ตอนที่ 85 นิกายร้อยบุปผา
หนิงเยว่ฉานสับฝีเท้าอย่างรวดเร็ว จนกู่ฉิงซานต้องเร่งฝีเท้าเพื่อที่จะไล่ติดตามเธอ
แต่ใครจะรู้ ยิ่งเขาเร่งฝีเท้า หนิงเยว่ฉานก็กลับสับฝีเท้าของเธอเร็วยิ่งกว่า
กู่ฉิงซานงง หญิงสาวผู้นี้ จะรีบวิ่งไปหาพระแสงอะไร
“เฮ้ย” เขาตะโกนออกมาคำหนึ่ง
แต่โชคไม่ดีที่ดูเหมือนว่าเสียงตะโกนของเขาจะส่งผลตรงกันข้าม เพราะเมื่อได้ยินมัน หนิงเยว่ฉานที่ขณะนี้คล้ายดั่งกระต่ายกำลังตื่นตูมก็ดีดตัวกระโจนออกไปเบื้องหน้าอย่างฉับพลัน ราวกับศรที่ขึงจนตึงแล้วถูกผละออก
กู่ฉิงซานสามารถเห็นได้อย่างชัดเจนว่า หนิงเยว่ฉานกำลังตกอยู่ในความตื่นตระหนกอะไรบางอย่าง ไม่งั้นเธอคงไม่ถึงกับต้องใช้ท่าร่างพุ่งทะยานออกไปแบบนี้
“ถึงกับใช้ท่าร่าง…ทำอย่างกับหวาดกลัวฉันอย่างไรยังงั้นแหละ… ”
เขายอมแพ้ที่จะไล่ตามอย่างเงียบๆ
กู่ฉิงซานไม่ทราบเลยว่ายามนี้หน้าของหนิงเยว่ฉานแดงปลั่งจนคล้ายลูกแอปเปิลแล้ว
ส่วนหนิงเยว่ฉานก็ดูจะมีไหวพริบไม่เลว ตอนนี้เธอตระหนักได้แล้วว่าที่แห่งนี้คือวังร้อยบุปผา และนั่นหมายความว่า แม้นักปราชญ์จะไม่อยากจะมองเห็น แต่นางย่อมต้องสัมผัสได้ถึงทุกๆ อิริยาบถของเธอกับกู่ฉิงซานอย่างแน่นอน
เมื่อคิดถึงมัน เธอก็ไม่รู้ตัวว่าควรจะทำอย่างไรดี และตอนนี้ก็ไม่อยากจะพูดอะไรด้วย
ไม่นานนัก หลังจากที่คนแรกมาถึง คนที่สองก็ทยอยตามมา และในที่สุดทั้งสองก็ได้พบกับกงซุนซีและเหลิงเทียนสิง
“ไม่คาดคิดเลยว่า เจ้าจะสามารถผ่านการทดสอบรายการร้อยบุปผาได้ แถมยังสามารถทำให้ท่านนักปราชญ์ลงมือเดินทางไปถึงแนวหน้าด้วยตัวเองอีกด้วย” กงซุนซีถอนหายใจ ขณะที่ดวงตาของเขาฉายแววประหลาดใจ
“ไม่หรอก หากไม่ใช่เพราะการคิดเสียสละของนายพลกงซุนที่ส่งตัวข้าไปยังโลกเทวะ ข้าคงตายก่อนวัยอันควรตั้งแต่ยามนั้นแล้ว การที่ท่านเลือกที่จะให้ข้ามีชีวิตอยู่ ส่งผลให้เกิดผลลัพธ์ในตอนนี้ขึ้น” กู่ฉิงซานกล่าว
“เพราะคุณธรรมนำพา จึงก่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีอย่างงั้นสินะ?” กงซุนซีถามด้วยรอยยิ้ม
“ถูกต้องแล้ว เพราะคุณธรรมนำพา จึงก่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ดี” กู่ฉิงซานก็กล่าวตอบด้วยรอยยิ้มเช่นกัน
กงซุนซี “พวกเราจะต้องรีบกลับไปยังแนวหน้าในทันที เวลานี้ทุกคนกำลังรอให้เราไปบอกเล่าเรื่องราวทั้งหมดอยู่”
กล่าวจบเขาก็ยื่นยันต์สื่อสารให้แก่กู่ฉิงซาน
“แด่มิตรภาพ สามารถติดต่อข้าได้ตลอดเวลา” กงซุนซีกล่าว
“แต่ข้ายังไม่มียันต์สื่อสารเป็นของตัวเอง...” กู่ฉิงซานตอบ
“นั่นไม่เป็นปัญหา จงตั้งใจฝึกวรยุทธให้ดี หวังว่ายามพบกันครั้งหน้า พื้นฐานวรยุทธของเจ้าจะก้าวกระโดดขึ้นอย่างรวดเร็ว” กงซุนซีตบลงบนไหล่ของเขา
เด็กหนุ่มผู้นี้ มิเพียงมีพรสวรรค์โดยกำเนิด แต่ทัศนคติ ความคิด และจิตใจก็ยังยอดเยี่ยม ไม่อาจนำเอาพื้นฐานวรยุทธมาเป็นตัววัดได้
เหลิงเทียนสิงก็เดินเข้ามาและตบลงบนไหล่เขาเช่นกัน
หนิงเยว่ฉานไม่ได้กล่าวอะไร เพียงแค่มองเขาผ่านหน้ากากเงินด้วยแววตาลึกซึ้งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะผันตัวกลับไป
ไม่นาน เรือเหาะที่ได้กล่าวถึงในกาลก่อนก็ถูกนำออกมาใช้เสียที มันลอยขึ้นเหนือน่านฟ้าและบินจากไปอย่างรวดเร็ว กู่ฉิงซานเฝ้ามองมันอยู่ครู่หนึ่งจนมันหายลับไปสุดสายตา
เขาหมุนตัวกลับ และเดินกลับมายังวังร้อยบุปผา
เมื่อมาถึง เขาก็พบกับห่านขาวที่ยืนอยู่กลางห้องโถงหลัก มันกำลังมองดูเขาด้วยท่าทางเหยียดหยาม
ในหัวใจของกู่ฉิงซานเกิดความสงสัย
เจ้านี่มันไม่ใช่หนึ่งในร่างแยกของนางเซียนไป่ฮั่วหรอกหรือ?
และในตอนนั้นเอง เขาก็ได้ยินเสียงดังมาจากบัลลังก์หมื่นบุปผา นางเซียนไป่เอ่ยปากกล่าวว่า “ฉิงซานศิษย์ข้า เจ้าคงได้พบกับพี่ใหญ่ของเจ้าแล้ว เขาเรียกว่า ไป่หยิงเทียน”
จู่ๆ กู่ฉิงซานก็พูดไม่ออก
แท้จริงแล้วนางเซียนไป่ฮั่วได้ใช้ร่างแยกอวตารของเธอ แปลงร่างเล่นละครเป็นศิษย์ของตนเอง!?
ขณะนี้กู่ฉิงซานอยากจะทราบจริงๆ ว่าในสมองของนางคิดอะไรอยู่ ถึงทำอะไรแผลงๆ เช่นนี้
แต่กู่ฉิงซานก็ยังพยายามทำตัวให้เป็นธรรมชาติ และหันไปโค้งคำนับให้แก่ห่านขาว “ก่อนหน้านี้ที่ศิลาฟ้า พี่ห่านใจดีช่วยเปิดทางให้ ข้าต้องขอขอบใจจริงๆ”
ห่านขาวส่งเสียงฮึฮะ ในปากเอ่ยงึมงำ “หนิงเยว่ฉานไม่ทุบตีเจ้า แถมยังเดินใกล้ชิดกับเจ้าทั้งๆ ที่เจ้าเป็นชาย บอกมานะว่าเจ้ามีวิธีทำเช่นนั้นได้อย่างไร?”
กู่ฉิงซานกล่าวอย่างซื่อตรง “ข้าเพียงทำตามบทเรียนแรกของอาจารย์ที่กล่าวว่า อย่าล่วงเกินหญิงงามที่มีพื้นฐานวรยุทธสูงส่งกว่าตนโดยง่าย”
‘ไม่ใช่ว่าเจ้าเป็นคนพูดเองหรอกหรือ?’ กู่ฉิงซานแอบคิดในใจอย่างเงียบๆ
ดูเหมือนว่าการได้เผชิญหน้ากับห่านขาวแทนที่จะเป็นร่างหลักอย่างนางเซียนไป่ ตัวเขาจึงไม่เกิดความกดดันมากมายนัก
‘อืม...ที่กล่าวมานี่ก็สมควรเป็นจริงเช่นนั้น’
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับคำสอนของอาจารย์ ร่างอวตารที่แสดงเป็นศิษย์พี่ย่อมไม่โต้เถียงเป็นแน่ นี่แหละคือวิธีโต้กลับของผู้ฝึกดาบล่ะ!
แล้วจะนับประสาอะไรกับนางเซียนไป่ที่จะเกิดข้อสงสัย
กู่ฉิงซานคิดถึงมัน ก่อนจะปล่อยวางไปอย่างง่ายดาย
เมื่อห่านขาวได้ยินคำกล่าวของเขา มันก็ไม่อาจเอ่ยปากกล่าวพูดได้ไปครู่หนึ่ง
ผ่านไปสักพัก มันจึงกระพือปีกและกล่าว “ช่างปะไร ข้าขี้เกียจสั่งสอนเจ้าแล้ว เอาไว้ไปเรียนรู้จากศิษย์พี่สองของเจ้าเองก็แล้วกัน”
ศิษย์พี่สอง?
บนระเบียงมุมสูง นางเซียนไป่ฮั่วกล่าว “เจ้ามีศิษย์พี่ชายสองคน และศิษย์น้องหญิงอีกหนึ่งคน นับจากวันนี้ไป จะถือว่าข้าได้รับเจ้าเข้าสู่นิกายอย่างเป็นทางการ”
ระหว่างกล่าว ร่างสองร่างก็เดินควบคู่กันเข้ามาในพระราชวังร้อยบุปผา
กู่ฉิงซานเหลียวหลังไปมอง และพบว่าผู้ที่มาเป็นชายหนึ่งกับหญิงอีกหนึ่ง
นี่คืออีกสองศิษย์ในนิกายร้อยบุปผา
ฝ่ายชายดูเหมือนจะมีอายุมากกว่าเขาเล็กน้อย ส่วนฝ่ายหญิง เธอยังเป็นสาวน้อยอยู่เลย อายุก็น่าจะซักเจ็ดถึงแปดปีเท่านั้น
ฝ่ายชายดูหล่อเหลา หรืออาจจะกล่าวได้ว่าไปทางสำอางก็ว่าได้ ในมือถือพัดหยก ตรงเอวคาดด้วยเข็มขัดไข่มุก หัวจรดเท้าไร้ซึ่งเศษไรฝุ่น หากมองแวบแรก อาจเผลอคิดไปว่าเขาเป็นหญิงที่พยายามแต่งตัวเป็นชาย
ทว่าฝ่ายหญิงกลับตัวเล็กน่ารักแลดูราวกับหุ่นปั้นตัวน้อยที่ถูกแกะสลักด้วยหยกเลอค่า ครอบครองคู่ดวงตากลมโตที่ดูคล่องแคล่วและปราดเปรียว ประกอบด้วยผมที่ถูกมัดเป็นคู่หางม้าน้อยๆ ทั้งซ้ายและขวา ใบหน้าเล็กกระจิดริดดูน่ารัก ทว่าเมื่อพบเห็นคนแปลกหน้ามันก็พลันเผยถึงความตึงเครียดและเขินอาย ทำให้แลดูน่าสงสารไม่น้อย
ศิษย์พี่สองเดินเข้ามาวนเวียนอยู่รอบตัวของกู่ฉิงซาน ก่อนที่เขาจะผ่อนคลายลง
เขากล่าว “ดูเหมือนว่าในนิกายร้อยบุปผา ก็ยังกล่าวได้ว่ารูปร่างหน้าตาของข้านับเป็นอันดับหนึ่งอยู่ดี”
“แบร่! เจ้าน่ะเหรออันดับหนึ่ง? ปล่อยผมยาวอย่างกับผู้หญิง แต่ยังกล้าอวดโอ้เช่นนี้?” ห่านขาว ไป่หยิงเทียน กล่าวเย้ยหยัน
ชายคนนั้นเลื่อนสายตาไปหาห่านขาวที่กำลังเอ่ยด้วยใบหน้าบิดเบี้ยว แต่เขาก็ทำราวกับว่าไม่ได้ยินสิ่งใด และประสานมือทักทายกู่ฉิงซานก่อนจะกล่าว “ศิษย์น้องเล็ก ข้าเรียกว่าฉินเซี่ยวโหลว เซี่ยวโหลวที่หมายถึงเสียงพิรุณพร่ำยามค่ำในฤดูใบไม้ผลิ ”
ห่านขาวกล่าวขัดจังหวะ “ถูกต้อง ชื่อของมันคือ เซี่ยวโหลว แต่แปลได้อีกความหมายถึงคือ ความปีติในหอนางโลม เจ้านี่มันหลอกลวงคว้าเอาหัวใจของหญิงสาวไปทั่วทุกที่สมกับชื่อของมันนั่นแหละ!”
ฉินเซี่ยวโหลวเริ่มโกรธขึ้น หนึ่งกำปั้นเกร็งแน่น ก่อนจะหันไปยังบัลลังก์หมื่นบุปผา และเอ่ยปาก “ท่านอาจารย์ ศิษย์พี่ใหญ่กล่าวดูหมิ่นข้าต่อหน้าทุกคน แม้กระทั่งอยู่เบื้องหน้าท่านเขาก็ยังรังแกข้า”
นางเซียนไป่กลับไม่สนใจเขาแต่หันไปกล่าวกับกู่ฉิงซานว่า “นี่คือศิษย์พี่สองของเจ้า ฉินเซี่ยวโหลว แม้จะดูพิกลไปบ้าง แต่เขาหลักแหลมยิ่ง สามารถเรียนรู้ ‘หกศิลป์’ ทั้งหมดได้อย่างสมบูรณ์แบบ”
กู่ฉิงซานหันไปมองฉินเซี่ยวโหลว สองกำปั้นประสานและกล่าว “ผู้น้อยกู่ฉิงซาน ยินดีที่ได้พบกับศิษย์พี่สอง”
กลับกลายเป็นว่า ที่แท้คนผู้นี้ก็คือคลื่นลูกใหม่ผู้มีชื่อเสียง ฉินเซี่ยวโหลว
สามารถเรียนรู้หกศิลป์ทั้งหมดได้อย่างสมบูรณ์แบบ แถมคำนี้ยังเอ่ยออกมาจากปากนักปราชญ์ด้วยตนเอง นั่นหมายความว่าคำที่เอ่ยย่อมมีน้ำหนักมากกว่าเอ่ยจากปากคนทั่วไป
สำหรับหกศิลป์นั้นประกอบไปด้วย ทำนายชะตา สร้างค่ายกล ปรุงยา สร้างอาวุธ ลงผนึก และปรุงอาหาร หากผู้ฝึกยุทธคนไหนสามารถเรียนรู้หนึ่งในหกศิลป์ได้ พวกเขาจะสามารถยืนหยัดอยู่เหนือเหล่าผู้ฝึกยุทธทั้งมวล และได้รับทรัพยากรมากมายจากนิกายไว้สำหรับในการฝึกฝน
แต่ฉินเซี่ยวโหลวกลับสามารถเรียนรู้ได้ทั้งหกศิลป์ จึงนับว่ามีพรสวรรค์ดั่งสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง สามารถเรียนรู้ศาสตร์ทั้งหกศิลป์ได้อย่างละเอียด ในโลกของผู้ฝึกยุทธต่างพากันลงความเห็นว่าเขานี่แหละคือเมล็ดพันธุ์แห่งสหัสวรรษ!
หาไม่แล้ว มีหรือตัวเขาจะเข้าตานางเซียนไป่ฮั่ว และได้รับการยอมรับเป็นศิษย์จากนักปราชญ์
ทว่าชายผู้นี้กลับไม่มีความสนใจในด้านวรยุทธ เขาไม่มีความสุขในยามต่อสู้ จึงละทิ้งความยับยั้งชั่งใจทั้งหมด ใช้ชีวิตไปอย่างว่างเปล่าอยู่เป็นนิจ ในสายตาคนนอก ต่างมองและบอกกล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่าเขากำลังทำตัวไม่แตกต่างไปจากสำนวน ‘กำปั้นทุบดิน’
แต่นางเซียนไป่ฮั่วก็ดูเหมือนจะไม่ใส่ใจ และกล่าวว่าจุดเปลี่ยนที่ชายผู้นี้จะหันมาฝึกวรยุทธนั้น คงยังมาไม่ถึง
และก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ จุดเปลี่ยนที่ฉินเซี่ยวโหลวจะเริ่มต้นฝึกฝนวรยุทธอย่างจริงจังก็ในอีกเจ็ดปีต่อมา และในวันนั้นก็คือวันที่นางเซียนไป่ฮั่วได้ตกตายลง
ในวันนั้น เขาที่อยู่ในระดับแก่นทองคำช่วงต้น ในลมหายใจเดียวก็กลับพุ่งทะยานเข้าสู่ระดับก่อกำเนิด และทะลวงต่อเนื่องไปยังระดับก้าวสู่เทพช่วงกลาง ก่อนจะหยุดลงในที่สุด
ช่วงเวลานั้นนับได้ว่าทำให้ผู้คนทั้งโลกแห่งผู้ฝึกยุทธต้องตกตะลึง
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเขาจะพยายามหนักหนาเพียงใด มันก็ไม่อาจช่วยเหลือนางเซียนไป่ได้
และนั่นได้กลายเป็นอุปสรรคชั่วนิรันดร์ที่สร้างความปวดร้าวในต่อจิตเทวะของเขา จนสุดท้ายเขาก็ไม่อาจทะลวงฝ่าเข้าสู่ขอบเขตนักปราชญ์ และหยุดอยู่แค่เพียงเกือบถึงระดับประทับเทพเท่านั้น
ฉินเซี่ยวโหลวฟึดฟัดด้วยความขุ่นเคือง กำปั้นอีกข้างเริ่มเกร็งแน่น “น้องกู่ หลังจากนี้หวังว่าพวกเราคงจะสนิทกัน เจ้าไม่ต้องไปสนใจคำของพี่ใหญ่หรอก!”
กู่ฉิงซานเห็นฉากนี้ ก็ไม่รู้ว่าเขาควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
“ท่านนักปราชญ์ คนผู้นี้หรือคือศิษย์น้องของข้า?” เสียงที่ฟังดูเคอะเขินดังสะท้อนออกมา
กู่ฉิงซานหันหัวกลับไปมอง และพบว่าเป็นเด็กสาวน้อยที่เอ่ยปากออกมา
เห็นแค่เพียงคู่ดวงตาของเธอ ภายในถูกเติมเต็มไปด้วยประกายแห่งความคาดหวัง เธอลอบมองดูกู่ฉิงซานอยู่เป็นพักๆ
ห่านขาวกระพือปีกพับๆ บินเข้ามาหาเด็กสาว ก่อนจะกล่าวกับเธออย่างเห็นอกเห็นใจ “เจ้าไม่อาจเป็นศิษย์พี่หญิงได้ เขาเป็นศิษย์พี่ชายของเจ้า พวกเราทั้งสามเป็นศิษย์พี่ชายของเจ้า”
นางเซียนไป่ฮั่วกล่าว “ซิวซิว ข้ายังไม่ได้ยอมรับเจ้าเป็นศิษย์อย่างเป็นทางการเลย และเจ้าก็ยังเยาว์เกินไป แต่ในวันนี้ข้าจะรับเจ้าและกู่ฉิงซานเข้าสู่นิกายอย่างเป็นทางการ และเจ้าจะเป็นน้องเล็กคนสุดท้อง”
เธอเอ่ยเสริมอย่างอ่อนโยน “และด้วยเหตุผลดังที่กล่าวมา นับจากนี้ไป พวกเขาทั้งหมดจะต้องคอยดูแลเจ้า”
ช่วงแรกของประโยคที่ซิวซิวได้ฟัง สีหน้าของเธอเต็มไปด้วยความผิดหวัง ทว่าเมื่อได้ยินประโยคหลัง มันก็กลับกลายเป็นความสุข
นางเซียนไป่โบกมือ ก่อนที่จะปรากฏคู่บัตรหยกขนาดเล็ก ตกลงเบื้องหน้ากู่ฉิงซานและซิวซิว
กู่ฉิงซานมองไปยังบัตรหยก และเห็นว่าแต่ละอันหนึ่งถูกลงสลักเอาไว้ว่า “ซาน” และอีกอันคือ “ซิว”
........................................