webnovel

คู่ชะตาบันดาลรัก

เหตุชะตาถึงฆาตทำให้วิญญาณของ 'หมิงเวย' หญิงสาวผู้มีวรยุทธ์เก่งกล้า ย้อนเวลามาอยู่ในร่างของคุณหนูเจ็ดแห่งตระกูลหมิงผู้อ่อนแอ แต่เรื่องราวกลับไม่ง่ายเมื่อทันทีที่ลืมตา นางกลับพบว่าในสวนอวี๋ฟางที่นางและฮูหยินสามผู้เป็นมารดาอาศัยอยู่นั้นมีสิ่งอัปมงคล! สองแม่ลูกเชื่อว่าสิ่งนี้อาจเกี่ยวพันกับไสยศาสตร์มืด จึงได้ลงมือสืบความจริงของเรื่องนี้อย่างลับๆ และยิ่งตามสืบปริศนามากมายที่เกิดขึ้นในจวนและตระกูลหมิงแห่งนี้... กลับยิ่งเจอความลับอันดำมืดที่ซุกซ่อนอยู่ แต่ท่ามกลางความมืดมิดและสิ่งชั่วร้าย โชคชะตากลับลิขิตให้หญิงสาวได้ไขประตูสู่ความจริง... รวมถึงนำไปสู่ความรัก! นับตั้งแต่ที่ 'หยางชู' เหลนของฮ่องเต้จอมเสเพลแฝงกายมายังเมืองที่นางอาศัยอยู่เพื่อภารกิจบางอย่าง นางและเขาจึงได้ตกลงร่วมกันทำภารกิจไขปริศนา แต่หารู้ไม่ว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นอาจเป็นไปเพราะโชคชะตารักบันดาลอยู่เบื้องหลัง!

อวิ๋นจี๋ · Lịch sử
Không đủ số lượng người đọc
682 Chs

050 เศร้าโศก

บทที่ 50 เศร้าโศก

เหล่าฮูหยินรีบออกจากห้องไปคารวะฮูหยินผู้เฒ่า ฮูหยินผู้เฒ่ากวาดสายตามอง และพูดด้วยน้ำเสียงทุ้ม “สะใภ้สอง เจ้าไม่จำเป็นต้องลำบากใจ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เสี่ยวชีควรรับรู้ พูดให้นางกระจ่างเถอะ”

ฮูหยินสองถอนหายใจด้วยความโล่งอกและตอบตกลง “เจ้าค่ะ”

ฮูหยินผู้เฒ่าเดินไปนั่งตรงกลาง “แม่นมถง พูดเถอะ!”

แม่นมถงเช็ดน้ำตาแล้วเล่าออกไป “เมื่อคืนฮูหยินนอนไม่หลับจึงไปคัดคัมภีร์ให้เสวียนหนี่เหนียงเหนียงที่ห้องสักการะเจ้าค่ะ จนกระทั่งยามสี่ฮูหยินเห็นว่าปิงซินง่วงแล้วจึงให้นางกลับไปพักผ่อน ฮูหยินบอกว่าหากนางง่วงนางจะกลับไปพักผ่อนเอง ในตอนเช้าไม่รู้ว่าข่าวลือมาจากที่ใด บอกว่าคืนนั้นนายท่านหกไปที่สวนอวี๋ฟางแล้วถูกฮูหยินแทงจนได้รับบาดเจ็บ”

“บ่าวตำหนิพวกสาวใช้ที่พูดข่าวลือพวกนั้นแล้วไม่สนใจ ใครจะรู้ว่าตอนสายก็ได้ข่าวว่าฮูหยินหกทะเลาะกับฮูหยินผู้เฒ่า...”

ทุกคนมองไปที่ฮูหยินหก ฮูหยินหกก้มหน้าลงและไม่พูดอันใด

“ทะเลาะเรื่องใดบ่าวเองก็ไม่แน่ใจ แต่ข่าวลือนี้แพร่กระจายเป็นวงกว้างมากเกินกว่าที่ผู้ใดจะรู้ บ่าวรู้สึกไม่สบายใจจึงไปที่ห้องสักการะเพื่อไปหาฮูหยิน บ่าวเรียกอยู่นานแต่ไม่มีเสียงตอบรับจึงเข้าไปดูแล้วก็พบว่าฮูหยินได้...”

แม่นมถงร้องไห้ออกมาอีกครั้ง หมิงเวยมองอย่างเย็นชาตั้งแต่เดินเข้ามา นางไม่ได้หลั่งน้ำตาออกมาสักหยด เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืน จริงๆ แล้วเป็นเรื่องไม่ดีที่ไม่ควรนำมาพูดต่อหน้าทุกคน คำพูดของแม่นมถงพอได้ยินแล้วกลายเป็นอีกสถานการณ์หนึ่ง

เมื่อฮูหยินสามตื่นขึ้นมาแล้วเห็นข้อความที่นางทิ้งไว้จึงรู้สึกไม่สบายใจเลยไปที่ห้องสักการะ แล้วข่าวลือก็แพร่สะพัดตามที่แม่นมถงกล่าว

เมื่อเล่าจบฮูหยินหกก็คุกเข่าดัง ‘ตุบ’ ต่อหน้าฮูหยินผู้เฒ่าหมิง นางก้มศีรษะลง “เรื่องนี้เป็นความผิดของสะใภ้ที่ไม่สามารถระงับอารมณ์ได้จึงไปสร้างปัญหาให้ท่านแม่ทำให้ผู้อื่นเชื่อว่าพี่สะใภ้เสียความบริสุทธิ์ ถึงแม้พี่สะใภ้จะฆ่าตัวตาย แต่ก็เป็นเพราะสะใภ้ฆ่านางด้วยคำพูด ความผิดครั้งใหญ่นี้ สะใภ้ไม่มีหน้าเป็นสะใภ้ตระกูลหมิงต่อไปจึงขอเชิญตนเองไปที่ศาลเพื่อชดใช้ชื่อเสียงให้พี่สะใภ้สาม”

“ไม่ได้!” ฮูหยินสองโพล่งออกมา และภายใต้สายตาของทุกคน นางหลุบสายตาแล้วพูดว่า “น้องสะใภ้สามก็จากไปแล้ว น้องสะใภ้หกจะเชิญตัวเองไปที่ศาล คนภายนอกจะคิดอย่างไรกัน แบบนี้ไม่เป็นการทำให้น้องสะใภ้สามที่จากไปแล้วถูกผู้คนนำไปเล่าอย่างสนุกปากหรือ ถึงอยากรับโทษ แต่ก็ต้องคิดถึงวิธีทำให้ไม่เป็นที่สนใจด้วย”

นางหยุดชะงักแล้วนั่งลงคุกเข่าต่อหน้าฮูหยินผู้เฒ่าหมิง “เรื่องนี้สะใภ้เองก็มีส่วนผิดเช่นกันที่ไม่สามารถห้ามนางได้ซ้ำยังปล่อยให้พวกเขากระจายข่าวลือนั่น เป็นเพราะสะใภ้ดูแลได้ไม่ดี ได้โปรดท่านแม่ลงโทษด้วยเถิดเจ้าค่ะ”

เมื่อเห็นพี่สะใภ้กับน้องสะใภ้ขอรับโทษ ฮูหยินสี่เห็นดังนั้นจึงคุกเข่าลง “เรื่องภายในเรือนเป็นหน้าที่ของผู้เป็นสะใภ้ การปล่อยให้คนแพร่ข่าวลือเข้าไปในสวนอวี๋ฟางเป็นความผิดของสะใภ้ด้วยเช่นกันเจ้าค่ะ”

นายท่านสองเหลือบมองไป และพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มว่า “พวกท่านมีส่วนผิดแต่ก็เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ผู้ร้ายตัวจริงอยู่ที่นี่แล้ว!”

พูดจบนายท่านสองก็เตะที่ขาจนนายท่านหกล้มลงคุกเข่ากับพื้นดัง ‘ตุบ’

นายท่านหกในตอนนี้ผอมแห้งจนดูไม่เหมือนมนุษย์ แววตาหมองคล้ำ มีถุงใต้ตาขนาดใหญ่ ร่างกายผ่ายผอมไปทั้งตัว ดูไม่มีเค้าของนายท่านหกคนเดิมเลย

“เรื่องทั้งหมดเกิดจากเจ้านี่!” น้ำเสียงของนายท่านสองเต็มไปด้วยความขุ่นเคืองใจ “ถ้าไม่ใช่เพราะคนติดเหล้าผู้นี้จะเกิดเรื่องใหญ่เช่นนี้ได้อย่างไร ในฐานะน้องชาย การดูหมิ่นพี่สะใภ้ที่เป็นหม้ายก็เป็นเรื่องหนึ่ง รังแกหลานสาวที่ยังเด็กเป็นเรื่องที่สอง ทั้งหมดล้วนเป็นความผิดของเจ้าที่ทำให้น้องสะใภ้สามเสียชีวิต! ทำให้เสี่ยวชีต้องโดดเดี่ยวไร้ที่พึ่ง! น้องหก! ความผิดนี้เจ้ายอมรับหรือไม่”

นายท่านหกก้มหน้าไม่พูดอันใดเลยตั้งแต่ต้นจนจบ นายท่านสองโกรธมาก และตะโกนออกไปข้างนอก “ต้าซิง ไปเอาไม้มา!”

“ขอรับ” บ่าวชายคนหนึ่งส่งไม้เรียวมาให้อย่างรวดเร็ว

นายท่านสองพูดอย่างเย็นชา “น้องหก ท่านพ่อจากไปแล้ว พี่ใหญ่อยู่ที่เมืองหลวง ข้าในฐานะพี่สองจำเป็นต้องสั่งสอนเจ้า เจ้ายอมรับหรือไม่”

จนกระทั่งนายท่านหกพูดออกมาหนึ่งคำ “รับ...”

“ดี! ในเมื่อเจ้ารับ งั้นก็ยอมรับกฎของตระกูลซะ!” นายท่านหกไม่พูดอันใดอีก เขาทำได้เพียงก้มหน้า นายท่านสองตวัดไม้เรียวลงบนแผ่นหลังของนายท่านหกอย่างแรง

นายท่านหกร้องเสียงหลงเสื้อผ้าของเขาไม่หนาเลือดจึงไหลซึมออกมาทันที

ฮูหยินผู้เฒ่าหลับตาลง และหันหน้าไปทางอื่นอย่างทนไม่ได้ นางกัดฟัน และไม่พูดอันใดราวกับว่าตั้งใจจะให้นายท่านหกได้รับบทเรียน

ไม่มีผู้ใดส่งเสียงมีแต่เสียงตีที่ฟังแล้วรู้สึกอึดอัด กับเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดของนายท่านหก แผ่นหลังของนายท่านหกมีเลือดไหลออกมามากขึ้นเรื่อยๆ ไม้เรียวชุ่มไปด้วยเลือด

ในที่สุดนายท่านหกก็พยุงตัวเองไม่ไหว และล้มลง

“ท่านพี่!” ฮูหยินหกร้องอุทานแล้วรีบเข้าไปหา

“สะใภ้หก!” ฮูหยินผู้เฒ่าหมิงตะโกนเรียกอีกฝ่ายใบหน้ายังคงหันไปทางอื่น น้ำเสียงของนางหนักแน่น “นี่เป็นสิ่งที่เขาสมควรได้รับต่อให้ถูกตีจนตายก็ต้องยอมรับ!”

ฮูหยินหกร้องไห้อย่างขมขื่น นายท่านสองตีต่ออีกไม่กี่ครั้ง ในที่สุดเขาก็หยุด น้ำเสียงของเขาทั้งเศร้าและเจ็บปวด “เมื่อครั้งที่ท่านปู่ยังมีชีวิตอยู่ ท่านได้ตั้งกฎของตระกูลขึ้นมา หากลูกหลานคนใดทำผิดครั้งใหญ่ ต้องถูกโบยสามสิบไม้แล้วไล่ออกจากตระกูล เห็นแก่ภรรยาของเจ้าที่อ่อนแอ และบุตรที่ยังเล็ก ซ้ำตนเองยังกลายเป็นคนไร้ค่า ไล่เจ้าออกจากเรือนโดยไร้ภรรยาและบุตรนั้นพักไว้ก่อน แต่หลังจากนี้ไปเจ้าห้ามคิดที่จะออกจากเรือนอีก”

ฮูหยินผู้เฒ่าหันกลับมา น้ำตาคลอเบ้า “เป็นเพราะข้า เป็นเพราะข้าที่สั่งสอนเขาได้ไม่ดี...” เมื่อฮูหยินผู้เฒ่าร้องไห้ ทุกคนในห้องก็หลั่งน้ำตาตาม

นายท่านสองโยนไม้เรียวทิ้งแล้วคุกเข่าลง ‘ตุบ’ กล่าวโทษตัวเอง “ท่านพ่อได้จากไปแล้ว พี่ใหญ่ก็ไม่อยู่ที่นี่ ลูกในฐานะพี่สองกลับไม่สามารถรับผิดชอบในการสั่งสอนอบรมน้องชายได้ ลูกเองก็ยากที่จะพ้นคำครหา! โปรดท่านแม่ลงโทษลูกด้วย”

คนทั้งห้องคุกเข่า นายท่านสี่จึงคุกเข่าลงอย่างเงียบๆ เขาไม่พูดอันใด เพียงแค่ก้มหน้าท่าทางเหมือนคนรู้สึกผิด

ในตอนนี้มีเพียงสองคนเท่านั้นที่ยังคงยืนอยู่ในห้องโถงใหญ่ หนึ่งคือหมิงเวย อีกคนก็คือแม่นมถง ตั้งแต่ฮูหยินหกเริ่มพูด หมิงเวยไม่ได้พูดอันใดออกมาสักคำเดียว

นางมองเหล่าฮูหยินที่ขอรับโทษทีละคน มองนายท่านหกที่ถูกเฆี่ยนปางตาย มองนายท่านสองที่กำลังทุกข์ใจ นางมองคนเหล่านี้ แต่ละคนดูเศร้าโศกเสียใจ

แม่นมถงยังคงยืน หากคุณหนูไม่คุกเข่า นางก็ไม่คุกเข่า

“เสี่ยวชี! ย่าขอโทษเจ้าด้วย!” ฮูหยินผู้เฒ่าน้ำตาไหล และยื่นมือไปหานาง “ย่าไม่สั่งสอนท่านอาหกของหลานให้ดีจนทำร้ายหลานกับท่านแม่ของหลาน!”

หมิงเวยยังคงยืนนิ่งไม่ขยับ สีหน้าของนางไม่แสดงอาการใดๆ ไม่มีน้ำตาไหลออกจากดวงตาสักหยด ซึ่งทำให้การแสดงครั้งนี้ดูไม่สมบูรณ์เล็กน้อย

ฮูหยินสองเช็ดน้ำตา “เด็กคนนี้คงตกใจมาก ท่านแม่ต้องดูแลตนเองให้มาก น้องสะใภ้สามจากไปแล้ว เสี่ยวชียังต้องการให้ท่านคอยดูแล นางจะได้ตายตาหลับเสียที”

ฮูหยินผู้เฒ่าไม่พูดอันใด แต่มีน้ำตาบนใบหน้า

“ท่านพี่! ท่านพี่เจ้าคะ!” ฮูหยินหกร้องลั่น นายท่านสองยื่นมือออกไปตรวจ แล้วสีหน้าเขาก็เปลี่ยนไป “น้องหกๆ!”

ฮูหยินสี่มองนายท่านสี่ที่ไม่พูดอันใดออกมาสักคำจึงเปิดปากพูดออกไป “พาน้องหกไปรักษาบาดแผลก่อนเถอะ! เลือดไหลออกเยอะเพียงนี้เกรงว่าจะตายได้!”

“ใช่!” นายท่านสองพูด “ในเรือนเรามีผู้ใดตายไม่ได้อีกแล้ว”

หลายคนพูดโน้มน้าวเช่นนี้แล้ว ในที่สุดฮูหยินผู้เฒ่าจึงพยักหน้าตอบรับ “ยกเขาขึ้นมาก่อน เจ้าลูกเวรนี่! ข้าไม่น่าให้กำเนิดเขาเลย!”

พูดไปแล้วนางก็ร้องไห้ ทุกคนในห้องนี้ ไม่ร้องไห้ ก็โน้มน้าว

และแล้วละครฉากนี้ก็ดำเนินต่อไป

………………………………………………..