webnovel

ตอนที่ 4 ไม่คิดว่าจะทำได้

ตอนนี้พอเริ่มสนิทกับคุณณัฐลูกชายผู้ใหญ่บ้านมากขึ้น ณัฐเองก็พาหมอนิลลี่ดูนั่นดูนี่ในหมู่บ้านดอยมอมแมมตลอด ทำให้เหมือนได้ออกเยี่ยมชาวบ้านทุกวัน วันนี้ก็เช่นกันณัฐพาเดินดูเรื่องของไร่หมุนเวียน

"คนพื้นราบมักเรียกการทำไร่หมุนเวียนว่า ทำไร่เลื่อนลอยครับ ซึ่งมันไม่ใช่ความจริงเลย" ณัฐเริ่มอธิบาย

"อ้าวผิดจากความเป็นจริงยังไง ก็มันเป็นการทำไร่แล้วย้ายที่ไปเรื่อย ๆ พอที่ไม่พอก็ตัดต้นไม้ในป่าแล้วทำไร่ไปเรื่อยๆ ไม่ใช่หรือคะ มันก็เป็นการทำลายป่าไง ทำพูดให้ชาวบ้านดูดีไปได้" ดร.นิลลี่ ตอบกลับ

"มันไม่ใช่อย่างที่แม่หมอคิดเลยครับ หมอพอจะเดินขึ้นเขาไกลๆ ไหวไหม ผมจะพาไปดูของจริงแล้วหมอจะเข้าใจมากขึ้น"

"อย่าดูถูกไปเห็นตัวอ้วนๆ ป้อมๆ นี่ก็เดินในป่าได้อยู่"

"งั้น ไปกันเลยครับ แล้วเดี๋ยวผมจะค่อยๆ อธิบายไปเรื่อยๆ"

หมอนิลลี่ มูมู่และณัฐ เดินไปตามทางเดินของหมู่บ้านอ้อมไปด้านหลังของหมู่บ้านที่ทางเดินลัดเลาะเข้าไปในพื้นที่เกษตรของหมู่บ้าน โดยแปลงแรกที่ทั้ง 3 ไปยืนหยุดอยู่นั้นจะเห็นว่าเป็นพืชผักที่รอการเก็บเกี่ยว มีเสียงอธิบายออกมาว่า

"ถึงแล้วครับ แปลงแรก ต้องบอกก่อนว่าที่หมู่บ้านเรานั้นทำการปลูกพืชแบบผสมในหนึ่งแปลงจะมีพืชที่กินได้อยู่หลายอย่าง และไม่มีใครเป็นเจ้าของพื้นที่ ทุกที่เป็นแปลงส่วนกลาง อย่างแปลงนี้จะเห็นว่ามีข้าว หัวมัน ถั่ว และเผือกอยู่ปนกัน โดยแต่ละบ้านจะเก็บเมล็ดพันธุ์ไว้เป็นของตัวเอง เราทำการเกษตรแบบไม่ต้องพึ่งสารเคมีใดใด ทุกอย่างมาจากธรรมชาติ เดี๋ยวจะค่อยๆ อธิบายไปเรื่อยๆ"

"นั่นอะไรคะ" ดร.นิลลี่ชี้ไปที่บริเวณกลางแปลงเพาะปลูกเห็นว่ามีเสาไม้ ปักอยู่และมีไม้สานๆ คล้ายกับที่เห็นเมื่อวันที่ทำการบวชป่า และเห็นเหมือนมีห่อข้าวที่ห่อด้วยใบตองด้วย

"อันนั้นเป็นการทำพิธีบอกผีก่อนทำการเพาะปลูกครับ เราจะเชิญพ่อหมอมาทำพิธีแล้วจึงจะปลูกพืช เราเชื่อว่าถ้าไม่บอกผีก่อน ผีจะมากินพืชผลไปหมด จะไม่เหลือไว้ให้เก็บเกี่ยว"

"อ่อ เข้าใจแล้ว"

"งั้นเดี๋ยวเราเดินต่อไปที่แปลงต่อไปกันเลยครับ"

เดินต่อมาที่แปลงใกล้เคียง ก็จะเป็นว่าเป็นที่ดินเปล่าที่หญ้าเริ่มมาปกคลุม แล้วก็ได้ยินเสียง คุณณัฐอธิบายต่อมาว่า

"เมื่อเราเก็บเกี่ยวพืชผลต่างๆ เสร็จแล้วก็จะเกลี่ยพื้นที่ให้เป็นที่โล่งๆ แล้วปล่อยให้หญ้าหรือพืชต่างๆ ขึ้นมาคลุมดินไว้ แล้วปล่อยไว้อย่างนี้ไปเรื่อยๆ ไปต่อที่แปลงต่อไปกันครับ"

มาที่แปลงที่สามจะเห็นว่าจากหญ้าที่เห็นเมื่อแปลงที่แล้วก็จะมีต้นไม้ที่ทรงพุ่มและพืชตระกูลถั่วเริ่มแผ่ในพื้นที่มากขึ้น

"แล้วเราก็จะปล่อยให้มีพืชตระกูลถั่วและพืชไม้พุ่มเจริญเติบโตพื้นที่ ซึ่งใช้เวลา 2-3 ปี หลังจากเก็บเกี่ยวก็จะกระจายปกคลุมเต็ม อย่างแปลงนี้ก็ประมาณ 3 ปีได้ คุณหมอรู้ไหมว่าพืชพวกนี้มีประโยชน์อย่างไร"

"เห็นรกๆ แบบนี้มันมีประโยชน์ด้วยหรือคะ"

"มีสิครับ นี่ไงที่ผมถึงได้บอกว่าคนพื้นราบนั้นไม่เข้าใจการปลูกพืชของพวกเรา พืชพวกนี้เมื่อตายลงจะเป็นตัวเพิ่มสารอาหารให้ดินเพื่อพร้อมที่จะทำการเพาะปลูกต่อไปนั่นเอง"

"เข้าใจแล้ว คุณถึงบอกว่าการเพาะปลูกของชาวบ้านที่นี่ไม่ต้องพึ่งสารเคมีใช้วิธีนี้นี่เอง แต่มันต้องใช้เวลา 2-3 ปีทีเดียว"

"ฮา ฮา ฮา ใครบอก ยังมีต่ออีกครับไปเราเดินไปต่ออีกแปลงกัน"

มาถึงแปลงต่อมาจะเห็นว่ามีไม้ยืนต้นต้นน้อยๆ โตอยู่ในแปลงบางส่วน

"แม่หมอจะเห็นว่าแปลงนี้เริ่มมีไม้ยืนต้นโตขึ้นมาปกคลุม อันนี้เราจะปล่อยแบบนี้จนครบ 7 ปี ไม้ยืนต้นพวกนี้ก็จะช่วยรักษาหน้าดินไม่ให้เสื่อม ส่วนใหญ่ก็จะเป็นไม้ยืนต้นที่อายุไม่ยืน พอถึงเวลา 7 ปีเราก็มาไถ่หว่านทำการเพาะปลูกต่อไป แต่ถ้าแปลงไหนมีต้นไม้ยืนต้นที่มีอายุเป็นไม้มีค่าก็จะปล่อยไว้อย่างนั้นไม่ทำลายมันครับ"

"โอ้โฮ ต้องรอถึง 7 ปีกว่าจะวนมาทำไร่ที่เดิมได้ มิน่าในตอนแรกต้องหาที่แล้วเปลี่ยนไปเรื่อยๆ คนที่ไม่เข้าใจก็คิดว่าเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ไม่วนกลับมา"

"ใช่แล้วครับ เราถึงเรียกว่าไร่หมุนเวียน ไม่ใช่ไร่เลื่อนลอยอย่างที่คนพื้นราบคิด ดังนั้นเราต้องการที่ดินอย่างน้อย 7 แปลงเพื่อใช้ในการหมุนเวียนในการเพาะปลูกแบบการเกษตรของหมู่บ้านเราครับ"

"เข้าใจแล้วคะ"

"ส่วนแปลงไหนที่มีไม้ยืนต้นมีค่า อย่างไม้สัก ไม้ประดู่ เราก็จะปล่อยพื้นที่นั้นเป็นป่า คืนพื้นที่ให้ป่ากับมาอุดมสมบูรณ์ต่อไป คุณลองมองไปรอบแปลงเกษตรดูสิครับ"

ดร.นิลลี่มองไปรอบๆ เห็นว่ามีป่าไม้เบญจพรรณอยู่รายล้อมดูร่มเย็นอุดมสมบูรณ์ แล้วเสียงของณัฐก็พูดขึ้นมาว่า

"พวกเราเป็นลูกของป่า เกิด แก่ เจ็บ ตาย ก็ผูกพันอยู่กับป่า แล้วเราจะทำลายป่าทำไมกัน"

"จริงๆ สิ่งที่หมอรู้มานั่นผิดจากความเป็นจริงอย่างมากเลย"

"ผมว่าเริ่มจะเย็นแล้ว เรากลับไปที่บ้านคุณหมอกันดีกว่าไหมครับ เดี๋ยวศิษย์พี่กลับจากโรงเรียนแล้วไม่เจอใครจะโวยวายเอาครับ"

แล้วทั้ง 3 คนก็ค่อยๆ เดินกลับมาในหมู่บ้านโดยใช้เส้นทางอีกทาง ทำให้ดร.นิลลี่รู้ว่าเส้นทางในหมู่บ้านนั้นทำเป็นวงกลม มาบรรจบที่หน้าหมู่บ้าน และเห็นพื้นที่ทำการเกษตรของหมู่บ้านว่ากว้างใหญ่เพียงใด

พอเดินเข้ามาในหมู่บ้านและกำลังจะเดินออกจากหมู่บ้านเพื่อกลับไปที่บ้านริมน้ำของหมอนิลลี่นั้น พลันก็มีเสียงผู้ชายวัยหนุ่มตะโกนออกมาจากบ้านหลังหนึ่ง

"แม่หมอช่วยเมียผมด้วย"

"เกิดอะไรขึ้นหรือคะ ค่อยๆบอกนะ"

ชายคนดังกล่าว ตอบด้วยเสียงตะกรุกตะกรักเพราะกำลังตกใจและกังวลกับอาการของภรรยา "เมียผมกำลังจะคลอดครับ หมอตำแยมาหลายชั่วโมงแล้วยังไม่มีทีท่าว่าลูกผมจะคลอดเลย เมียผมก็ร้องและเบ่งจนจะเป็นหมดลมแล้ว ผมจนปัญญา ก็เลยมาดักรอเรียกแม่หมอนี่แหละครับ"

เมื่อได้ยินดังนั้นทั้ง 3 คน คือ คุณณัฐ แม่หมอนิลลี่กับมูมู่ก็รีบวิ่งเข้าไปในห้องที่กำลังทำคลอดอยู่ พอเข้าไปในห้องยังไม่ทันจะเดินเข้าไปที่ตัวคนไข้ก็ได้ยินเสียงว่า

"ไอ้เมี่ยง แกพาใครเข้ามา พาออกไปข้ากำลังทำคลอดให้เมียกับลูกแกอยู่" ที่แท้หมอตำแยซึ่งเป็นหญิงชราตัวผอมเกร็ง หน้าตาเหมือนแม่มด ทำเสียงดุมานั่นเอง

"แต่แม่หมอมันนานแล้วนะ เกือบจะค่อนวันแล้วลูกชั้นก็ยังไม่ออกมาสักที แล้วดูอีพิมพ์สิมันจะหมดแรงแล้ว แม่หมอพรให้แม่หมอต่างถิ่นเข้าไปดูเถอะ เผื่อจะช่วยเหลืออะไรกันได้"

"ให้ชั้นเข้าไปช่วยเถอะนะ แม่หมอพร"

"ออกไปชั้นบอกให้ออกไปไง"

"แม่หมอพร ถือว่าผมขอร้องเถอะนะ ถ้าเกิดเป็นอะไรขึ้นมาจะเสียทั้งแม่ทั้งลูกเลยนะ ผมลูกผู้ใหญ่บ้านเอาหัวผมและหัวพ่อผมเป็นประกันเลย อ้าว" เสียงคุณณัฐช่วยไหว้วานอีกคน

"เข้ามาก็ได้ แต่ข้าไม่ช่วยทำคลอดแล้ว แล้วคราวหน้าเมียเอ็งท้องอีกไม่ต้องมาตามข้านะเว้ย"

พูดจบแม่หมอพรก็เดินสะบัดก้นออกจากบ้านหลังนั้นไปแบบไม่หันกลับมาอีกเลย

"มูมู่ แอบโดมินอนเอ็กแซมหน่อย"

ระหว่างที่มูมู่เข้าไปตรวจท้องของหญิงสาวนั้น ดร.นิลลี่ก็ซักถามประวัติเพิ่มเติม

"ท้องที่เท่าไหร่แล้วคะ"

"ท้องแรกเลยครับหมอ"

"เริ่มปวดท้องนานเท่าไหร่ มีอะไรไหลออกมาจากช่องคลอดไหม"

"ปวดตั้งแต่ย่ำรุ่งแล้ว มีน้ำเหมือนฉี่ไหลออกมาด้วยครับ"

มูมู่ได้บันทึกประวัติระหว่างทำการตรวจท้องไปด้วย เดินกลับมาพร้อมการประมวลผลให้ดร.นิลลี่อ่าน แล้ว นิลลี่ก็พูดว่า

"ดูท่าทางซีเรียสแล้ว มูมู่อัลตราซาวด์ เช็คฮาร์ดเรทเด็กด่วนๆ"

"อะไรซีเรียส คืออะไร แม่หมออะไรไม่เข้าใจเลย บอกผมหน่อยผมห่วงเมียกับลูกผม"

"คืออย่างนี้นะคะ หมอยังไม่แน่ใจว่าเมียคุณท้องลูกแฝดรึเปล่านอกจากนั้นเด็กยังเอาก้นลง เลยทำให้คลอดไม่ได้สักทีคะ และตอนนี้ที่สำคัญคือเด็กสองคนกำลังอยู่ในอันตรายเพราะเจ็บท้องมานานและมีน้ำคร่ำไหลออกมาแล้ว"

"ตอนนี้ต้องรอผลการตรวจจากมูมู่เพิ่มเติมแล้วค่อยตัดสินใจต่อไปคะ"

แล้วมูมู่ก็เดินกลับมาพร้อมผลสรุปที่ดวงตาส่งให้ดร.นิลลี่อ่าน เมื่ออ่านเสร็จแม่หมอก็รีบบอกว่า

"มูมู่เคสด่วนมาก แปลงร่างเป็นเครื่องบินพาคนไข้ไปที่บ้านด่วน แล้วจัดแจงจัดห้องผ่าตัดเตรียมซีซ่า เดี๋ยวชั้นไปถึงจะได้ทำการผ่าตัดกันเลย" แล้วหมอก็หันมาบอกกับสามีของคนไข้ว่า

"ภาวะฉุกเฉินต้องรีบทำการผ่าท้องคลอดเอาเด็กทั้ง 2 ออกทันที เพราะว่าหัวใจของเด็กทั้ง 2 คนเริ่มทำงานช้า ถ้าทิ้งไว้เด็กจะเสียชีวิตได้ ขออนุญาตบอกแค่นี้ก่อน ต้องรีบกลับไปที่บ้านทำการผ่าท้องคลอดคะ อ้อ เดี๋ยวอีกสัก 1 ชั่วโมงค่อยตามไปก็ได้คะ"

"รีบวิ่งกันเถอะคะ คุณณัฐเดี๋ยวไม่ทัน ชั้นต้องการลูกมือ"

แล้วทั้งสองคนก็ออกวิ่งไปที่บ้านของหมอนิลลี่ทันที เมื่อมาถึงบ้าน เจ้าตุ๊ดตู่ทำหน้าหงิกนั่งรออยู่ก่อนแล้วพร้อมส่งเสียงว่า

"หนีไปเที่ยวไหนกันมา ลืมผมกันหรือไง"

"อย่าพึ่งงอน พี่มีเคสด่วนเดี๋ยวเสร็จเคสค่อยคุยกันนะ ตุ๊ดตู่วันนี้ต้องรอนอกห้องผ่าตัดนะ เดี๋ยวเสร็จแล้วค่อยมาช่วยตอนหลัง"

"เข้าใจแล้วครับ เห็นมูมู่บินกลับมาพร้อมผู้หญิงท้อง รีบพาเข้าไปในห้องผ่าตัดแล้ว ไม่กวนก็ได้"

แล้วคุณณัฐกับดร.นิลลี่ก็หายตัวเข้าไปในห้องผ่าตัดทันที เมื่อถึงห้องผ่าตัด ทั้ง 2 คนรีบเปลี่ยนชุดสำหรับเข้าผ่าตัดคนไข้ แล้วดร.นิลลี่ก็พูดว่า

"มูมู่วางยาสลบ และกลับมาผ่าตัดซีซ่านะ เดี๋ยวชั้นเอาตัวเด็กออกมาเอง ส่วนคุณณัฐคุณต้องช่วยชั้นดูแลเด็ก เพราะมี 2 คน แล้วมูมู่ผ่าเสร็จต้องทำการเย็บปิดแผลเพราะฉะนั้น เราต้องดูเด็กอย่างด่วน เพราะถ้าช้าไปนิดเดียวเด็กอาจจะแย่ได้"

"มูมู่ดูไวทัลไซน์ด้วย"

"มูมู่เปิดเจอเด็กแล้ว เดี๋ยวชั้นตัดสายรกเอาเด็กออกเอง"

"อุแว้ อุแว้" เสียงเด็กคนแรกร้องหลังจากถูกหมอจับออกมาและตบที่ตัวเบา

"ทวินเอ แอบก่าร์สะกอร์ 9 เต็ม 10 คุณณัฐฝากชั่งน้ำหนักเด็กหน่อยคะ"

"อ้าวแล้ว ทวินบี ไซยาโนสิส ยังไม่ร้องเลย มูมู่" ดร.นิลลี่ตบและกระตุ้นการร้องพร้อมทำให้เด็กอุ่นต่อไปสักพักก็ได้ยินเสียง "อุแว้ อุแว้"

"โล่งอก รอดทั้งคู่ ทวินบี แอบก่าร์สะกอร์ 7 เต็ม 10"

ขณะนั้นณัฐก็เดินมาจะอุ้มเด็กไปดูแลต่อ แต่ดร.นิลลี่บอกว่า

"เด็กคนนี้ต้องการการดูแลอย่างใกล้ชิด เดี๋ยวชั้นจัดการเองคะ ช่วยอุ้มเด็กทวินเอ เดินมาพร้อมชั้น เด็กทั้ง 2 ต้องอยู่ตู้อบคะ"

"มูมู่เสร็จตามมาที่ห้องดูอาการนะ ต้องมาตรวจร่างกายและบันทึกประวัติของเด็กทั้ง 2 ต่ออีก"

อีกไม่ถึง 15 นาที มูมู่ก็เข้ามาที่ตู้ของเด็กทั้ง 2 คน

"มูมู่ตรวจเด็กทั้ง 2 อย่างละเอียด ตรวจกลูโคส บันทึกด้วยน้ำหนัก ทวินเอ 2850 กรัมนะ ทวินบี 2440 กรัม มีไซยาโนสิส"

มูมู่ทำการตรวจร่างกายเสร็จรายงานให้หมอนิลลี่ดู

"ดีมากเด็กปลอดภัยแล้ว แต่ต้องระวังค่าระดับกลูโคส และการหายใจ ดูว่ามีตัวเหลืองไหม"

"พี่หมอว่างแล้วเนอะ วันนี้ได้ยินภาษาที่ไม่เข้าใจเยอะแยะเลย มาสอนผมนะ" เสียงตุ๊ดตู่นั่นเอง

ดร.นิลลี่มัวแต่ห่วงเด็กแฝดทั้ง 2 คนลืมเจ้าตุ๊ดตู่เสียสนิทเลย ตอบกลับไปว่า

"ขอเวลาอีกแป๊ปนะ ให้พี่หมอแน่ใจว่าน้องทั้ง 2 คนปลอดภัยก่อน ไว้เรียนพรุ่งนี้ดีไหม วันนี้พี่ต้องดูน้อง ตุ๊ดตู่กับคุณณัฐกลับบ้านก่อนดีกว่า"

"ได้ครับ" เสียงทั้ง 2 คนตอบอย่างพร้อมเพียงกัน

และหมอนิลลี่ก็ไม่ลืมเดินออกมาหน้าห้องผ่าตัดเพื่อบอกอาการต่างๆให้กับพ่อของเด็กๆ ฟังซึ่งชายหนุ่มมานั่งรอตั้งแต่เริ่มผ่าตัดแล้ว

"ตอนนี้ลูกและภรรยาคุณปลอดภัยแล้ว แต่เด็กทั้ง 2 ต้องอยู่ในตู้อบ ส่วนภรรยาคุณยังฟื้นไม่เต็มที่ ดังนั้นวันนี้คุณยังเข้าเยี่ยมไม่ได้ ให้มาใหม่พรุ่งนี้เย็นๆ หมอรับปากว่าจะดูแลทั้ง 3 คนเป็นอย่างดีคะ"

แล้วชายหนุ่มก็เดินอย่างโล่งอกกลับบ้านไป

คืนนั้นดร.นิลลี่กับมูมู่ไม่ได้นอนกันทั้งคืนเพราะต้องนั่งดูแลเด็กฝาแฝดทั้ง 2 พร้อมแม่ของเด็กที่หลังผ่าตัดนั้นก็ฟื้นจากยาสลบค่อนข้างช้า นอกจากนั้นหลังจากฟื้นแล้วสาวน้อยยังมีอาการปวดแผลตลอดอีกด้วย

พอถึงเย็นวันรุ่งขึ้นพ่อของเด็กแฝดก็มาเยี่ยมลูกๆ และภรรยาของเขา หอบหิ้วผลไม้มาหอบใหญ่เพื่อฝากดร.นิลลี่

"แม่หมอ ลูกกับเมียผมเป็นยังไงบ้าง"

"ปลอดภัยแล้วคะ ลูกคุณทั้ง 2 ต้องอยู่ตู้อบอีก 2-3 วันถ้าไม่มีอะไรก็กลับบ้านได้คะ ส่วนภรรยาคุณถ้าพรุ่งนี้ลุกเดินได้แผลดี ก็กลับบ้านได้เลยคะ วันนี้เข้าไปดูหน้าเด็กและพูดคุยกันกับภรรยาได้เลยคะ"

เมื่อชายหนุ่มเดินเข้าไปที่ตู้อบเด็กเมื่อเห็นเด็กแฝดทั้ง 2 เป็นแฝดชาย ก็น้ำตาไหล พูดออกมาด้วยเสียงสั่นเครือว่า

"พ่อดีใจเหลือเกินเลย ที่เอ็งทั้ง 2 รอดออกมาลืมตาดูโลกได้" แล้วก็หันมาทางแม่หมอนิลลี่อีกครั้ง

"ผมดีใจจนไม่รู้จะพูดยังไงแล้วครับ ขอบคุณแม่หมอมากๆ เลยครับ ถ้าไม่มีแม่หมอไม่รู้ว่าเมียผมลูกผมจะเป็นยังไงบ้าง"

"เป็นหน้าที่ของหมอคะ ไม่ได้ทำอะไรเหนือบ่ากว่าแรงเลยคะ" แล้วดร.นิลลี่ก็พาเขาเข้าไปหาภรรยาของเขาที่ห้องพักฟื้น เมื่อเขาเห็นภรรยา เขาก็รีบเดินเข้าไปกอดหอมแก้ม แล้วพูดว่า

"ขอบใจเอ็งมากเลย เมียที่รัก เราได้ลูกชายแฝด โครตน่ารักถึง 2 คน เราเลี้ยงเขาให้ดีดี เนอะจะได้เก่งเหมือนแม่หมอ" แล้วทั้ง 2 ก็หันมาทางหมอนิลลี่ แล้วไหว้ขอบคุณอีกครั้ง

"อยู่กันตามสบายนะคะ หมอไม่กวนแล้ว จะกลับเมื่อไหร่ก็ได้นะคะ ไม่ต้องเกรงใจ" แล้วหมอก็เดินออกมาจากห้องพักฟื้น ยังไม่ทันก้าวพ้นประตูห้องก็มีเสียงใสใสส่งมาว่า

"พี่พี่ ผมกับศิษย์น้องณัฐ พร้อมแล้ว พี่ว่างยังสอนหน่อย สอนหน่อยนะ"

"ใจร้อนจริง พ่อกามนิตหนุ่ม มาเดินตามมา"

"อ้าววันนี้จะสอนศัพท์ง่าย ๆ ทางสูติศาสตร์นะ เอาแค่ 3-4 คำพอก่อนเนอะ คราวหลังจะได้ช่วยพี่ได้"

พูดกับตุ๊ดตู่เสร็จก็หันมาทางคุณณัฐ "เมื่อวานต้องขอบคุณคุณณัฐมากๆ ถ้าไม่มีคุณเด็กแฝดนั่นคงแย่เหมือนกัน"

"ไม่เป็นไรครับ มาเรียนกันเถอะ"

"อ้าวเริ่มได้ศัพท์คำแรก ซีซ่า คือ การผ่าตัดทำคลอดนะ แอบก่าร์สะกอร์ คือ การตรวจเด็กแรกเกิดว่ามีอาการผิดปกติไหม ไว้เดี๋ยววันหลังจะสอนวิธีตรวจ วันนี้เอาแค่รู้ความหมายก่อนนะ ทวิน คือ เด็กฝาแฝด เราจะเรียกเด็กที่ออกมาก่อนว่า ทวินเอ ส่วนคนต่อมาก็ ทวินบี เข้าใจไหมคะ"

"เข้าใจครับ ซีซ่า ผ่าท้องคลอด กิ้งก่าคือ การตรวจเด็กแรกเกิด"

"ศิษย์พี่ครับ กิ้งก่าเกี่ยวอะไรกับเด็กแรกเกิดครับ มันแอบก่าร์เปล่าครับ" เสียงณัฐล้อเลียนตุ๊ดตู่

"เอ่อ.... ไอ้ศิษย์น้องแก กล้าล้อเลียนพี่หรือ" พร้อมสะบัดหน้าใส่

"ฮา ฮา ฮา" เสียงหัวเราะของทั้ง 3 คน

"อ้าวศัพท์คำสุดท้ายของวันนี้คือ ไซยาโนสิส คือภาวะที่เด็กตัวเขียวแสดงว่าการหายใจไม่ดี จำได้แล้วเนอะ อ้าวไปกินขนมกันแล้วแยกย้ายกลับบ้าน วันนี้ขอแค่นี้นะ พี่ไม่ได้นอนทั้งคืนขอไปพักก่อน"

แล้วทั้ง 3 คนก็ไปรับประทานขนมว่างกันแล้วก็แยกย้ายกันไป ก่อนนอนคืนนั้นดร.นิลลี่คิดในใจไม่คิดว่าจะทำได้การช่วยชีวิตคนพร้อมกันทั้ง 3 คนในสถานที่ที่ไม่ใช่โรงพยาบาล แล้วก็เผลอหลับไปด้วยความเหนื่อย