webnovel

บทที่ 6 ภวังค์หวาน

บทที่ 6

ภวังค์หวาน

งานเลี้ยงภายในของสำนักญาณศึกษาถูกจัดขึ้นมาอย่างยิ่งใหญ่ให้สมเกียรติงานฉลองวันเกิดผู้อาวุโสปกครองเขตสำนักชาดทมิฬโดยภายในงานตกแต่งด้วยโคมไฟสีแดงลอยรายรอบเส้นแบ่งเขตสำนักและตามทางเดินเข้างาน ภายในงานมีดอกไม้หายากในป่าอาถรรพ์ประดับตกแต่งตามมุมห้องและบนเพดานห้องโถงจัดงานมีผ้าผนึกเงาที่ตอนนี้กำลังแสดงภาพการประลองของเหล่าศิษย์ในสำนักเขตชาดทมิฬที่ผ่านมาให้คนภายในงานได้ชมผลงานของสำนักตัวเองที่ขึ้นชื่อเรื่องการฝึกยุทธ์ที่สุดอย่างที่ไม่กลัวคนจะหาว่าโอ้อวดเลยสักนิด

เขตสำนักอื่นๆที่เข้ามาร่วมงานต่างใส่ชุดประจำเขตตนเองมาที่ส่วนใหญ่จะเป็นสีแดง สีดำ สีม่วง สีเขียว ทำให้ในงานเต็มไปด้วยสีสันที่ตัดกันอย่างโดดเด่นและเป็นสัดส่วนตามที่จัดแบ่งไว้ให้ทำให้ภาพที่ออกมางดงามอย่างประหลาด จนเมื่อเขตสำนักบุหลันที่มางานเป็นกลุ่มสุดท้ายกำลังเดินเข้ามาโดยการนำของอาจารย์เซียงและเหล่าศิษย์ที่เดินเข้าอย่างเป็นระเบียบและพร้อมเพรียงด้วยประกายสีขาวจากชุดที่ใส่ทำให้ทั้ง 7 คนโดดเด่นที่สุดในงานทั้งสีชุดที่ต่างจากเขตอื่นที่สุดและจำนวนศิษย์ที่น้อยนิดหรือแม้แต่หน้าตา รูปร่างที่แตกต่างจากสำนักอื่นอย่างชัดเจน ยิ่งโต๊ะอาจารย์เซียงที่ถูกจัดให้เคียงคู่กับเจ้าของงานอย่างอาจารย์หลี่อีก ยิ่งเป็นจุดเด่นไปกันใหญ่พอเดินเข้ามาใกล้ที่นั่งอาจารย์หลี่ก็ลุกขึ้นจากที่นั่งมาจับจูงมืออาจารย์เซียงให้ไปนั่งเคียงข้างตน ส่วนเหล่าศิษย์ของคนตัวเล็กก็ให้ศิษย์เอกตนจัดการที่นั่งให้นี่งถัดจากอาจารย์ลงไป

"วันนี้เป็นศิษย์คนใดของเซียงเอ๋อร์รึที่จะทำการแสดงเปิดงานให้พี่"คนตัวสูงที่เนียนจูงมือคนตัวเล็กกว่ามานั่งเคียงข้างทั้งยังไม่ยอมปล่อยมือแล้วชวนคุยเปลี่ยนเรื่องเพื่อที่คนตัวเล็กจะได้ไม่สังเกตถึงความผิดปกตินี้ แต่สายตาคนในงานนั้นไม่ใช่เลยถึงแม้จะเห็นอย่างนี้บ่อยๆในทุกงานภายในสำนักญาณศึกษาก็ตาม ถ้าบอกว่านี่คือคู่บำเพ็ญพฤติกรรมข้าวใหม่ปลามันหรือดั่งสามีภรรยาเหล่านี้จะไม่แปลกอันใดเลย เพราะที่นี่นับถือกันที่ความดีและความสามารถถึงทั้งคู่จะบุรุษทั้งคู่ก็ไม่ได้แปลกอันใด แต่นี่ทั้งคู่มิใช่คู่บำเพ็ญทำให้พฤติกรรมที่แสดงออกมาออกจะเกินเพื่อนไปไกลสักหน่อย

"หลงเอ๋อร์จะเป็นคนแสดงนะ เห็นว่าจะเล่นดนตรีที่มีเพียงชิ้นเดียวในโลกด้วย ข้าเองก็ไม่รู้ว่าคือสิ่งใดเช่นกัน"คนตัวเล็กเงยดวงหน้าสวยขึ้นสบตาแล้วตอบเสียงหวานใสกังวาล ทำให้คนที่มองสบสายตาดวงใจเต้นระรัวแทบทะลุออกมานอกอก

"เช่นนั้นรึ ดี ดียิ่ง"ร่างสูงใหญ่รำพึงออกมาเบาๆราวกับตกอยู่ในภวังค์

"อืม แล้วท่านก็ปล่อยมือข้าสักที"คำพูดของคนตัวเล็กกว่าฉุดรั้งสติร่างใหญ่ให้กลับเข้าร่างเพื่อทบทวนสิ่งที่อีกคนบอก จากนั้นมือเล็กก็ยกมือที่ถูกมือใหญ่กอบกุมเอาไว้ขึ้นชูตรงหน้าร่างสูงให้ปล่อยมือ แต่ร่างใหญ่ก็ทำหน้ามึนเหมือนไม่รู้ไม่เข้าใจที่ร่างเล็กพูดและกระทำว่าต้องการสิ่งใด

"แล้วถ้าไม่ปล่อยละ เซียงเอ๋อร์จะทำอันใดพี่รึ"ร่างใหญ่ทำหน้ายียวนและทำน้ำเสียงเหมือนสนุกสนาน

"นี่..จิ๊"ร่างเล็กทำได้เพียงขึ้นเสียงอย่างลำคาญและมองค้อนส่งไปให้ร่างใหญ่และยอมให้อีกฝ่ายกุมมือไว้เช่นนั้น โดยพยายามทำหน้าให้นิ่งที่สุดเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น กลบเกลื่อนหัวใจที่กำลังเต้นแรงจนกลัวว่าคนที่อยู่ใกล้จะได้ยินเอาได้

"555555"ร่างใหญ่หัวเราะออกมาที่แกล้งแหย่คนตัวเล็กกว่าได้แล้วทำหน้าพึงพอใจมากออก

อีกด้านที่เวทีแสดงตรงข้ามกับที่นั่งของเจ้าของงานวันเกิดและอาจารย์ของผมเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นผมเห็นและได้ยินทุกอย่างแบบที่ทุกคนได้ยินละครับ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้เพราะเป็นเรื่องของผู้ใหญ่นอกจากทำหน้าเหม็นเบื่อความรักลอยๆไปและก็มาเตรียมของจะได้ทำการแสดงเปิดงานสักที ผมเลยเอาคันสีออกและไวโอลินที่ผมประดิษฐ์ออกมาจากแหวนมิติรูปลักษณ์มันอาจจะไม่มีลวดลายและสีสันที่สวยอย่างในปัจจุบัน แต่เสียงที่ออกมาไพเราะไม่ต่างกันเลยนะว่าไม่ได้ ละที่ผมเลือกเล่นไวโอลินเพราะทั้งชีวิตชอบแค่เครื่องดนตรีสามอย่างคือไวโอลิน เปียโนและกลองชุดครับ ถ้าให้ทำเปียโนหรือกลองชุดเองก็จะแลดูเก่งไปและใครจะไปทำเองเล่นๆได้ละครับ สิ่งที่ดูง่ายและทำได้จริงคงมีแค่ไวโอลินนี่ละครับ แล้วก็ใกล้ถึงเวลาแสดงของผมแล้ว ผมเลือกเพลงมาแสดงที่ไม่ง่ายไม่อยากจนเกินไปที่ผมเห็นในซีรีย์จีนหรือเห็นตอนเลื่อนดูติ๊กแต๊กจะได้ยินเพลงนี้บ่อยๆ เพลง ซูมูจือของจางเซียวถัง ที่ผสมผสานกันระหว่างวัฒนธรรมสมัยก่อนและความสมัยใหม่เข้าด้วยกันอย่างลงตัวเพลงนี้จึงเป็นเพลงโปรดที่ผมต้องฟังวันละไม่ต่ำกว่า 10 รอบเพราะชอบมากจริงๆ แต่ก็ไม่เคยเล่นสักที จนมางานนี้ละที่ทำให้ผมขุดความทรงจำทั้งเนื้อทั้งโน้ตออกมาฝึกเพื่อโชว์ชาวบ้านเนี่ย และที่ทำให้ผมตื่นเต้นกว่านั้นคือสายตาของคนทั้งงานที่มองมาที่ผมเป็นจุดเดียวมีสายตามากมายหลายแบบทั้งจากคาดหวังตื่นเต้นจากเขตตัวเอง และตื่นตะลึงทั้งรูปโฉมของคนแสดงและเครื่องดนตรี หรือแม้แต่อิจฉาที่เป็นเขตที่ศิษย์หน้าตาโดดเด่นที่สุดแล้วอยากรู้ความสามารถของศิษย์เพื่อเกทับหาข้อด้อยมาติฉินนินทาจากเขตอื่น หรือแม้แต่อยากทำความรู้จักอยากเป็นพันธมิตรกับเขตสำนักบุหลันเองก็ด้วย ฉะนั้นผมจะผิดพลาดไม่ได้ แต่มันยิ่งเป็นการกดดันตัวเองนะสิจนตอนนี้มือผมเริ่มสั่นละจากตอนแรกผมยังชิลๆอยู่เลย แต่ยิ่งคนคาดหวังผมยิ่งกดดันป่ะ ธรรมชาติของมนุษย์ทั้งนั้น ผมเลยหยิบยาดมสงบใจจากแหวนมิติมาดมให้สมองปลอดโปร่งและไล่ความตื่นเต้นไป จากนั้นเสียงประทัดและพลุก็ถูกจุดขึ้นอย่างต่อเนื่องจนหูดับราวกับเปิดงานมหกรรมยิ่งใหญ่ในเมืองหลวงไม่มีผิด ถ้ามีเชิดสิงโตนี่ใช่เลยครับ หลังจากที่สิ้นเสียงประทัดลงก็ยกน้ำชาดื่มแสดงความอวยพรให้เจ้าของงาน จากนั้นก็ถึงการแสดงเปิดงานอย่างผม ที่เดินอย่างมั่นคงขึ้นเวทีไปและทันทีที่ผมเริ่มหยิบไวโอลินขึ้นมาวางบนไหล่และใช้คางวางบนไปตัวของไวโอลิน แล้วมือข้างซ้ายก็จับคอของไวโอลินแล้วรีบวางนิ้วไว้ที่ฟิงเกอร์บอร์ดแล้วจับคอร์ด ส่วนมือขวาก็ถือคันสีแล้วเริ่มต้นบรรเลงทันที เดิมทีที่เห็นท่าทางของอี้เหลียนหลง ทุกคนในงานก็สนใจมากพอแล้ว ยิ่งเริ่มบรรเลงแล้วได้ยินเสียงเพลงที่ไพเราะและไม่เคยได้ยินที่ไหนจึงทำให้ทุกคนเคลิบเคลิ้มได้ไม่ยาก และยิ่งพอเพลงเข้าจังหวะที่กระชั้นชิดขึ้นรอบๆตัวของอี้เหลียนหลงก็มีเถามวลดอกไม้บานนานาชนิดผุดขึ้นมาราวกับภาพมายา ทำให้ภาพที่เห็นยิ่งกระตุกหัวใจคนดูในความสวยงามในการแสดงครั้งนี้ โดยทุกคนคิดว่านี่คือส่วนหนึ่งของการแสดง แต่ใครจะรู้ดีที่สุดเท่าคนแสดงอย่างอี้เหลียนหลงว่ามวลดอกไม้เวทย์นี้ไม่ใช่ฝีมือของเขา และไม่ได้อยู่ในการแสดงของเขาเลย แต่เขาก็ทำอะไรไม่ได้จึงตั้งใจบรรเลงไวโอลินต่อไป และในขณะที่เขาบรรเลงเพลงอย่างเผลอไผลนั้นในภวังค์ดนตรีนั้น ประตูงานเลี้ยงข้างหลังเขาก็เปิดขึ้นอย่างแผ่วเบา แต่รัศมีสีทองก็ส่องสว่างเข้ามาที่ตัวเขาที่หันหลังเล่นดนตรีอยู่กลางห้องตรงข้ามกับที่นั่งของเจ้าของวันเกิด เขาจึงค่อยๆเล่นไวโอลินแล้วขยับหมุนตัวไปมาแล้วหมุนมาทางรัศมีสีทองที่เหมือนเดินเข้ามาใกล้ตัวเขาเรื่อยๆ จนเขาสบตาเข้ากับดวงตาสีดำรัตติกาลนั้น ภาพที่เห็นเหมือนเวลาเดินช้าลง ทั้งคู่สบตากันท่ามกลางเสียงดนตรีไพเราะและมวลดอกไม้ที่โอบล้อมทั้งคู่ให้อยู่ภายในดงดอกไม้นั้นแล้วท่วงทำนองเพลงก็เริ่มช้าลงใกล้เข้าสู่จุดจบของบทเพลงแต่คนทั้งคู่ยังคงสบตากันและที่ดังพอๆกับเสียงดนตรีคือหัวใจดวงน้อยที่กำลังเต้นระรัวกับดวงตาที่มองสบตามาเหมือนมีความคิดถึง โหยหาแล้วมีเรื่องราวมากมายในใจที่อยากเล่าให้ฟัง แต่ทำได้เพียงเก็บมันไว้ลึกสุดใจ จนเมื่อเพลงจบก็ยังไม่มีใครถอนสายตาออกไป จนรอบตัวที่เงียบสงบในความรู้สึกลุกขึ้นแล้วก้มหัวทำความเคารพและสรรเสริญร่างที่อยู่ตรงหน้าทันที

"คารวะท่านเทพจินหลง ขอให้สุขภาพแข็งแรง อายุยืนหมื่นปี หมื่นๆปี"เสียงที่ดังเซ็งแซ่ขึ้นมารอบตัวทำให้ผมตื่นจากภวังค์ที่แปลกประหลาดประปนกันไปในความรู้สึกทั้งความรู้สึกรัก ทั้งเศร้าเสียใจ ทั้งผิดหวัง ทั้งความรู้สึกที่เจ็บในอก เหมือนหลุดเข้าไปในความคุ้นเคยนั้นอย่างบอกไม่ถูก ทั้งที่เป็นครั้งที่สองที่เราเจอกัน

"คารวะท่านเทพ ข้าน้อยเสียมารยาทแล้วต้องขออภัย"ผมที่ตื่นจากภวังค์จึงก้มหัวลงคารวะ

"ไม่เป็นไร ลุกขึ้นเถิด ทุกคนก็ด้วย"ร่างใหญ่ในชุดดำปักลายมังกรทองพูดขึ้นพร้อมกับที่สถานการณ์เริ่มเข้าสู่ภาวะปกติ

"อ้าว ศิษย์พี่จินหลงท่านมางานข้าด้วยเหรอเนี่ย คิดว่าจะไม่มาซะอีก "อาจารย์หลี่พูดขึ้นราวกับกำลังเห็นเรื่องสนุกอะไรเข้า จึงถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเจ้าเล่ห์

"เจ้าชวนข้าเอง ข้าไม่มาเจ้าก็บ่นให้ข้า พอข้ามาเจ้าก็จับผิดข้า"น้ำเสียงราบเรียบตอบยียวนกลับไป

"เห็นทุกปีไม่มา เลยอยากรู้ว่าทำไมปีนี้ท่านถึงมาได้นะ"

"เพราะไม่เคยมา ปีนี้ข้าจึงมาอวยพรสักปีอย่างไรเล่า"

"เป็นเช่นนั้นรึ"เสียงเจ้าเล่ห์ถามอย่างรู้ทันพร้อมกับชำเลืองสายตามาที่ผม

"เป็นเช่นนั้น"

"ไม่เหมือนเจ้าหรอกที่ทำราวกับงานนี่มีเจ้าของถึงสองคน"จินหลงถามพร้อมมองไปข้างตัวอาจารย์หลี่

"ข้าย่อมต้องให้เกียรติคนที่มาร่วมงานแล้วยังให้ศิษย์ในสำนักแสดงเปิดงานให้ข้าสิท่านพี่"

"เป็นเช่นนั้นรึเซียงเอ๋อร์"จินหลงหันไปถามอาจารย์เซียงที่นั่งอยู่เงียบๆ แต่ก็ยังมีเผือกร้อนมาถึงมือ

"ขอรับศิษย์พี่ อาหลี่ขอให้ช่วยแสดงเปิดงานนะขอรับ ข้าเห็นเป็นอวยพรสหายจึงไม่ปฏิเสธนะขอรับ"อาจารย์เซียงตอบโดยไม่เห็นหน้าอาจารย์หลี่ที่เริ่มหน้าตึงขึ้นมาแล้ว

"อ่อ แค่สหายสินะ"เสียงราบเรียบเริ่มมีแววสนุกเจืออยู่ในเสียงเหมือนพรึมพรำแต่ก็ได้ยินกันทุกคน

"หลงเอ๋อร์เจ้ากลับที่นั่งเถอะ ส่วนศิษย์พี่เชิญที่โต๊ะเถอะขอรับ"เจ้าของงานตัดบททันทีที่เขาเป็นฝ่ายเสียงเปรียบ ไม่เปิดโอกาศให้ต้อนเขาอีกหรอก ส่วนคนตัวเล็กข้างตัวคงทำได้แค่คาดโทษไว้ในใจเท่านั้น

จินหลงจึงเดินผ่านหน้าผมไปที่นั่งตัวเองที่ถูดจัดให้นั่งทางฝั่งขวามือเจ้าของงานแถมยังนั่งสูงกว่าเล็กน้อยด้วย แล้วมองตามผมที่เดินไปนั่งที่ตัวเอง งานเลี้ยงจึงดำเนินต่อไปอย่างครึ้นเครง แต่ผมกลับมีความประหลาดใจที่เวลาสบตาของจินหลงทีไรเหมือนมีอะไรที่ผมกับเขารู้จักกันหรือผ่านด้วยกันมาก่อน ถ้ารู้จักกันมาก่อนทำไมจินหลงทำเหมือนไม่รู้จักผมในครั้งแรกที่เจอกันละ ทำไมไม่บอกว่ารู้จักกันมาก่อนแถมยังทำความรู้จักกันใหม่อีก แต่จากที่ผมทบทวนในความจำของร่างนี้ก็ไม่ได้รู้จักกับจินหลงมาก่อนนะ แล้วเวลาที่สบตากันแล้วภาพเลือนรางในหัวที่เห็นคืออะไร ผมไม่เข้าใจ หรือจริงๆแล้วเราเพิ่งรู้จักกัน แต่แววตาเขาที่มองสบกันตอนแสดงดนตรีนั้นเต็มไปด้วยความคุ้นเคยและคิดถึงโหยหากันแน่ๆ ผมมั่นใจว่าตัวเองตาไม่ฝาดนะ แต่ตอนนี้ที่บางครั้งผมเผลอจ้องมองไปทางจินหลงแล้วเขาก็หันมาสบตากับผมพอดิบพอดีแววตานั้นเหมือนไม่มีอะไร นิ่งสงบ และลึกล้ำคิดอะไรอยู่ไม่มีใครรู้ เหมือนที่ผมเห็นแค่ตาลาย ตาฝาดไปเองแต่ไม่ใช่อะหัวใจผมมันบอกแบบนั้นว่ามันต้องอะไรแน่ๆ

"ศิษย์พี่ ข้าขอออกไปเดินเล่นหยืดเส้นหยืดเส้นนะขอรับ"ผมสะกิดศิษย์พี่สวี่แล้วกระซิบถาม

"ได้สิ ให้พี่ไปเป็นเพื่อนมั้ย"พี่สวี่หันมาถามกลับ

"ข้าอยากไปคนเดียวขอรับ"ผมบอกความต้องการไป

"เช่นนั้นหลงเอ๋อร์ก็ได้ระวังตัวด้วยนะ"พี่สวี่ทำหน้าคิดแปปนึงแล้วจึงกำชับผมอีกที

"ขอรับ"

"อย่าไปนานนักละ เดี่ยวศิษย์พี่ทุกคนจะเป็นห่วง"

"ขอรับ"ผมรับคำพี่สวี่จากนั้นก็หายวับออกมานอกงานแล้วเดินหาสวนดอกไม้ภายในเขตสำนักชาดทมิฬทั้งที่ไม่รู้ว่าจะมีหรือเปล่า แต่เขาอยากใช้เวลาขบคิดกับตัวเองเงียบๆถึงความสับสนวุ่นวายภายในทั้งจิตใจและสมอง เพราะไม่ว่าจะหาเหตุหาผลยังไงเรื่องที่เขาคิดไม่ตกก็ยังคงเป็นปริศนาไม่มีคำตอบเลย

คล้ายหลังที่ร่างเพรียวหายวับไปเขาจึงอวยพรแล้วร่ำลาศิษย์น้องและอาจารย์ทุกท่านก่อนจะหายวับไป ท่ามกลางสายตาสงสัยของคนทั้งสำนักญาณศึกษาว่าเขาจะไปไหน แต่เขาก็ไม่สนสายตาผู้ใดหายวับไปอยู่ดี แต่โผล่มายืนมองดูร่างเพรียวบางที่เดินอย่างเชื่องช้าไปเรื่อยๆด้วยท่าทางคิดไม่ตก ไม่รู้ว่าหัวเล็กๆนั้นคิดอะไรอยู่ถึงทำหน้าเครียดขนาดนั้นหรือเหลียนหลงจะจำอะไรได้ เขายังคงมองร่างเล็กนั้นที่เหม่อเดินไปชนเข้ากับกำแพงเวทย์แบ่งเขตที่โปร่งใสมองด้วยตาเปล่าไม่เห็น แต่แข็งแรงกว่ากำแพงทั่วไปมากดูจากการบ่นจากปากเล็กๆนั้น

โป๊ะ "โอ้ยยยเจ็บ ชนอะไรเนี่ยทำไมเจ็บอย่างนี้"ผมที่เดินคิดอะไรไปเรื่อยชนเข้ากับอะไรไม่รู้แข็งๆแต่ก็ไม่เห็นมีอะไรขว้างหน้าผมนะ ผมเลยยกมือคลำหน้าผากที่ยังเจ็บอยู่บ่งบอกว่าผมชนอะไรสักอย่างจริงๆ เลยยื่นมือไปข้างหน้าที่ว่างเปล่าแล้วก็คลำเจออะไรแข็งๆไม่รู้ไม่ขยับด้วยแต่โปร่งๆใสๆ

"อะไรอะ ละทำไมมาอยู่ตรงนี้ได้"ผมมองไปรอบๆไปมาจึงเข้าใจว่านี่จะน่าจะเป็นกำแพงเวทย์ละมั้ง

"ทำคนเจ็บตัวได้นะไอ้กำแพงบ้าเนี่ย ใครอุตริคิดทำเป็นคนแรกว่ะ น่าต่อยสักเปรี้ยงเลย คิดได้ไงสร้างซะใสแจ๋วเลย ทำแบบทั่วไปก็ได้มะจะได้เห็นชัดๆจะได้ไม่เดินชนป่ะ นี่เจตนาทำร้ายใช่ป่ะ"

ผมที่หงุดหงิดอยู่แล้วเลยโมโหขิงข่าทุกอย่าง แล้วหาเรื่องระบายไปทั่วด่านั้นโทษนี่ทั้งที่รู้ตัวว่าผมนี่ละครับผิดที่เดินมาชมมันเข้าผมมีขาส่วนมันไม่มีไง แต่ก็อดจะโมโหไม่ได้อยู่ดี

"อันธพาลที่ไหนกันมากร่อนด่ากำแพงเวทย์ที่ข้าคิดขึ้น"เสียงทุ้มราบเรียบดังมาจากด้านหลัง

"จะ..จิน..จินหลง"ผมตะกุกตะกักที่เห็นคนที่ทำให้หงุดหงิดมาอยู่ตรงหน้า

"เหลียนเอ๋อร์เองรึที่เป็นอันธพาลน้อย"เสียงทุ้มถามอย่างขบขัน

"ข้าไม่ได้ตั้งใจจะว่าท่านที่คิดเวทย์กำแพงนี่ขึ้นมาหรอกนะ แค่ไม่เข้าใจทำไมต้องโปร่งแสงด้วย คนที่ไม่ทันมองก็เดินชนเจ็บตัวนะสิ"ผมเถียงกลับเสียงขุ่น

"หึหึหึหึ ตั้งแต่ที่ข้าคิดเวทย์นี่ขึ้นมาก็มีเจ้าคนเดียวนี่ละที่เดินชน ปกติผู้ฝึกยุทธ์ทั่วไปมักมองเห็นอาณาเขตของกำแพงเวทย์อยู่แล้ว ถ้าตั้งใจมองนะแล้วเจ้าละได้ตั้งใจมองหรือเปล่า"

"กะ..ก็..ก็ต้องตั้งใจอยู่แล้วสิ"ผมโกหกกลับไปเพราะหากมองกำแพงดีๆจะมีเหมือนตาข่ายสีแดงอ่อนๆเปล่งออกมาให้รับรู้ว่านี่คือเขตกำแพงเวทย์ ทำไมผมถึงไม่เห็นตั้งแต่ทีแรกว่ะ เสียหน้าหมดเลย สงสัยความโมโหบังตา

"แล้วออกมาข้างนอกทำไม อากาศเย็นเยี่ยงนี้เดี่ยวก็ไม่สบายหรอก"ร่างสูงพูดออกมาเสียงเรียบเหมือนพูดเรื่องดินฟ้าอากาศ

"ข้าแค่ออกมาเดินเล่นหยืดเส้นหยืดสายนะ แล้วท่านละออกมาทำไม"

"ข้ากำลังจะกลับไปพักผ่อนนะ"

"กลับที่พักแล้วทำไมมาเดินอยู่ที่นี่ไม่ร่ายเวทย์กลับเขตตัวเอง"ผมถามอย่างสงสัยในการกระทำของอีกฝ่ายทั้งยังอยากจะจับผิดว่าเขามาอยู่ตรงนี้ได้ไง

"ข้าแค่อยากเดินกลับ"

"ที่พักท่านใกล้ขนาดนั้นเลยเหรอ"

"สำนักญาณศึกษานี่เป็นของข้า ข้าจะทำอะไรก็ได้จะเดิน จะนั่ง จะนอน จะไปไหนมาไหนโดยที่ไม่จำเป็นต้องขออนุญาตผู้ใด เจ้าว่าข้าพูดถูกมั้ยเหลียนเอ๋อร์"เออว่ะ จริงด้วย เขาคือท่านเทพจินหลงที่ทุกคนในที่นี่แม้แต่ผู้อาวุโสทุกคนล้วนก้มหัวให้ก็แสดงว่าเขายิ่งใหญ่มากและน่าจะเป็นบุคคลที่มีบทบาทกับที่นี่มากที่สุดนี่น่า ทำไมเขาลืมคิดข้อนี่ไปได้นะ

"จินหลง เอาจริงๆเลยนะ เราเคยรู้สึกกันมาก่อนใช่มั้ย"ผมเลยเปลี่ยนเรื่องคุยเป็นลากเข้าเรื่องที่ผมสงสัยแทน

"ต้องเคยรู้จักสิ"ผมตาโตหลังจากที่ได้ยินคำพูดนั้น

"จริง รู้จักกันได้ยังอะ"ถามไปอย่างตื่นเต้น

"ก็ที่ป่าด้านหลังสำนักบุหลันไง"เขาตอบมาเสียงเรียบ

"ไม่ใช่ดิ ต้องรู้จักกันมาก่อนหน้านั้นสิ"

"หน้าไหน ตอนไหน ข้าไม่เห็นจำได้เลยว่าเคยรู้จักเหลียนเอ๋อร์มาก่อน"

"ไม่จริงอะ ข้าไม่เชื่อว่าเจ้าไม่รู้จักข้า"

"แล้วเจ้าละ มั่นใจได้ยังไงว่าเราเคยรู้จักกันมาก่อน"เสียงเริ่มเข้มขึ้น

"ก็..ก็ข้าเห็น"ผมตะกุกตะกัก

"เห็นสิ่งใด"ร่างสูงจ้องเขม็ง

"ไม่มีสิ่งใด ข้าแค่ล้อท่านเล่น งั้นข้าขอตัวก่อนละ"ผมรีบบอกไปเมื่อเห็นสายตานั้นเริ่มดุดันขึ้นเมื่อกำลังชั่งใจอะไรสักอย่าง และรีบหายวับเข้าไปในงานทันที หลังจากร่างเล็กจากไปร่างสูงใหญ่ของจินหลงยังยืนอยู่ที่เดิมพร้อมทั้งขบคิดอย่างหนักอึ้งที่ได้ยินบางอย่างจากปากเล็กนั้น เหลียนหลงเห็นภาพอะไร เขาจำอะไรได้ เขาจะจำได้ได้ยังไง ไม่จริง นี่ยังไม่ถึงเวลาที่เขาจะจำได้เลย ความคิดเขาถกเถียงกันไปมาอย่างหนักเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งถึงเรื่องที่ได้ยินมาเมื่อกี้ ร่างสูงใหญ่จึงกลับตำหนักเวหาแล้ววางแผนใหม่เผื่อเหลียนหลงจะจำได้ทุกอย่างก่อนเวลา เขาต้องวางแผนให้เป็นไปตามแผนเขาก่อน

ด้านนึงคิดหนักทั้งคือแต่ด้านอี้เหลียนหลงกลับไม่คิดมากอะไรเลยหลังจากกลับมาจากงานเลี้ยง ก็โยนทุกสิ่งอย่างออกจากหัวไปแล้วคิดแค่ว่าถึงเวลาแล้วจะรู้เอง ก็อาบน้ำเตรียมตัวเข้านอนโดยที่ตั้งมั่นว่าจะไม่คิดอะไรมากอีกแล้วปวดหัว ก็ดับเทียนล้มตัวลงนอน บนโต๊ะที่วางตะกร้าไว้ให้เป็นที่นอนของสัตว์ในพันธะตัวเองที่ตอนนี้ดวงตาแดงกร่ำนั้นกำลังวาวโรจน์อย่างโกรธเกลียด อาฆาตถึงผู้ที่เขามองเห็นในมิติจิตเชื่อมใจจากผู้เป็นนายที่ได้พบคนผู้นั้นแล้ว คนผู้นั้นกำลังจะเข้ามาในชีวิตนายท่านอีกแล้ว จะทำอย่างไรดี ด้วยกำลังที่เขามีเพียงแค่หยิบมือจะต่อกรกับเขาที่ยิ่งใหญ่เทียมฟ้าได้ยังกัน เป็นอีกครั้งที่เสี่ยวเสี้ยวตัดพ้อกับชีวิตที่ไม่เลือกสิงสู่มนุษย์สักคนที่มีพรสวรรค์แทนงูเขียวไร้ประโยชน์นี่ หากดวงจิตเขาแข็งแรงมากพอก็คงดี

ของขวัญจากผู้อ่านคือกำลังใจในการสร้างสรรค์ผลงาน ช่วยส่งกำลังใจให้ไรต์หน่อยนะ!

อ่านแล้วชอบไหม เพิ่มในคลังหนังสือเลยสิ!

mmmintmintcreators' thoughts