหี่ยวเฉา เศษใบเสลาที่ร่วงโรยลงมาเกลื่อนพื้นดูน่ารำคาญตา มันทั้งเหี่ยวทั้งแห้งเป็นสีน้ำตาลไหม้ผิดกับดอกสีชมพูสดสวยที่ลำต้นของมัน

เป็นวัฏจักรชีวิต เมื่อดอกเสลาผลิบาน ใบ้ไม้จะถูกพิฆาตจนนิพพานไป

มันเป็นธรรมชาติ ที่ต้องทิ้งของสกปรกไร้ค่าลงมาสู่ดิน แล้วเชิดชูของสวยงามน่าเชยชมขึ้นไปให้เดือนและดาวบนฟ้าสูดดมชมเชยแทน

แต่อีกไม่นานหรอก ดอกไม้ที่สวยงามก็จะเหี่ยวเฉาลงไป เมื่อหมดความงาม ก็ถึงเวลาที่มันจะถูกทอดทิ้งและร่วงลงมาเช่นกัน

ทุกสิ่งทุกอย่างมีคุณค่าแน่ ถ้าสิ่งนั้นสร้างผลประโยชน์ให้ แต่หากหมดแล้วซึ่งประสิทธิภาพ ก็เตรียมตัวอยู่อย่างโดดเดี่ยวได้เลย

ผมก้าวช้าลงเรื่อย ๆ และไม่นานเท้าของผมก็หยุดลง

'สัญญากับแม่นะว่าลูกจะดูแลและปกป้องคนที่อ่อนแอกว่าเสมอ'

...แม่ครับ...

...ผมจะทำได้จริง ๆ เหรอ...

"ทำไมถึงคิดว่านายจะทำไม่ได้ล่ะ" ผมสะดุ้ง แต่ไม่แรงพอที่จะทำให้บุคคลที่หันหลังอยู่นั้นรู้สึกตัว "นายมีดีกว่าที่นายคิดนะ รู้ไหม?"

เบื้องหน้าของผมคือหนุ่มน้อยในชุดนักเรียนกางเกงสีกากี ดูเหมือนว่าเขากำลังพึมพำกับตัวเองอยู่ ไม่ได้กำลังพูดอยู่กับผมแต่อย่างใด

เสียงนั้นช่างบางเบาจนเกือบจะถูกเสียงร้องของนกน้อยกลบไปจนสิ้น แต่ทุกคำที่ถูกเปล่งออกมานั้นผมได้ยินชัดเจน

มันอาจไม่ชัดเจนที่หูทั้งสองข้างของผม แต่มันดังสนั่นสั่นไหวอยู่ในหัวใจ

จิตใจที่เย็นชืดนี้กำลังถูกโอบกอดจากคำพูดของเด็กหนุ่มแปลกหน้า

ทำไมกันนะ ก็แค่คำพูดธรรมดา ทำไมถึงทำให้ผมรู้สึกอบอุ่นหัวใจขึ้นมาได้...

ผมชำเลืองมองหนุ่มน้อยคนนี้จากทางด้านหลัง แม้จะไม่เห็นเต็มทั้งใบหน้า แต่ก็บอกได้ว่าสีหน้าส่อแววกังวลได้อย่างชัดเจน คิ้วของเขาขมวดเข้าหากันแน่นมาก น้ำตาหยดน้อย ๆ ค้างอยู่ที่หางตา ร่างกายสั่นไหวไปทั่ว

"การวิ่งหนีไปไม่ได้ช่วยอะไรหรอกนะ" บุคคลตรงหน้ายังคงพึมพำกับตัวเองต่อด้วยเสียงอันสั่นเครือ "ยังไงนายก็ต้องเติบโตขึ้น ยังไงนายก็ต้องเอาชนะความกลัวของตัวเองให้ได้ ไม่ว่าจะช้าหรือเร็วนายก็ต้องทำให้ได้"

...

"จะคอยอยู่เคียงข้างนายเสมอ เพราะงั้น...นายต้องสู้นะ"

สู้เหรอ?

...จะลองดูนะ

"อื้ม พี่จะสู้"

สิ้นเสียงของผม เด็กหนุ่มเหลียวหลังมามองทันที ริมฝีปากผลิออกเล็กน้อยเหมือนดอกอัญชัญสีซีดที่กำลังเบ่งบาน

ในขณะนั้นเอง ลมโชยพัดผ่าน ทำเอาต้นไม้น้อยใหญ่สะบัดไปมา ดอกสีชมพูหลุดร่วงลงมาจากต้นเสลาปลิวตัดผ่านใบหน้าของเราสองคน ผมของเขาสั่นไหวไปตามแรงลมซึ่งมีทิศทางเดียวกับป้ายชื่อและเนคไทของผม

ชั่วขณะที่เราสบสายตาของกันและกัน ทุกอย่างดูจะหยุดเคลื่อนไหวไปในเพียงเสี้ยววินาที เสียงของธรรมชาติรอบกายจางหายไปและกลายเป็นเสียงหัวใจที่เต้นตึกตักอยู่ในอกแทน

ใบหน้านี้เป็นของคนแปลกหน้า แต่ผมกลับคุ้นเคยกับแววตาอันแสนอ่อนโยนคู่นี้

เมื่อหลุดจากมนต์สะกดได้ ในที่สุดผมก็ก้าวออกไปยืนข้าง ๆ เด็กชายคนนั้น ปากของผมกำลังจะทำหน้าที่ของมัน ไม่ใช่เพราะสมองสั่งการ แต่มันมาจากหัวใจ

"นายเองก็ด้วย นายก็ต้องสู้นะ"

เด็กหนุ่มตรงหน้าเลือกที่จะตอบผมด้วยความเงียบ เงียบทั้งเสียงและท่าทาง ทั้งร่างดูจะถูกหยุดนิ่งไว้อยู่อย่างนั้น ดวงตาเปื้อนคราบน้ำตายังคงมองค้างอยู่ที่จุดเดิม ไม่กระพริบแม้แต่นิดเดียว

"ไม่ต้องห่วง พี่จะดูแลนายเอง"

ผมบุ้ยปากไปที่ทางเข้า ยื่นมือไปปัดกลีบดอกเสลาที่ปลิวมาตกอยู่บนหัวของเขาอย่างนิ่มนวลแล้วก้าวออกไปข้างหน้า

"ปะ ไปกันเถอะ"

หนุ่มน้อยไม่ได้พูดอะไรออกมาแต่ตอบกลับด้วยการพยักหน้าเบา ๆ แล้วเดินตามผมมา

เราก้าวเดินไปพร้อมกัน เคียงข้างกัน และในที่สุดประตูบานนั้นก็ถูกเปิดออก กระจายแสงจากโลกภายนอกเข้าทำลายความมืดมิดที่อยู่ด้านในจนหมดสิ้น

กลิ่นอายที่คุ้นเคยโชยเข้ามายังประสาทรับรู้ที่หกของผม

อุ่นไอรัก...คำนี้ใช่ไหมที่เขาเรียกกัน