ตอนที่ 388 สมบัติล้ำค่า
ภายในถ้ำมืด
กระแสลมแรงพัดพาลมหนาวปะทะกับร่างมากมาย ส่งเสียงหวีดหวิวไม่หยุด
ตามด้วยเสียงที่ฟังดูเศร้าใจดังสะท้อนขึ้นมา
“ช่างน่าสมเพชนัก! ข้ามิอาจทนเฝ้ามองพวกเจ้าได้อีกต่อไปแล้ว!”
ในตำแหน่งเดิมของอสุรกาย เผ่ามารทั้งหมดกำลังแนบกายคุกเข่าลงกับพื้น ทั้งตนทั้งร่างสั่นสะท้านเป็นฟืนเป็นไฟ
พวกมันราวกับกำลังได้รับความทุกข์ทรมานอย่างมิอาจบอกบรรยายได้ แต่อย่างไรก็ตาม พวกมันยังคงปิดปากเงียบ มิได้แก้ตัวหรือเอ่ยสิ่งใดออกไป
เสียงเศร้าใจดังขึ้นอีกครั้ง “แต่นี่ก็มิอาจตำหนิพวกเจ้าได้สักทีเดียว อันที่จริงแล้วมันเป็นเพราะเจ้าสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำนั่นเอาแต่หลับใหล นอนนิ่งอยู่กับพื้นต่างหาก”
มันถอนหายใจออกมา
“เฮ้อ จงตายไปเสียให้หมด”
และด้วยเสียงนี้ พื้นหินโดยรอบที่กระเทือนเพราะอาการสั่นกลัวของเหล่ามารก็พลันตกอยู่ในความเงียบงันทันที
เผ่ามารทั้งหลายหยุดสั่นสะท้าน
ก่อนที่ร่างกายของพวกมันจะค่อยๆ ละลายสลายไป
เวลาล่วงเลยไปอีกสักเล็กน้อย จึงบังเกิดอีกเสียงหนึ่งดังขึ้นตามมา
“ตอนนี้สิ่งที่ต้องทำคือนำอสุรกายดัดแปลงไร้ศีรษะอีกตนหนึ่งมารับหน้าที่แทนดีไหม?”
เสียงที่เปล่งออกมาในตอนแรกก่อนหน้านี้เอ่ยตอบ “เรื่องนั้นเอาไว้ก่อน ว่าแต่เจ้าสามารถค้นหาร่างจิตวิญญาณตนนั้นได้หรือไม่?”
“มิอาจค้นหาได้ มันเหมือนกับว่าเขากำลังอยู่ในสายธารแห่งการหลงเลือน และสายธารแห่งการหลงเลือนกำลังห่อหุ้มเขาอยู่”
“ไม่เพียงถึงขั้นล่อลวงอสุรกายได้ แต่ยังได้รับการปกป้องคุ้มครองจากสายธารแห่งการหลงเลือนอีก เจ้ามนุษย์ผู้นี้ ไม่ว่าอย่างไรมันก็จักต้องตาย!”
“แต่สายธารแห่งการหลงเลือนน่ะตัดขาดกับโลกภายนอกทั้งหมด ไม่เว้นกระทั่งข้อมูลข่าวสาร แล้วเช่นนั้นพวกเราสมควรจะทำอย่างไรดี?”
“มาเถิด อันดับแรกก็ไปดูจุดที่เชื่อมต่อระหว่างปรภพกับโลกมนุษย์กันก่อน”
ว่าแล้วสองเสียงก็หายไป
หลังจากนั้นไม่นานนัก
ภายในถ้ำมืด ก็บังเกิดรอยแยกมิติอันเชี่ยวกรากขึ้น
และเงาทั้งสองก็ออกมาจากอากาศที่บางเบา
หนึ่งในสองเงามืดได้เหยียดมือออกไป และสัมผัสเข้ากับรอยแยกมิติที่ว่านั่น
ปัง!
แต่แล้วจู่ๆ มือของเขาก็ถูกแผดเผาด้วยเปลวเพลิงอันร้อนแรงอย่างฉับพลัน!
“ดูเหมือนว่ามันจำต้องใช้เวลามากกว่าที่คาดอีกหน่อย กำแพงป้องกันของโลกยังไม่พังทลายลง แถมพวกเราก็ยังแกร่งเกินกว่าที่จะเข้าแทรกแซงได้” เสียงเศร้าใจกล่าว
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ งั้นก็ให้พวกที่หลุดออกมาจากปรภพรับหน้าที่จัดการในส่วนนี้ก็แล้วกัน”
“จริงด้วยสิ! ยังมีพวกมันอยู่นี่นา งั้นเราก็ให้พวกมันค้นหาร่างกายมนุษย์ของเจ้าจิตวิญญาณนั่นในโลก จากนั้นก็ทำลายมันเสียก็สิ้นเรื่องแล้ว!”
“ตราบใดที่กายมนุษย์ถูกทำลายลง ไม่ว่าจิตวิญญาณของมันจะซุกซ่อนอยู่ที่ใดในสายธารแห่งการหลงเลือน สุดท้ายมันก็ต้องตกตายลงอยู่ดี!”
และด้วยการสนทนาสบายๆ ระหว่างทั้งสองเสียงนี้เอง ก็พลันบังเกิดสายลมกระโชกแรงออกจากถ้ำมืด ลอยล่องออกไปยังมิติที่ว่างเปล่า มุ่งหน้าตรงไปยังทิศทางโลกมนุษย์
ไม่นานนัก นรกทั้งสี่ก็ได้รับแจ้งคำสั่งที่ถูกส่งไปให้
ภายในถ้ำมืด บังเกิดเสียงถอนหายใจดังออกมา “เพียงแค่มดตัวจ้อย แต่กลับต้องสูญเสียไปถึงเพียงนี้ นี่มันไม่คุ้มค่าเอาเสียเลย”
แต่แล้วในตอนนั้นเอง ก็ดูเหมือนว่าจะมีบางสิ่งบางอย่างบังเกิดขึ้น ทั้งสองร่างเงาเงียบไปชั่วขณะหนึ่ง ก่อนที่จู่ๆ จะเริ่มแสดงท่าทีตื่นเต้นเล็กน้อยออกมา
“เจ้ารู้สึกถึงมันไหม?”
“รู้สึกสิ หากเป็นเช่นนี้ ในไม่ช้า โลกก็จะกลายเป็นผลไม้อันหอมหวานของพวกเราแล้ว!”
“ไปกันเถิด! พวกเราไปจัดการเรื่องของโลกใบนี้ให้มันจบๆ ไป แล้วจึงค่อยมาเป็นกังวลว่าเมื่อใดจะพร้อมกับการเก็บเกี่ยวผลไม้สุกงอมจากโลกใบอื่นจึงจะสมควรกว่า”
และร่างเงาทั้งสองก็จากไป
อีกด้านหนึ่ง
ณ ปรภพ
ภายในเบื้องล่างของสายธารแห่งการหลงเลือน
หญิงในชุดคลุมฟ้าเอ่ยถาม “ใต้เท้า แท้จริงแล้วท่านเป็นใครกัน?”
คราวนี้ มันเป็นคำถามที่ดูเป็นทางการ
ดาบพิภพเอ่ยกระซิบ “บนตัวนาง มีพลังอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของปรภพอยู่”
กู่ฉิงซานผงกหัวเล็กน้อย
ทว่าหญิงเบื้องหน้า มิใช่มีแค่กฎเกณฑ์ของปรภพเท่านั้น
ตามร่างกายของนาง ยังถูกห่อหุ้มและแทรกซึมไปด้วยแสงสีฟ้าเจิดจรัสของน้ำอีกด้วย
เมื่อกู่ฉิงซานมองไปยังแสงน้ำสีฟ้า บรรทัดเส้นแสงก็เด้งออกมาจากหน้าต่างระบบเทพสงคราม
“ค้นพบแหล่งที่มาของสายธารแห่งการหลงเลือน น้ำแห่งต้นกำเนิด”
แท้จริงแล้วกลุ่มแสงน้ำสีฟ้านี้ คือน้ำแห่งต้นกำเนิดของปรภพนั่นเอง!
ครอบครองกฎเกณฑ์แห่งปรภพ แถมยังมีน้ำแห่งต้นกำเนิด นี่ทำให้พอจะอธิบายได้ว่าสถานะของหญิงผู้นี้ต้องไม่ธรรมดาเป็นแน่
ในหัวใจของกู่ฉิงซานกลับกลายเป็นเคร่งขรึมมากขึ้น
เขาประสานหนึ่งกำปั้นหนึ่งฝ่ามือ โค้งคารวะและกล่าวว่า “ผู้น้อยกู่ฉิงซาน ผู้ฝึกยุทธเผ่ามนุษย์ เพราะนรกได้ปรากฏขึ้นในโลก ดังนั้นผู้น้อยจึงใช้เทคนิคลับแยกจิตวิญญาณออกจากกาย เพื่อมาตรวจสอบสถานการณ์จากทางฝั่งปรภพนี้”
สีหน้าของหญิงชุดคลุมฟ้าค่อนข้างประหลาดใจ
ปรากฏว่าแท้จริงแล้วเขาคือ คนเป็น?
ตั้งแต่เมื่อใดกันที่โลกมนุษย์มีความสามารถเช่นนี้ ถึงขั้นถอดจิตเดินทางมาถึงปรภพได้?
เธอจ้องมองอีกฝ่าย และจู่ๆ ก็เปล่งเสียงเรียกออกมา “เครื่องจักรคำนวณบุญส่วนบุคคล”
เสียงดังขานรับขึ้นทันใด “กระผมเอง! กระผมอยู่นี่! ได้โปรดสั่งมาได้เลย!”
น้ำเสียงของมันค่อนข้างจะประจบสอพลอเล็กน้อย
ขณะที่กู่ฉิงซานเริ่มรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาทันที
เนื่องเพราะในยามที่ตนเอ่ยถาม เจ้าเครื่องจักรนี่กลับแลดูไม่ใส่ใจ ทว่าพอหญิงชุดคลุมฟ้าเพียงเรียกขานคำหนึ่ง มันกลับเสนอหน้าทันที
“เขาคือคนเป็นหรือไม่?” หญิงชุดคลุมฟ้าเอ่ยถาม
“มิผิดแล้ว เพราะหากอ้างอิงตามกฎเกณฑ์ ชายผู้นี้นับว่าคือคนเป็นอย่างแท้จริง ดังนั้นเลขบุญของเขาจึงเป็น ศูนย์ๆๆ” เครื่องจักรคำนวณบุญกล่าว
หญิงชุดคลุมฟ้าพยักหน้า ขณะนี้เธอเชื่อสนิทใจแล้ว
เนื่องจากเขาเป็นมนุษย์โลก ดังนั้นสิ่งต่างๆ ก็น่าจะสมเหตุสมผล
หญิงชุดคลุมฟ้าโค้งกายลงเล็กน้อยและกล่าวว่า “ในปรภพ ทุกคนจะเรียกขานข้าว่าฉานนู่ เจ้าสามารถเรียกข้าด้วยชื่อนั่นก็ได้เช่นกัน”
“เข้าใจแล้ว” กู่ฉิงซานประสานฝ่ามือไปทางอีกฝ่ายอย่างมีมารยาท
“มีทั้งสิ้นสี่นรกปรากฏขึ้นในโลกกระนั้นหรือ?” หญิงชุดคลุมฟ้าถอนหายใจ
“ถูกต้อง และเวลาของพวกเราก็ใกล้จะหมดลงแล้ว”
กู่ฉิงซานกล่าวอธิบายถึงสถานการณ์ของโลก บอกแม้กระทั่งความตั้งใจของตัวเขาเอง
หญิงชุดคลุมฟ้าพอได้ฟัง ทัศนคติของเธอก็อ่อนโยนลงไปหลายส่วน
แล้วเธอก็เปลี่ยนคำเรียกขาน “นายน้อย แล้วเหล่าสหายของเครื่องจักรพิพากษาความปรารถนาเล่า เป็นอย่างไรกันบ้าง?”
กู่ฉิงซานกล่าว “ถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่มีความสามารถในการช่วยโลก แต่ข้าคิดว่าพวกเขาดูจะรู้สึกตื่นเต้นกันมาก ยามที่อยู่บนโลก”
สีหน้าเย็นชาของหญิงชุดคลุมฟ้าจางหายไปอย่างสมบูรณ์ “งั้นก็ดีแล้ว”
เธอรำพึงอยู่สักครู่ ก่อนจะกล่าวว่า “แต่น่าเสียดายที่ข้ากำลังรักษาอาการบาดเจ็บอยู่ จึงไม่สามารถช่วยเจ้าได้ในขณะนี้”
กู่ฉิงซานมองออกไป และเห็นแค่เพียงน้ำแห่งต้นกำเนิดบนตัวหญิงชุดคลุมฟ้า กำลังห่อหุ้มกายและแทรกซึมเข้าไปในร่างกายของเธอบ้างเป็นครั้งคราว
ร่างกายของเธอดูค่อนข้างจะโปร่งใส เปรียบดั่งภาพฉายที่ไม่เสถียรมั่นคง
หญิงชุดคลุมฟ้าลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะผายมือของเธอออกไป
ภายในมือของเธอ มีหมอกสีฟ้าที่จับตัวกันเป็นกลุ่มก้อนอยู่
“จงนำสิ่งนี้ไป อย่างน้อยพลังอำนาจที่เหลืออยู่ของปรภพก็ยังน่าจะพอกู้คืนภาพลักษณ์ให้แด่ข้าได้ รับรองว่ามันจะไม่ทำให้เจ้าต้องอับอายหรือผิดหวัง”
“โอ๋? ขอบพระคุณท่าน”
กู่ฉิงซานรับมันมาอย่างระมัดระวัง และสัมผัสได้ถึงไอเย็นจากกลิ่นอายของนาง
ทว่าความเย็นจากกลิ่นอายนี้มิได้มีพลังพิเศษใดๆ มันแค่ช่วยให้กลิ่นอายของเขาเปลี่ยนแปลงไปก็เท่านั้น
นอกจากนี้ เขายังสามารถควบคุมกลิ่นอายที่ว่านี้เพื่อทำการปลดปล่อยมันออกมาเมื่อใดก็ได้
ในหัวใจของกู่ฉิงซานรู้สึกคลายลง
หญิงชุดคลุมฟ้าพยักหน้าให้กู่ฉิงซาน และในที่สุดก็กล่าวว่า “นี่คือกลิ่นอายของข้า และด้วยกลิ่นอายนี้ อาวุธที่เหลืออยู่ก็จักช่วยเจ้า”
อาวุธ?
กู่ฉิงซานดูจะไม่มีเวลามากพอที่จะเอ่ยถาม เขายกมือประสานกำปั้นไปทางอีกฝ่ายและกล่าวเพียง “ขอบพระคุณท่าน”
“เจ้าไปเถอะ ส่วนข้า หากสามารถรักษาอาการบาดเจ็บแล้ว จักก้าวเข้าร่วมการต่อสู้อีกครั้งเอง” หญิงสาวกล่าว
กู่ฉิงซานตบลงในถุงสัมภาระ หยิบขวดเม็ดยารักษาคุณภาพเยี่ยมที่สุดออกมา และมอบมันให้อีกฝ่าย
“นี่นับว่าเป็นเม็ดยาที่ดี แต่ข้ามิอาจใช้มันได้” หญิงชุดคลุมฟ้าโบกมือและกล่าว
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายต้องการจะให้ความช่วยเหลือ เธอก็ขบคิดอยู่ครู่หนึ่ง และในที่สุดก็กล่าวว่า “เจ้ามีหยกวิญญาณภูเขาที่ถูกแผดเผา ดินเยือกแข็ง และศิลาวิญญาณสีชาดอายุหมื่นปีหรือไม่?”
คิ้วของกู่ฉิงซานขมวดเข้าหากัน
หยกวิญญาณภูเขาที่ถูกแผดเผา คือศิลาวิญญาณที่บรรจุธาตุไฟเอาไว้อย่างมหาศาล แถมมันยังต้องอยู่ในภูเขาที่อุดมไปด้วยจิตวิญญาณธาตุดิน โดยที่ไม่มีใครไปยุ่งเกี่ยวหรือขุดค้นมัน หลังจากนั้นนับไปอีกราวๆ หนึ่งพันปี ศิลาวิญญาณธาตุไฟกับจิตวิญญาณธาตุดินก็จะหลอมรวมเป็นหนึ่ง และถือกำเนิดหยกวิญญาณภูเขาที่ถูกแผดเผาขึ้นเป็นครั้งคราว
ดินเยือกแข็ง เกิดจากดินแดนที่มีจิตวิญญาณธาตุน้ำแข็งอันหาได้ยากยิ่ง หลังจากที่เกิดการทับถมในจุดที่มีคุณสมบัติตรงตามข้อกำหนด ชั้นดินน้ำแข็งก็จะเติบโต และหลังจากเกิดการเปลี่ยนแปลงแบบเฉพาะแล้ว มันก็จะผลิตดินวิเศษนี้ขึ้น
ส่วนศิลาวิญญาณสีชาดก็หาได้ยากไม่แพ้กัน เพราะมันต้องตกตะกอนซ้ำแล้วซ้ำเล่าในระยะเวลาหลายพันปี และนี่ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสมบัติล้ำค่า
กู่ฉิงซานงึมงำแต่ไม่ตอบคำถามกลับไป
หญิงชุดคลุมฟ้าดูจะเร่งร้อนอยู่เล็กน้อยเช่นกัน เธอกล่าวว่า “ปรภพน่ะเกือบจะตายแล้ว ข้าจึงต้องการที่จะรักษาตัวให้เร็วที่สุดและสิ่งเหล่านี้ก็มีความจำเป็น เลยเอ่ยถามเจ้าออกไป หากเจ้าไม่มีก็ไม่เป็นไร”
กู่ฉิงซานเก็บขวดใส่เม็ดยาคุณภาพเยี่ยมลงในถุงสัมภาระ และหยิบเขาถุงหอมหลากสีออกมา
ไม่นานนัก เขาก็นำเอาหยกวิญญาณภูเขาที่ถูกแผดเผา ดินเยือกแข็ง และศิลาวิญญาณสีชาดอายุหมื่นปี ออกมา
ศิลาวิญญาณสีชาดอายุหมื่นปี นับว่าหาได้ยากยิ่ง แม้กระทั่งนิกายร้อยบุปผาก็ยังมีไว้ในครอบครองอยู่เพียงหนึ่งเท่านั้น
สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสมบัติล้ำค่าที่สุดของนิกาย
“เชิญรับ” กู่ฉิงซานกล่าว
หญิงชุดคลุมฟ้าเห็นเขาแสดงน้ำใจออกมา ตนก็เดินไปรับมัน
เธอมองลึกเข้าไปในแววตาของกู่ฉิงซานและกล่าว “ขอบพระคุณมาก ตอนนี้ข้าจะเริ่มปิดด่านรักษาตนแล้ว คาดว่าพวกเราคงจะได้พบกันอีกครั้งที่สนามรบนะนายน้อย”
ทั้งสองประสานมือขนานกับอก และโค้งกายคารวะให้กันและกันเล็กน้อย
กู่ฉิงซานกำลังจะเอ่ยปากสอบถามเกี่ยวกับสถานการณ์ของปรภพ แต่กลับเห็นแค่เพียงหญิงในชุดคลุมฟ้าแปรเปลี่ยนเป็นกลุ่มก้อนแสงแล้วจมหายลงไปในใต้พื้นหินเสียก่อน
กู่ฉิงซานชะงักงัน
อ่าวไปเสียแล้ว? นี่นางใช่รีบร้อนเกินไปหรือไม่?
พื้นหินที่เคยแยกแตกออก ค่อยๆ ปิดตัวลง
และพื้นหินนี้ เป็นสิ่งที่ดาบพิภพมิอาจทำลายได้
อีกฝ่ายหายเข้าไปในนั้น และจากไปในพริบตา
นี่
ในขณะที่กู่ฉิงซานยังคงตกใจ สองดาบก็ปรากฏออกมาข้างกายเขาหนึ่งซ้ายหนึ่งขวา
พอได้สติกลับคืน กู่ฉิงซานจึงเริ่มนำทั้งสองดาบหันหลังมุ่งหน้าเดินต่อไป
หลังจากที่เขาเดินสำรวจเบื้องล่างของสายธารมาได้สักพัก
จู่ๆ เสียงของดาบพิภพก็ดังขึ้น
มันเอ่ยด้วยความสงสัย “สิ่งที่เจ้าให้ไป มันล้ำค่าเกินไปหรือไม่?”
ดาบเช่าหยินก็ส่งเสียงฉวัดเฉวียนแสดงบอกกล่าวว่าเห็นด้วยกับดาบพิภพเช่นกัน
กู่ฉิงซานกล่าว “ที่ข้าให้ไปนั่นก็เพราะนางมีกลิ่นอายของกฎเกณฑ์แห่งปรภพ แถมยังเป็นคนฝ่ายเดียวกับปรภพ ในยามแรกที่พบเจอ เจตนาฆ่าที่นางเปล่งออกมาสมควรเป็นเพราะว่านางพึ่งกลับมาจากสนามรบเป็นแน่ ขะ ข้ารู้สึกถึงมันได้อย่างชัดเจน นี่ไม่น่าจะผิดพลาด”
แต่แล้วกู่ฉิงซานไม่อาจแถได้อีกต่อไป
เพราะอย่างไรเสีย ทั้งสองก็พึ่งจะพบเจอกันเป็นครั้งแรก
ถึงแม้ว่าอีกฝั่งจะเป็นคนฝ่ายเดียวกัน แต่เขาก็ไม่เห็นจำเป็นต้องดีกับผู้หญิงคนนั้นมากขนาดนี้เลยก็ได้นี่นา?
ยิ่งคำที่กล่าวออกมา มันยิ่งไม่ใช่เหตุผลที่ต้องนำสมบัติล้ำค่าไปมอบให้แก่อีกฝั่งเลย
ฝีเท้าของเขาหยุดกึกลงอย่างกะทันหัน
นี่ชักจะเป็นปัญหาจริงๆ เสียแล้วสิ ทำไมตัวเองถึงได้ทำแบบนั้นลงไปกันแน่นะ?
กู่ฉิงซานยกสองแขนขึ้นกอดอก กล่าวด้วยความสับสนว่า “ข้าคิดว่านี่มันไม่ถูกต้อง”
“ข้ามิใช่พวกเจ้าชู้ แล้วเพราะเหตุใดกันข้าจึงไม่เลือกที่จะปฏิเสธนาง?” เขาตริตรองและกล่าว
“ยิ่งไปกว่านั้นเจ้ายังเทหมดทั้งหน้าตัก ตกลงว่าเจ้าชมชอบนางใช่หรือไม่?” ดาบพิภพแซว
และดาบเช่าหยินก็ส่งเสียงฮึมฮัมสนับสนุน
กู่ฉิงซานกล่าวอย่างช้าๆ “ข้ามิได้ชอบนาง อืม...นอกจากนี้ข้าจะไปชมชอบคนที่พึ่งเคยพบเจอกันเพียงครั้งเดียวได้อย่างไร?”
เขาเอ่ยถาม “แต่ก็ไม่เข้าใจจริงๆ นะ ว่าเหตุใดข้าจึงทำเช่นนั้นออกไปกันแน่?”
“ก่อนหน้านี้ต่อให้ได้พบเจอกับหญิงงามที่แสนโดดเด่น ข้าก็มิเคยกระทำเช่นนั้นออกไปเลย”
ดาบพิภพทำเสียงจิ๊จ๊ะ “ข้ามั่นใจว่าเจ้ามิได้โดนวิชาหรือเทคนิคมนตราที่ทำให้ลุ่มหลงแต่อย่างใด ดังนั้น คำที่เผ่ามนุษย์ของพวกเจ้าใช้เรียกขานการกระทำนี้ นั่นก็คือ”
“รักแรกพบใช่ไหม?”
“ไม่สิ หรือบางทีอาจเรียกว่าพวกที่ในหัวมีแต่เรื่องอย่างว่า?”
กู่ฉิงซานปฏิเสธอย่างรวดเร็ว “ไม่ใช่ละ ข้าไม่เคยมีจิตหมกมุ่นระหว่างชายหญิงใดๆ ในทำนองนั้น”
เขาเอ่ยถามอีกครั้ง “ว่าแต่เจ้าสัมผัสได้ถึงกฎเกณฑ์แห่งปรภพจากนางหรือไม่ พอจะทราบหรือเปล่าว่านางเป็นสิ่งใด?”
“ไม่มั่นใจนัก น้ำของสายธารแห่งการหลงเลือนที่ห่อหุ้มกายนางมันรบกวนข้ามากเกินไป แต่ข้าสามารถตัดสินได้ว่านางมิใช่การดำรงอยู่ประเภทผีหรือวิญญาณ” ดาบพิภพกล่าว
กู่ฉิงซานหลับตาลงและคิดไตร่ตรองเงียบๆ อยู่สักพัก
และทันใดนั้นเขาก็เปิดปากเอ่ยออกมาว่า “เข้าใจแล้ว มันมิใช่จิตหมกมุ่น แต่มันเป็นความรู้สึกอีกอย่างที่แตกต่างกันออกไป”
“แล้วมันคืออะไร?” ดาบพิภพเอ่ยถาม
“ข้าเองก็จำไม่ได้ว่ามันคืออะไร แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม มันเป็นความรู้สึกหนึ่งที่ข้าเคยมีมานานแล้ว ดังนั้นข้าจึงไม่ทันคิดตริตรอง และช่วยเหลือนางโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย”
“หากลองคิดจากในมุมมองนี้ ก็จะพบว่าสิ่งที่นางต้องการมันค่อนข้างแปลกเช่นกัน” ดาบพิภพกล่าว
“ถูกต้องแล้วล่ะ สามสมบัติล้ำค่านี้มิได้มีไว้ใช้รักษาตัวตามปกติ ข้าคาดว่าบางทีนางอาจจะนำไปเพื่อใช้ในวัตถุประสงค์อื่น” กู่ฉิงซานกล่าว
เขาเอ่ยอย่างต่อเนื่อง “แต่สามสมบัติล้ำค่าเหล่านี้ มีวิธีการใช้งานที่หลากหลายยิ่ง ดังนั้นข้าเองก็ไม่อาจคาดเดาได้เหมือนกันว่านางจะใช้พวกมันทำอะไร”
หนึ่งคนสองดาบเดินอยู่บนเบื้องล่างของสายธาร ขณะเดียวกันก็คอยวิเคราะห์ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างช้าๆ
แต่แล้วทันใดนั้นเอง สามบรรทัดเส้นแสงตัวอักษรก็ปรากฏขึ้นในหน้าต่างระบบเทพสงคราม
“นรกได้เริ่มลงมือในโลกของคุณแล้ว และพวกมันกำลังเริ่มต้นค้นหากายมนุษย์ของคุณ”
“คุณจะต้องค้นหาทางออกสำหรับปัญหาทั้งหมดนี้ ก่อนที่พวกมันจะค้นพบร่างกายของคุณ”
“หากคับขันจริงๆ คุณก็จำเป็นต้องกลับไปที่กายมนุษย์ของตน เพราะหากกายมนุษย์ถูกทำลาย นั่นจะหมายความว่าคุณได้ตายไปแล้วจริงๆ”
ในหัวใจของกู่ฉิงซานเริ่มหนักอึ้ง
“พวกเราคงต้องเร่งมือกันให้มากกว่าเดิมแล้ว”
เขายืดหลังตรง และพุ่งทะยานดั่งมังกรน้ำ แหวกว่ายสำรวจเบื้องล่างของสายธารอย่างรวดเร็ว
…………………………………………….