ตอนที่ 448 ความลับของนิกาย
“ระบบ?”
กู่ฉิงซานเปล่งเสียงเรียกในจิตใจของเขา
เงียบ...
ไร้ซึ่งเสียงตอบรับกลับมา
กู่ฉิงซานอดไม่ได้ที่จะประหลาดใจอย่างลับๆ
เรื่องแบบนี้...มันไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเลย
อย่างไรก็ตาม แม้เขาต้องการจะตรวจสอบเรื่องนี้มากเพียงใด แต่เขาก็ไม่มีเวลามากพอที่จะไตร่ตรองเกี่ยวกับมันอยู่ดี
นั่นเพราะ...นี่คงใกล้จะได้เวลาที่เย่หยิงเหมยจะกลับมาแล้ว
สามปรมาจารย์ตำหนักจะต้องเริ่มหารือเกี่ยวกับกลยุทธ์ที่จะใช้จัดการกับหวังหงส์เต๋าในไม่ช้า
ถ้าหากเขามาสายเกินไป คนที่เหลือก็อาจจะสงสัยได้
ไม่นานนัก กู่ฉิงซานก็มาถึงเวทีหารืออย่างเป็นทางการในที่สุด
และก็เป็นเวลาที่เหมาะเจาะยิ่งนัก
เพราะเย่หยิงเหมยก็กำลังกลับมาพอดีเช่นกัน
“นี่คือสองสมบัติมนตราที่พวกเราได้ความพยายามฟูมฟักมันมาเป็นระยะเวลาหลายปี ข้าหวังว่าเจ้าจะมองหาโอกาสที่เหมาะสมที่สุดในยามที่ใช้มันนะ” เย่หยิงเหมยเอ่ยปากออกมา
ขณะเดียวกัน เธอผายมือของตัวเองออกไป
ตามด้วยกลุ่มก้อนรังสีแสงสีน้ำเงินและแดงที่สาดแสงออกมา พวกมันทั้งสองลอยนิ่งอยู่บนฝ่ามือของเธออย่างเงียบๆ
ในส่วนของกลุ่มรังสีแสงสีแดง มันคือเข็มที่บางเบา ราวกับเส้นผม
แม้เข็มแหลมจะลอยนิ่งอยู่เฉยๆ ในอากาศ ทว่ายามเมื่อสายลมพัดโชยผ่านมัน ก็จะถูกปลายอันแหลมคมเสียดสีจนบังเกิดเสียงหวีดหวิวกังวานไปทั่ว
ขณะที่อากาศบริเวณโดยรอบของเข็มแหลม ได้บังเกิดร่องรอยปริร้าวของชั้นมิติ ราวกับว่ามีพลังที่มองไม่เห็นกำลังฉีกกระชากมันอยู่ตลอดเวลา
เป็นไปได้มากทีเดียว ว่าเมื่อใดก็ตามที่สมบัติมนตราชิ้นนี้ถูกเปิดใช้งาน พลังอำนาจอันน่าสะพรึงย่อมไม่แคล้วที่จะปะทุออกมา
ในขณะที่รังสีแสงสีน้ำเงิน เป็นยันต์ที่วาววับและโปร่งใส ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าคุณภาพของมันยอดเยี่ยมมากเพียงใด
กล่าวได้เลยว่านี่คือหนึ่งในยันต์ที่มีคุณภาพดีเลิศที่สุด ที่ถูกแกะสลักขึ้นจากหยกวิญญาณ
ซึ่งมันแตกต่างไปจากกลุ่มก้อนรังสีแสงสีแดง ที่มิได้มีรูปร่างหรือเปล่งกลิ่นอายที่มีความพิเศษใดๆ ออกมา
กู่ฉิงซานจับจ้องลงไปยังยันต์หยกวิญญาณ และสัมผัสได้ว่าห้วงอารมณ์ภายในหัวใจตน อดไม่ได้ที่จะบังเกิดความรู้สึกปลอดภัยขึ้นมา
“นี่คือยันต์ที่ข้าปรับแต่งขึ้น มันสามารถต้านทานการโจมตีของหวังหงส์เต๋าได้ หรืออีกความหมายนึงก็คือ เจ้าจะต้องใช้โอกาสในช่วงเวลานั้นโจมตีเขา” เย่หยิงเหมยอธิบายออกมา
กู่ฉิงซานพยักหน้าว่าเข้าใจ
เย่หยิงเหมยฉกาจที่สุดในด้านปรับแต่งยันต์ และก่อนหน้านี้ในยามเมื่อมอบของรับขวัญในการพานพบกันครั้งแรกแก่ ‘กู่ฉิงซาน’ นางก็ได้มอบยันต์ป้องกันให้แก่เขาไปใบหนึ่งเช่นกัน
เห็นได้ชัดว่านางมีความรอบรู้ในศาสตร์แขนงนี้
“เอาล่ะ เช่นนั้นที่เหลือก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ข้าเอง” กู่ฉิงซานกล่าวออกมา
เย่หยิงเหมยลังเลเล็กน้อย
เธอมองไปยังสมบัติมนตราทั้งสองอยู่ครู่ใหญ่ จนกระทั่งผ่านพ้นไปชั่วเวลาหนึ่ง ก็ยังไม่ยินดีที่จะตัดใจจากมัน
“ศิษย์น้องหยิงเหมย” กู่ฉิงซานเอ่ยปากกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “แผนการในครานี้ เจ้าแค่ต้องจ่ายออกด้วยสิ่งที่อยู่ภายนอก ขณะที่ข้าต้องจ่ายออกด้วยสิ่งภายในอย่างการเดิมพันด้วยชีวิตของตนเองเชียวนา”
เซ่าหวูชุ่ย หันไปเอ่ยกับเย่หยิงเหมยผ่านจิตสัมผัสเทวะ “ให้เขาไปเถอะ หากล้มเหลวเขาก็แค่ตกตาย และนั่นมันก็เป็นเรื่องของเขา อีกอย่างหากปล่อยให้เขาลงมือ หวังหงส์เต๋าก็จะไม่มีทางค้นพบได้ว่าพวกเราเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้”
เย่หยิงเหมยแม้จะได้ฟังแล้ว แต่ก็ยังลังเลอยู่ดี
นี่คือสมบัติมนตราที่เธอและเซ่าหวูชุ่ยต้องใช้ออกด้วยความพยายามมากมาย ทุ่มเทบากบั่นอยู่หลายปีดีดักจนรังสรรค์มันออกมาได้สำเร็จในที่สุด
แต่ในเวลานี้ สมบัติมนตราที่ว่ากลับกำลังจะไปตกในมือของผู้อื่น
วิสัยทัศน์ของเธอจมอยู่กับสมบัติมนตราทั้งสอง และยังไม่เต็มใจที่จะมอบมันออกไป
ในช่วงเวลานั้นเอง จู่ๆ สภาพอากาศก็เริ่มมืดครึ้มลงทันใด
บนท้องฟ้า พริบตาเดียวตลอดทั้งเกาะก็สูญสิ้นซึ่งความสว่างไสวไปโดยสมบูรณ์
ราวกับว่ามันตระหนักได้ถึงบางสิ่ง ทุกสิ่งมีชีวิตตลอดทั้งเกาะพลันหยุดนิ่ง
นี่คือกฎที่แต่ละนิกายจะต้องปฏิบัติตาม
ที่ต้องบังคับกฎให้ทุกคนหยุดนิ่งในช่วงเวลา ‘ลางร้าย’ ได้มาถึง นั่นก็เป็นเพราะว่าต้องการที่จะป้องกันไม่ให้สายลับจากนิกายอื่น ฉวยจังหวะนี้ สบโอกาสลอบเข้าไปทำลายค่ายกลของนิกายได้ หากมีผู้ใดเคลื่อนกาย มันผู้นั้นก็จะตกเป็นผู้ต้องสงสัยทันที
ทว่าบนแท่นสูง สามปรมาจารย์ตำหนักกลับยังคงเคลื่อนไหวได้ตามสะดวก
อย่างแรกก็เพราะนี่อยู่ภายในนิกาย ซึ่งสภาพแวดล้อมมันจะแตกต่างไปจากเกาะส่วนตัวของฉีหยาน
เกาะส่วนตัวของฉีหยาน มีเพียงค่ายกลขนาดเล็กคอยรองรับเท่านั้น
ด้วยเหตุนี้เอง ยามที่ ‘ลางร้าย’ ได้มาเยือน ช่วงเวลานั้นเขาจึงทำได้แค่เพียงอยู่นิ่งๆ เฉยๆ ภายในค่ายกลขนาดเล็กเท่านั้น มิอาจฝืนทำอย่างอื่นได้
แต่สำหรับภายในนิกายกวงหยาง ตลอดทั้งเกาะลอยฟ้า มันได้ถูกครอบคลุมโดยค่ายกลทั้งหมด
ผู้ฝึกยุทธจึงไม่จำเป็นต้องหลบซ่อนตัวใดๆ
อย่างไรก็ตาม ท้ายที่สุดนี้ สีหน้าของสามปรมาจารย์ตำหนักก็ยังคงเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นอยู่ดี
เซ่าหวูชุ่ยจั่วยันต์ออกมา และจ้องมองมัน
บนยันต์ คำว่าลางร้ายกะพริบไหวไม่มีทีท่าว่าจะหยุด
จนท้ายที่สุดแล้ว คำว่า ‘ลางร้าย’ ก็ได้ครอบคลุมทั่วทุกส่วนของยันต์
ช่วงเวลา ‘ลางร้าย’ ได้มาเยือนแล้ว!
ตลอดทั้งผืนดิน บังเกิดเสียงคำรามอันหนักหน่วงกังวานขึ้น
เสียงคำรามนี้ขจรขจายไปตลอดทั้งโลกหล้า ราวกับเป็นการประกาศว่าทุกชีวิตจักต้องจบลงด้วยความตาย
มารโลกาได้ตื่นจากการหลับใหลแล้ว
ตลอดทั้งโลกพลันจมลงสู่ความเงียบ
ไม่ว่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตใด ก็ล้วนมิกล้าที่จะเปล่งเสียงใดๆ ออกมา
ภายในค่ายกลตัดขาดโลกภายนอก เย่หยิงเหมยกำลังตั้งใจฟังเสียงคำรามของมารโลกาอย่างเงียบๆ
“ข้ารู้สึกว่ามีบางอย่างผิดแผกไปเล็กน้อย” เย่หยิงเหมยเอ่ยพึมพำ “สังเกตหรือไม่ว่าครานี้มันตื่นเร็วขึ้นกว่าเดิม?”
เซ่าหวูชุ่ยหยิบยันต์ออกมากองหนึ่ง และเริ่มมองดูพวกมันทีละแผ่น ทีละแผ่นอย่างเป็นระมัดระวัง และในที่สุดก็เก็บยันต์ทั้งหมดกลับคืน
“เป็นอย่างที่เจ้าว่าจริงๆ ” เขาเอ่ยสนับสนุน “ในช่วงหลายสิบวันที่ผ่านมานี้ ช่วงเวลาที่มันตื่นจากการหลับใหลดูเหมือนว่าจะเร็วขึ้นยิ่งอย่างเดิมครึ่งชั่วยาม หากเทียบกับในครั้งอดีต”
ทั้งสองเงียบไป
มารโลกาตื่นจากการหลับใหลบ่อยขึ้น และเร็วขึ้น...
นี่มิใช่เป็นการบ่งบอกกลายๆ ว่า วันใดวันหนึ่ง มันจะตื่นขึ้นมาโดยไม่หลับใหลอีกเลยหรอกหรือ?
หากเป็นในกรณีเช่นนั้น แล้วผู้ฝึกยุทธจะเผชิญกับมารที่มิอาจต่อต้านตนนี้ได้อย่างไร?
ค่ายกลตัดขาดโลกภายนอกมิอาจทำงานได้ตลอดไป หากไม่มีการเติมเต็มศิลาวิญญาณ
และเมื่อถึงเวลานั้น ทุกคนก็จะต้อง...ตาย!
กู่ฉิงซานเฝ้ามองทั้งสอง และในที่สุดก็เอ่ยปากออกมาว่า “ไม่ช้าก็เร็ว โลกใบนี้ก็จะดำเนินไปถึงจุดสิ้นสุด ศิษย์น้องหยิงเหมย เจ้าควรทุ่มสุดตัว และเลิกลังเลได้แล้ว”
เย่หยิงเหมยหันไปมองเขา ห้วงอารมณ์ภายในจิตใจค่อยๆ คลายลงอย่างช้าๆ
นั่นสินะ ไม่ช้าก็เร็วโลกใบนี้ก็จะจบสิ้นลงโดยมารโลกา
เช่นนั้นแล้ว เหตุใดจึงไม่ใช้โอกาสนี้ ต่อสู้แบบทุ่มสุดตัวดูเล่า?
“ในเมื่อเจ้าได้เอ่ยคำมั่นสาบานต่อฟ้าดินไปแล้ว ข้าก็ยินดีที่จะมอบสิ่งเหล่านี้ให้แก่เจ้า อย่างไรก็ตามเจ้าจะต้องจดจำเอาไว้ให้ดี ว่าหวังหงส์เต๋าอยู่ในขอบเขตลมปราณจิตมานานนับปี นั่นหมายความว่ากลยุทธ์ของเขาย่อมไร้ที่สุดสิ้น ชนิดที่เจ้ามิอาจจินตนาการได้” เย่หยิงเหมยกล่าว
เซ่าหวูชุ่ยเอ่ยสารภาพ “จวบจนกระทั่งปัจจุบัน ข้าก็ยังไม่กล้าเอ่ยได้อย่างเต็มปากว่ากระจ่างชัดถึงความแข็งแกร่งที่แท้จริงของเขา”
“ข้าเองก็มิแตกต่างจากสหายเซ่า” เย่หยิงเหมยกล่าว “แม้ว่าข้าจะใช้เวลาอยู่กับเขามานานปี แต่ข้าก็มิอาจล่วงรู้ถึงความแข็งแกร่งของเขาในเชิงลึกเช่นกัน”
“ดังนั้น เมื่อเจ้าเห็นโอกาส จงทุ่มลงมืออย่างเต็มกำลัง อย่าได้ออมแรงไว้โดยเด็ดขาด” เซ่าหวูชุ่ยเอ่ยสั่ง
กู่ฉิงซานมองไปยังทั้งสองอย่างระมัดระวัง และพบว่าท่าทีการแสดงออกของทั้งสองบัดนี้ช่างดูเคร่งขรึมจริงจังอย่างแท้จริง
“พวกเจ้าวางใจได้ นี่มันก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับชีวิตและความตายของข้าเช่นกัน ข้าย่อมต้องทุ่มพยายามเต็มกำลัง ลงมือให้ดีที่สุดอย่างแน่นอน”
สองปรมาจารย์ตำหนักที่เฝ้ามองเขาเอ่ยเช่นนั้น ก็บังเกิดความรู้สึกพึงพอใจขึ้นมา
เย่หยิงเหมยค่อยๆ วาดมือของตนออกไปอย่างแผ่วเบา
หนึ่งแสงสีน้ำเงิน และหนึ่งแสงสีแดง ทั้งสองกลุ่มลอยล่องอย่างช้าๆ มาตรงหน้าของกู่ฉิงซาน
กู่ฉิงซานรับเอาสมบัติมนตราทั้งสองมาอย่างระมัดระวัง
“สหายเซ่า ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง”
“เจ้าว่ามาสิ”
“ข้าได้ทำการสืบทราบข้อมูลเกี่ยวกับหวังหงส์เต๋ามาบ้างแล้ว และพบว่าเขาเป็นผู้ฝึกยุทธที่เติบโตมาในนิกาย แถมยังได้เก็บสะสมกระบี่ และเทคนิคลับต่างๆ ที่ตนเคยได้เรียนรู้มา เอาไว้มากมายอีกด้วย”
“มันก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ ว่าแต่สิ่งที่เจ้าต้องการจะสื่อคืออะไร?”
กู่ฉิงซานกล่าว “ก็เจ้าน่ะเป็นปรมาจารย์ตำหนักเจียงซี ที่มีหน้าที่ดูแลรับผิดชอบอุปกรณ์ หรือแม้กระทั่งสมบัติทั้งหมดในนิกายนี่นา ดังนั้น ข้าจึงต้องการที่จะให้เจ้าช่วยให้ข้าได้เข้าไปยังตำหนักเจียงซี เพื่อดูสิ่งที่หวังหงส์เต๋าได้เคยทำการศึกษามา”
พอได้ฟัง เซ่าหวูชุ่ยก็บังเกิดความลังเล
เทคนิคลับบางส่วนกล่าวได้ว่ามันทรงพลังยิ่ง และหวังหงส์เต๋าก็ไม่เคยอนุญาตให้คนอื่นๆ ในนิกายได้แอบดูมันมาก่อนเลย
นอกจากนี้ ยังมีเรื่องของสมบัติลับในนิกาย ที่มีเพียงหวังหงส์เต๋าและตัวเขาเองที่สามารถรับรู้ได้อยู่อีก
เทคนิคลับมากมายที่หวังหงส์เต๋าจงใจเลือกที่จะปกปิดเป็นการส่วนตัว
แล้วตอนนี้ เขาจะสามารถอนุญาตให้ฉีหยานได้เข้าไปดูมันจริงๆ น่ะหรือ?
ต้องไม่ลืมนะว่าหวังหงส์เต๋าคือผู้ฝึกยุทธขอบเขตลมปราณจิต ทั้งวิสัยทัศน์และพรสวรรค์ในความกระจ่างแจ้ง ย่อมไม่ใช่สิ่งที่ผู้ฝึกยุทธทั่วไปสามารถเทียบเปรียบได้
ดังนั้น เทคนิคลับที่เขาถึงขั้นลงทุน ศึกษา และพยายามเก็บมันเอาไว้ ย่อมต้องมีค่ามหาศาลอย่างแน่นอน!
เซ่าหวูชุ่ยลังเลอยู่นาน จนกระทั่งเย่หยิงเหมยที่ยืนอยู่ข้างๆ หัวเราะออกมา
“สหายเซ่า จนกระทั่งถึงเวลานี้ เจ้าก็ยังคิดจะทำหน้าที่เป็นสุนัขเฝ้าบ้านอยู่อีกหรือ?”
น้ำเสียงของเธอค่อนข้างกล่าวติดตลก
เซ่าหวูชุ่ยพอได้ฟัง ก็ทนไม่ไหวต้องพยักหน้าออกมา
นั่นสินะ วิชาที่หวังหงส์เต๋าเก็บสะสมไว้น่ะยากที่จะเรียนรู้ และการที่จะเข้าใจมันอย่างลึกซึ้งย่อมเป็นอะไรที่ยากลำบากยิ่ง
วิชาเหล่านั้น ล้วนมิใช่สิ่งที่จะสามารถเรียนรู้ได้ในชั่วข้ามคืนได้!
ขณะที่ฉีหยานกำลังจะไปเผชิญหน้ากับตัวตนที่ว่าในไม่ช้า
ดังนั้น ในช่วงเวลาสั้นๆ ฉีหยานจึงต้องเร่งทำความเข้าใจเกี่ยวกับวิชาต่างๆ ให้ได้มากที่สุด เพื่อที่อย่างน้อยจะได้มีโอกาสรับมือกับกลยุทธ์ของหวังหงส์เต๋าได้มากยิ่งขึ้น
แต่สถานการณ์ในปัจจุบันนี้ สิ่งที่สำคัญก็คือ หวังหงส์เต๋าได้ตระเตรียมวิชาต้องห้ามไว้มากมาย เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ใดอ่านวิชาของตนเองได้เนี่ยสิ
นอกเหนือไปจากหวังหงส์เต๋า ไม่ว่าใครก็ห้ามแตะต้องใบหยก และหากแตะต้องมัน ใบหยกก็จะกลายเป็นผุยผงทันที
หากฉีหยานสัมผัสใบหยกในส่วนนั้น ใบหยกก็จะแตกสลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยอยู่ดี
ดังนั้น กล่าวได้ว่านอกเหนือไปจากหวังหงส์เต๋าแล้ว ก็ไม่มีใครรู้วิธีที่จะควบคุมมารแมลงร้ายที่อยู่ในร่างกายของตนเองได้ แม้กระทั่งตัวฉีหยานเองก็ตาม
สรุปแล้ว เซ่าหวูชุ่ยจึงไม่จำเป็นต้องกังวลว่ากู่ฉิงซานจะสามารถเข้าไปแอบดูเทคนิคลับที่ว่านั่นได้ และใช้มันบังคับควบคุมเขา
บางที การที่ถูกร้องขอออกมาเช่นนี้ มันอาจจะเป็นการดีสำหรับตัวเซ่าหวูชุ่ยเช่นกัน
“ก็ได้! เจ้าจงรับมันไป!”
ว่าแล้วเซ่าหวูชุ่ยก็โยนตราประทับออกไปทางกู่ฉิงซานอย่างรวดเร็ว
กู่ฉิงซานคว้ารับตราประทับ และถือมันไว้ในมือของเขา
“เจ้าทำถูกแล้วสหายเซ่า ยิ่งข้าได้รู้เกี่ยวกับวิชาของหวังหงส์เต๋ามากเท่าไหร่ ข้าก็ยิ่งมั่นใจว่าจักสามารถสังหารเขาได้มากขึ้นเท่านั้น”
กู่ฉิงซานกล่าวด้วยรอยยิ้ม
เย่หยิงเหมยเอ่ยต่อ “เจ้าจะต้องอ่านวิชาเหล่านี้อย่างรอบคอบ แม้ว่าหวังหงส์เต๋าจะฉกาจในด้านกระบี่ แต่เขาก็ยังรักที่จะศึกษาในวิชาการควบคุมคนตายเช่นกัน ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เขาได้ศึกษามันจนเชี่ยวชาญ และมีวิชาที่ทรงพลังในแขนงนั้นไว้ในครอบครองอยู่มากมาย”
“ไม่ต้องกังวลไป ข้าจะศึกษาพวกมันอย่างละเอียดอย่างแน่นอน” กู่ฉิงซานกล่าว
แล้วเขาก็หันไปเอ่ยกับ ‘กู่ฉิงซาน’
“ศิษย์ข้า”
ฉานนู่ก้าวออกมาข้างหน้า และตอบรับ
กู่ฉิงซานเอ่ยปากกล่าว “ไหนๆ เจ้าก็บรรลุขอบเขตประทับเทพแล้ว เจ้าก็มาด้วยกันกับอาจารย์สิ บางทีอาจจะพบเจอกับเทคนิคดาบที่ต้องตาบ้างก็ได้นะ”
เทคนิคดาบ?
เซ่าหวูชุ่ยเงียบกันไปสักพักหนึ่ง และอดไม่ได้ที่จะกล่าวออกมา “หวังหงส์เต๋ามิได้ครอบครองเทคนิคดาบ เขาเป็นผู้ใช้กระบี่...”
“มันไม่สำคัญหรอก เพียงแค่ดูมันก็ไม่นับว่าเสียหายนี่ อีกอย่าง จะได้เป็นการเปิดโลกกว้างในมุมมองของศิษย์ข้าอีกด้วย” กู่ฉิงซานกล่าว
ฉานนู่พูดต่อทันที “ศิษย์จะทำตามคำแนะนำของท่านอาจารย์”
แล้วกู่ฉิงซานก็นำ ‘กู่ฉิงซาน’ เดินออกไป โดยไม่เหลียวหลังกลับมาอีกเลย
เซ่าหวูชุ่ยต้องการจะเอ่ยอะไรออกไปมากกว่านี้ แต่กลับเห็นแค่เพียงทั้งศิษย์ทั้งอาจารย์ได้เดินจากแท่นเวทีไปไกลแล้ว
ดูเหมือนว่าต่อให้ตนจะกล่าวอะไรเพิ่มเติมออกมา แต่อีกฝ่ายก็ไม่คิดจะฟังอยู่ดี
ริมฝีปากของเซ่าหวูชุ่ยสั่นระริก คำพูดที่กำลังจะเปล่งออกมาจุกแน่นอยู่ในลำคอ จะเปล่งออกมาก็ไม่ได้ จะกลืนลงไปทันที ใจมันก็ไม่รู้สึกไม่ยินยอม...
…………………………………..........