พิรุณพยายามตั้งสติหลังจากที่ได้ยินคำตอบของทางเอกนัศ ที่พูดขึ้นมาอย่างหน้าตาเฉย ใบหน้านั้นแสดงถึงความไร้ความผิด สำนึกในการกระทำของตน
"คุณทำ...แบบนั้นทำไม?" พิรุณพยายามถามต่อถึงเหตุจูงใจ
"คุณสารวัตร ความใจดีของคุณมันกำลังทำร้ายปมในจิตใจของผมอยู่นะครับ" เอกนัศพูดพลางยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะพูดต่อไปอีกว่า... "คงจะพบแล้วสินะครับ หัวกะโหลกที่อยู่ในห้องของผม นั่นแหละเป็นหัวของพ่อเลี้ยงของผมอย่างแท้แน่นอน"
"แสดงว่าคุณยอมรับแล้วสินะว่าตัวคุณนั้นเป็นคนลงมือฆ่าพ่อเลี้ยงของตัวเอง"
"ใช่ครับ เรื่องนั้นผมยอมรับ และก็เรื่องที่ผมฆ่าคนอีกสองคนตรงหน้าผมด้วยก็เช่นกัน ผมเป็นคนลงมือเองทั้งหมด ซึ่งวิธีนั้นตัวของสารวัตรเองก็น่าจะรู้ดีอยู่แล้วนี่"
"แล้วผู้หญิงที่ชื่อตาลล่ะ? เธอมีความเกี่ยวข้องอะไรกับคุณหรือเปล่า?" ถึงแม้ว่าจะได้ยินว่าเธอนั้นถูกบังคับ แต่พิรุณนั้นก็อยากจะยืนยันกับตัวของเอกนัศเอง
"คุณสารวัตร..." เอกนัศพลางหัวเราะอย่างเบาๆ ก่อนจะพูดมาอีกว่า "คุณก็คงจะได้ยินจากคำให้การของเธอแล้วนี่ ผมข่มขู่จะประจารเธอในเรื่องที่เธอนั้นพยายามจะขโมยเงินของผม ใช้ในเรื่องนั้นเป็นข้ออ้างเพื่อจะให้เธอนั้นร่วมมือทำตามแต่โดยดี แน่นอนทั้งหมดนั้นผมก็เป็นคนวางแผนให้มันเกิดขึ้นเอง"
"ถ้าอย่างนั้นคำถามต่อไป คุณมีเกี่ยวอะไรกับอวัยวะของมนุษย์ที่ถูกเก็บเอาไว้ในโกดัง" พิรุณถามต่อ
"ผมเปิดร้านตัดผมกับฆ่าคนเป็นงานอดิเรกก็จริง แต่ที่จริงแล้วผมก็พึ่งจะฆ่าคนไปแล้วเพียงแค่ 3 คนเอง" เอกนัศพูดด้วยสีหน้าที่ดูดีใจพลางยิ้มที่มุมปากเวลาที่ตอบคำถามมา
พิรุณรู้ได้หลังจากที่ทางเอกนัศตอบมาว่า อวัยวะพวกนั้นไม่ใช่ฝีมือของเขาแต่อย่างแน่นอน เมื่อได้ข้อสรุปแล้วพิรุณจึงถามไปต่ออีกว่า...
"บอกมาได้ไหมว่าใครอยู่เบื้องหลัง"
เอกนัศยิ้มออกอีกครั้งก่อนจะพูดขึ้นมาว่า "เรื่องนั้นยังไม่จำเป็นต้องรีบบอกคุณหรอกสารวัตร เพราะว่าตัวคุณนั้นก็จะพบเขาเอง ถ้าคุณยังสืบเรื่องพวกนี้ต่อไปล่ะก็นะ"
หลังจากสอบปากคำเสร็จพิรุณก็กำลังจะลุกออกจากเก้าอี้และกำลังจะเดินออกจากห้องไป ส่วนทางของเอกนัศนั้นก็กำลังจะทำแผนประกอบการรับสารภาพต่อหน้าสาธารณชนต่อ ในจังหวะนั้นเองที่ทางของเอกนัศก็พูดขึ้นกับทางพิรุณว่า...
"คุณสารวัตร ผมคิดถูกจริงๆ ที่ตอนนั้นไม่ตัดสินใจฆ่าคุณไป บางทีตัวคุณนั้นอาจจะเหมาะสมกับเขาคนนั้นก็ได้"
พิรุณถึงกับหันหลังกลับมาในใจหนึ่งก็พลางนึกคิดกังวลถึงคำเตือนที่ชายคนนั้นสื่อมาผ่านคำพูด ตอนแรกที่ได้ยินอาจจะเป็นแค่คำขู่เล่นๆ แต่มีครั้งนี้แหละที่เขาไม่ได้รู้สึกแบบนั้น
การทำแผนประกอบการรับสารภาพถูกถ่ายทอดผ่านช่องสื่อมากมาย มันเป็นข่าวดังที่ผู้คนให้ความสนใจ ทุกสื่อสำนักงานต่างเข้าถ่ายทอดสดรายงานกับแทบทุกเหตุการณ์อย่างใกล้ชิด พอหลังจากชี้จุดก่อเหตุและวิธีการที่ตนใช้
ไม่นานนักการตั้งโต๊ะแถลงต่อหน้าสาธารณชนก็ได้เริ่มต้นขึ้น ทางของเอกนัศนั้นไม่มีท่าทีที่รู้สึกผิดเลยแม้แต่น้อย หรือไม่แม้แต่จะปกปิดใบหน้าของตัวเองเลยด้วยซ้ำ เขาทำเหมือนกับว่าตัวเองนั้นเป็นดาราผู้โด่งดัง และผู้คนในตอนนี้ต่างก็ให้ความสนใจในตัวเขา ในฐานะที่เป็นผู้สร้างผลงาน
เขาฆ่าคนบริสุทธิ์อย่างไร้ความปราณีไปถึง 3 คน อีกทั้งยังทำร้ายตำรวจในระหว่างหลบหนีอีก 2 คน การกระทำอุอาจเช่นนั้นจะทำให้สังคมจดจำเขาในฐานะอาชญากร และท้ายที่สุดสุดแล้วชีวิตเขาก็น่าจะจบลงในคุก
แต่ทว่าท่ามกลางกล้องทุตัวที่ถ่าย ทุกสายตาของทุกคนที่มอง สีหน้าและท่าทางเขานั้นกลับไม่มีสลดเศร้าหรือวิตกกังวลออกมาแต่อย่างใด กลับกันสีหน้าของเขากลับดูสงบนิ่งราวกับเรื่องที่เกิดขึ้นนั้น เขาไม่ได้เป็นคนผิด ทางนักข่าวที่อยู่ตรงด้านหน้าที่เห็นถึงสีหน้าแบบนั้นของเขาเลยสงสัยถามออกไป
"คุณเป็นคนฆ่าชายทั้งสองคนนั้นจริงๆ หรอคะ? ช่วยบอกเหตุผลและแรงจูงใจที่ทำแบบนั้นได้ไหมคะ?"
"ใช่ครับ ผมเป็นคนฆ่าเพวกเขาด้วยน้ำมือของผมเอง แต่ที่ผมทำไปก็เพราะว่าเพื่อที่จะเสียงในหัวของผมสงบลง" เอกนัศตอบ
โทนเสียง สีหน้า รอยยิ้ม ทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาแสดงออกมาในขณะที่ตอบคำถามของนักข่าว ทำให้ใครหลายคนที่อยู่แถบแถวนั้นขนลุกเสียวสันหลัง แม้กระทั่งทางของตำรวจเองก็ด้วย
แต่ว่าท่ามกลางผู้คนเหล่านั้นกลับมีชายผู้หนึ่งพุ่งเข้ามาพยายามจะเข้าคว้าคอเสื้อเขา ตะโกนด่าทอ สาปเสียเทเสีย ดูเหมือนว่าชายที่พยายามจะเข้ามานั้นก็คือน้องชายของชายคนหนึ่งที่เอกนัศได้ลงมือฆ่าไป
"แกไม่คิดจะสำนึกเลยหรือไง!" ในขณะเขาพุ่งเข้ามาเพื่อหวังจะชกต่อยและทำร้ายทางเอกนัศนั้น ทางของตำรวจที่ประจำการอยู่ก่อนนั้นก็ได้เข้ามาห้ามคว้าตัวของเขาเอาไว้เสียก่อน
"ไอ้ฆาตกร แกฆ่าพี่ชายของฉันทำไม!? เขาทำอะไรให้แกหรือไง!? ทั้งๆ ที่การงานของเขากำลังเป็นไปได้ด้วยดีแท้ๆ แต่แก! แต่แก!"
ความโกรธแค้น คำด่าทอและสาปแช่งมันพุ่งตรงเข้าหาทางเอกนัศโดยตรง จนทำให้คนที่เป็นญาติของเหยื่ออีกคนที่ถูกฆ่านั้น เริ่มที่จะด่าทอทางของเอกนัศด้วยเช่นกัน
"แกมันไม่ใช่คน! ไอ้สารเลวแบบแกมันไม่น่าจะเกิดเป็นคนเลย!"
"ใช่! แค่ได้ใช้ชีวิตหายใจกับแกก็รู้สึกขยะแขยงแล้ว"
"คนอย่างแกน่าจะประหารไปให้มันจบๆ!"
"ใช่! ประหาร! ประหาร! ประหาร! ประหาร! ประหาร! ประหาร!" เสียงแห่งความโกรธและเกลียดนั้นหลอมรวมกลายเป็นความรู้สึกเดียวกัน พวกเขาที่ตะโกนโห่ร้อง เรียกร้องให้ทำการ ประหารชายคนนั้นซะ!
เมื่อทางตำรวจที่เห็นว่าเหตุการณ์มันเริ่มที่จะบานปลาย และบางทีอาจจะไม่สามารถควบคุมได้ เพราะเห็นจากที่ชาวบ้านเริ่มที่จะขว้างปาสิ่งของเข้ามา พวกเขาจึงเตรียมตัวที่จะเคลื่อนย้ายตัวของเอกนัศออกไปจากพื้นที่
แต่ทว่า...
"ถ้าอย่างนั้นคุณจะช่วยจัดการผมได้เลยไหมครับ?" แล้วเอกนัศลุกขึ้นจากเก้าอี้ด้วยสภาพของมือที่ถูกล่ามอยู่เดินตรงเข้าหาชายคนนั้น "เอาเลยสิครับ! เอาเลย! ในขณะที่แขนและขาของผมที่ยังถูกล่ามอยู่เนี่ย เอาเลย! เอาเลย!" เอกนัศยังคงพูดท้าทายไม่หยุดหย่อนด้วยสีหน้าที่ตื่นเต้นและชอบใจ
ด้วยความโกรธเป็นทุนเดิม พ่วงด้วยความเสียใจที่สูญเสียพี่ชายไปและยังถูกชายที่ฆ่าพี่ชายตัวเองนั้นท้าทาย มันทำเอาอารมณ์โกรธปะทุระเบิดออกมา ผลักตำรวจที่ขวางทางอยู่จนกระเด็นก่อนที่จะถึงตัวของเอกนัศ จากนั้นก็กระชากคอเสื้อและชกเข้าที่ใบหน้าหลายครั้งต่อหลายครั้ง ท่ามกลางเสียงของเอกนัศที่หัวเราะอย่างสะใจ
"เพราะคนอย่างแก! เพราะคนอย่างแก! ฉันจะฆ่าแก!"
"ฮ่า! ฮ่า! ฮ่า!" เอกนัศยังคงหัวเราะต่อถึงแม้ว่าจะโดนชกเข้าที่หน้าหลายครั้งต่อหลายครั้ง จนเลือดกำเดาออกจมูกก็ตามเขาก็ยังคงหัวเราะอย่างสะใจต่อโดที่ไม่สนอะไร
แม้ถึงกระนั้นทางตำรวจก็ไม่มีท่าทีที่จะเข้าไปห้ามเลยแม้แต่คนเดียว ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุใดทุกคนที่เห็นก็ทำได้แค่เฝ้ามองสิ่งที่เกิดอยู่ตรงหน้าก็เท่านั้น จนกระทั่งชายคนนั้นเหนื่อยและหยุดไป
เอกนัศใช้ช่วงจังหวะคว้าคอชายคนนั้นและดึงตัวเองเข้าพูดกับชายคนนั้นว่า....
"ฆ่าผมก็เชิญเลย แต่ทว่าถ้าคุณทำแบบนั้น ท้ายที่สุดแล้วตัวคุณเองนั่นแหละที่จะได้กลายเป็นฆาตกรเสียเอง..." เอกนัศพูดพลางหัวเราะเสียงดังชอบใจ
จากชายที่สีหน้าเต็มไปด้วยความโทสะและเกลียดชัง กลับกลายเป็นความกลัวและความตื่นตระหนก เขาได้เห็นเอกนัศเป็นตัวเองที่กำลังยิ้มอยู่ ก่อนที่เขาจะวางตัวของเอกนัศลงและเดินจากไปด้วยสีหน้าที่สงบเสงี่ยม
ภายหลังจากผ่านในช่วงที่บรรยากาศความวุ่นวายไป ทางตำรวจก็ไม่มีจำเป็นที่จะต้องเคลื่อนย้ายผู้ต้องหา ทางนักข่าวที่เห็นแบบนั้นเลยเริ่มการสัมภาษณ์ต่อจากเมื่อตะกี้นี้
"ถ้าอย่างนั้น...ทางเราได้สืบมาว่า คุณได้ทำการฆ่าพ่อเลี้ยงของตัวเอง ไม่ทราบว่าทำไม...ถึงต้องทำแบบนั้น ด้วย?"
"เมื่อราวๆ 15 ปีก่อน ผมถูกข่มขืน โดยพ่อเลี้ยงของตนเอง"
บรรยากาศเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน เกิดเสียงจอแจต่างจากเมื่อตะกี้นี้ที่เงียบกริบ หลังจากี่ได้ยินสิ่งที่ชายคนนั้นพูดออกจากปากมา ด้วยสีหน้าและกิริยาที่นิ่งเฉยด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้มอย่างมีความสุข...
ชีวิตเขานั้นตั้งแต่เกิดมาก็ไม่รู้จักหน้าตาของพ่อแม่หรอกว่าเป็นคนอย่างไง ที่รู้จักก็มีแต่สถานที่ที่เรียกว่าบ้านกำพร้าก็เท่านั้น
จนกระทั่งวันหนึ่ง ได้มีชายที่เรียกตนเองว่า เจ้าพ่อไตร ดูเหมือนว่าเขาจะเป็นคนที่ใครหลายๆ ต่างให้ความเคารพ อาจจะเพราะว่าตัวของชายคนนั้นได้ทำการช่วยเหลือชาวบ้านหลายคน อีกทั้งยังคอยบริจาคให้บ้านเด็กยากไร้ด้วย
เจ้าพ่อไตรเข้ามาที่แห่งนี้เพื่อที่อยากจะรับเลี้ยงเด็กสักคน ซึ่งตัวเขาเองนั้นได้ถูกรับเลือก ไม่ว่าใครๆ ต่างก็อิจฉาที่เขาได้รับเลือก ตอนนั้นเขารู้สึกดีใจมากที่จะได้คนอย่างนี้รับเลี้ยงไปดูแล
แต่ว่า...สิ่งที่เขาได้เจอมันเทียบได้ว่านรกขุมย่อมเลยก็ว่าได้ เขาถูกทารุณและทำร้ายทางร่างกายและจิตใจอย่างหนัก มิหนำซ้ำยังถูกใช้เป็นเครื่องระบายความใคร่ เพื่อสนองความต้องการทางกามของชายผู้นั้น ซึ่งทุกครั้งที่ชายสวะนั่นเสร็จกิจมันก็จะเอามีดสลักลงบนตัวของฉันเป็นรูปสามเหลี่ยม
เป็นอย่างนั้นร่วมแรมนับเป็นหลายเดือน จนเกือบปี เขาไม่แม้แต่จะร้องขอให้ใครช่วยได้ ถึงแม้ว่าจะร้องขอให้คนช่วย จะเล่าให้ใครฟังอีกกี่คนก็ตาม ท้ายที่สุดแล้วก็ไม่มีใครเชื่อ แม้แต่ตัวของตำรวจเองก็ตาม
...เจ้าพ่อไตรเป็นคนดีจะตาย
...เจ้าพ่อไตรไม่มีทางเป็นคนทำอะไรแบบนั้นหรอก
และแล้ววันหนึ่งฉันก็ได้ตัดสินใจที่จะหนี หนีไปให้ไกล ไกลี่สุดเท่าที่จะทำได้ หนีจากความโหดร้ายที่ตนเองได้พบเจอ
แต่ถึงแม้ว่าจะหนีไปอย่างไงสุดท้ายอดีตมันก็จะตามมาหลอกหลอนอยู่ดี ฉะนั้นเขาจึงกลับไปยังที่เดิม เพื่อที่จะจบเรื่องราว และกลบฝังมันลงไปใต้ดิน ไม่ให้ผุดขึ้นมาอีกเป็นครั้งที่สอง
เรื่องราวที่เอกนัศเล่าออกมามันทำเอาต่างคนก็ถึงกับพูดไม่ออก ไม่สิ! ไม่แม้แต่อยากจะพูดถามออะไรออกไปต่างหาก มันเป็นความรู้สึกที่ผสมระหว่างโกรธและสงสารปะปนกัน
ถึงแม้ว่าสิ่งที่เขาเคยเจอจะเป็นประสบการณ์อันแสนเลวร้ายในอดีตสักแค่ไหน แต่ฆาตกรก็ยังคงเป็นฆาตกรอยู่ดี สิ่งที่เขากระทำลงไปมันก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง…
คำแถลงรับสารภาพจบลง เอกนัศได้เดินขึ้นรถตู้ก่อนจะออกจากไป แต่ทว่าสิ่งที่หลงเหลือที่ถูกทิ้งไว้คือ...คำถาม
คำถามที่เกิดขึ้นในสังคมออกเป็นหมู่กว้าง ความโหดร้ายที่ต้องได้พบเจอ อดีตอันเลวร้ายที่ไม่น่าจดจำ ซึ่งมันได้ล่อหลอมจนกลายเป็นเขาในตอนนี้ กลายเป็นรูปทรงที่บิดเบี้ยวอย่างที่ทุกคนได้เห็น
ภายหลังจากคำพิพากษาของศาลก็ได้ตัดสินลงมา เขาได้ทำการฆ่าผู้บริสุทธิ์ไปแล้วถึง 2 คน อีกทั้งในขณะจับกุมยังทำร้ายเจ้าหน้าที่พนักงานจนได้รับบาดเจ็บไป 2 ราย ราวทั้งยังเกี่ยวปิดปากไม่ให้การเรื่องเกี่ยวกับชิ้นส่วนอวัยวะมนุษย์ที่ได้พบเจออีก คำตัดสินโทษคือ...
ประหารชีวิต!!!
บางทีนั่นอาจจะเป็นสิ่งที่ตัวเขาต้องการตั้งแต่แรกอยู่แล้วก็ได้
ถึงแม้เรื่องราวทั้งหมดจบลงไปได้ด้วยดี ผ่านคืนและวันไปยาวนานแค่ไหนอย่างไรก็ตาม แต่ทว่าก็ยังไม่มีใครลืมถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเลยแม้แต่น้อย ทุกคนยังจำได้ถึงรูปร่างและรูปทรงที่ก่อสร้างขึ้นจากความบิดเบี้ยวจนยากที่จะคืนสภาพกลับคืน
...
...
เอาเป็นว่าเรื่องราวมันก็จบลงประมาณเท่านี้ ถึงแม้ว่าจะน่าเสียดายที่ผมต้องสูญเสียตัวเบี้ยที่ไม่จำเป็นไปก็ตาม แต่นั่นเองก็เป็นสิ่งที่เขาเป็นคนเลือกที่จะกระทำเอง และนั่นก็เป็นสิ่งที่ผมไม่ได้เห็นด้วย
เงาชายปริศนาที่อยู่ตรงหน้าของคุณปิดหนังสือลงเสียงดัง ก่อนจะหยิบแก้วกาแฟจิบเล็กน้อย ท่ามกลางบนโต๊ะที่มีซองจดหมายซ้อนกองพะเนินสูง
...
อะไรกัน คุณไม่พอใจเรื่องที่ผมชักจูงให้คนอื่นเป็นฆาตกรอย่างนั้นหรอ? อะไรกันนึกเสียว่าจะน้อยใจผมที่เข้าไปยุ่งกับเรื่องนี้เสียอีก
เงาปริศนานั่นหัวเราะออกมาเสียงดัง แต่ตัวคุณนั้นกลับไม่แม้แต่จะได้ยินเสียงหัวเราะนั้น ก่อนจะวางแก้วกาแฟลงที่จานรอง
…
เปล่าเลยครับ ผมไม่ได้ทำอะไรเลย ผมก็แค่ช่วยแนะนำงานให้เขาทำ โดยที่แลกกับสิ่งที่จะช่วยเยียวยาเขาเท่านั้นเอง แต่ว่ายิ่งเขาได้เห็น ได้ลิ้มรส ได้สัมผัส มันก็ยิ่งทำให้เขา ต้องการมันมากขึ้น มากขึ้น มากขึ้น
...จนกระทั่งเขามาถึงจุดๆ นี้ เขาได้เชื่อฟังสัญชาตญาณมากเสียกว่าเหตุผลนั่นแหละคือสิ่งที่เขาได้รับ ก็ถือว่าสมควรแล้ว...
...
อย่างน้อยก็เชื่อกันหน่อยสิ ทุกสิ่งที่ผมพูดนั้นล้วนไม่ได้มีคำโกหกเลยแม้แต่คำเดียว ยกเว้นแต่ว่า ผมนั้นจะพูดไม่หมด
เงาของชายปริศนาเปิดซองจดหมายขึ้นอ่านอย่างละเมียดละไม ก่อนจะค่อยๆวางมันลงกลับไว้ที่โต๊ะเหมือนอย่างเดิม
ดูเหมือนว่าผมมีเรื่องที่ต้องไปจัดการให้เรียบร้อยเสียก่อน ไม่ต้องห่วงถ้าเสร็จงานแล้วผมจะรีบกลับมาอย่างทันที แม้ว่าที่นี่จะมืดไปสักหน่อย แต่ทว่ามันก็สบายกว่าที่คุณคิด เชิญพักผ่อนให้สบายไม่ช้าก็เร็วผมจะกลับมา...อย่างแน่นอน
และแล้วเงาชายปริศนาก็เปิดประตูเดินออกไป... เหลือเพียงตัวของคุณอยู่ในห้องที่เงียบถูกห้อมล้อมท่ามกลางความมืด พร้อมกับเสียงประตูที่ปิดลง...