ตอนที่ 4 บุกรุก
ในระหว่างที่กู่ฉิงซานกำลังขบคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ จู่ๆ เขาก็รู้สึกปวดแปลบนิดๆ บนร่างกาย
เขาก้มหน้าลง มองไปยังผ้าพันแผลสีขาวราวหิมะที่ถูกแช่ไปด้วยเลือด
จริงสิ อาการบาดเจ็บยังไม่ได้ถูกฟื้นฟูโดยสมบูรณ์ มันยังอยู่ในขั้นตอนการรักษา การที่เขาออกแรงมากเกินไปจึงทำให้ปากแผลเปิดออก
กู่ฉิงซานวางธนูกองทัพลง จากนั้นก็นั่งลงบนโซฟาและเตรียมตัวพักผ่อน
ไม่มีอะไรที่ต้องรีบร้อน สงบใจเข้าไว้
กู่ฉิงซานหยิบเม็ดยาฟื้นฟูที่เหลือเพียงหนึ่งเดียวขึ้นมา และกลืนมันลงไปอย่างไม่ลังเล
ม่านตาของเขาค่อยๆปิดลง และเริ่มถ่ายเทพลังวิญญาณอย่างเงียบๆ...
และค่ำคืนนี้ก็ผ่านพ้นไปโดยไร้ซึ่งสรรพเสียงใดๆ
ในยามเช้า พายุฝนไม่มีทีท่าว่าจะลดลง แต่กลับโหมกระหน่ำยิ่งกว่าเก่า
สภาพอากาศเริ่มเย็นลง ผสมปนเปกับความหนาวเย็นที่เกิดจากพายุฝนส่งผลให้รู้สึกราวกับโลกถูกแช่แข็ง
ในอีกไม่กี่วัน หน้าหนาวก็จะมาถึง
ณ ค่ายทหาร
กู่ฉิงซานถูกความหนาวเย็นปลุกให้ตื่นขึ้น
เขาลุกขึ้นนั่งและพบว่าบาดแผลได้รับการเยียวยาเหมือนเกิดใหม่
แม้เม็ดยาฟื้นฟูของกองทัพจะรักษาได้ไม่ครอบคลุมอาการบาดเจ็บ แต่ในเรื่องของการฟื้นตัวจากบาดแผลนับว่ามีประสิทธิภาพมากจริงๆ
ไม่นานนัก เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น พร้อมกับประตูที่ถูกเปิดออก
จ้าวหลิวยกหม้อต้มโจ๊กร้อนๆ เข้ามาอย่างตั้งอกตั้งใจ
กู่ฉิงซานมองไปยังหม้อต้มโจ๊กที่ส่งกลิ่นหอมฉุยและเอ่ยถามว่า “ยังมีอาหารเหลืออยู่มากแค่ไหน?”
จ้าวหลิวสูดหายใจลึก “เหลือเพียงพอสำหรับวันนี้ และพรุ่งนี้อีกครึ่งวัน” จากนั้นก็เหลือมองไปยังถุงเก็บสัมภาระตรงเอวของกู่ฉิงซาน
แม้กู่ฉิงซานจะจับสังเกตได้ แต่เขาก็ไม่เอ่ยอะไรออกมา
เพราะในตอนที่ถูกส่งข้ามเวลามา ถุงสัมภาระของเขาก็ว่างเปล่าเช่นกัน
กู่ฉิงซานกินโจ๊กอย่างเงียบๆ
“บาดแผลของนาย…เป็นอย่างไรบ้าง?” ในแววตาของจ้าวหลิวราวกับมีปีกแห่งความหวังโบยบินอยู่
“ดีขึ้นกว่าเดิมมากแล้ว” กู่ฉิงซานเหยียดแขนขา จากนั้นก็เอ่ยถามกลับไป “พี่จ้าว คุณมาจากค่ายไหน แล้วประจำสังกัดอะไร?”
ใบหน้าของจ้าวหลิวปรากฏรอยยิ้มฝืนๆ และกล่าวว่า “ฉันเป็นทหารสังกัดโภชนา กุ๊ก อันที่จริงแล้วไม่จำเป็นต้องมีฉันก็ได้ เพราะหลายร้อยคนในค่ายก็สามารถทำอาหารได้เหมือนกัน”
แท้จริงแล้วเขาเป็นถึงหัวหน้าคนครัว จึงไม่น่าแปลกใจที่รสชาติของโจ๊กออกมาดี
แต่ด้วยจุดยืนในเวลานี้ หากไม่มีกู่ฉิงซาน สำหรับตัวจ้าวหลิวซึ่งเป็นเพียงทหารธรรมดา สถานการณ์เช่นนี้คงหมดหวัง และได้แต่รอความตาย
อย่างไรก็ตาม ที่จ้าวหลิวยังไม่รู้ก็คือ กู่ฉิงซานนั้นเป็นเพียงผู้ฝึกยุทธระดับปราณปรับแต่งขั้นแรกเท่านั้น หากพบกับพวกมารแม้เป็นเพียงทีมขนาดเล็ก เขาก็คงจะถูกฆ่าตายทันที
กู่ฉิงซานคิดอย่างเงียบๆ สายตาของเขาจ้องมองไปยังนาฬิกาทรายที่อยู่เหนือหน้าต่างตัวละคร
ในนาฬิกามีทรายอยู่ไม่มากนัก หรือเรียกได้ว่าแทบจะไม่มีหลงเหลืออยู่เลยก็ได้
ซึ่งดูเหมือนว่าตรงจุดนี้จะแตกต่างจากในตอนที่เกมได้เปิดตัวแล้วอย่างเป็นทางการ
ถัดไปจากนาฬิกาทราย มีตัวอักษรที่เปล่งแสงเล็กๆ ราวกับหิ่งห้อย ร้อยเรียงเป็นถ้อยคำอธิบายเล็กๆ ว่า : หนึ่งวันเต็มในต่างโลก เกม จะเทียบเท่ากับหนึ่งชั่วโมงในโลกจริงเท่านั้น ผู้เล่นที่อยู่ในระดับปราณปรับแต่ง เมื่อครบเวลาที่กำหนด จะต้องกลับสู่โลกจริง และสามารถเข้ามายังต่างโลกได้อีกครั้งในวันถัดไป
กู่ฉิงซานตอนนี้กระตือรือร้นเป็นอย่างมาก เขาแทบจะรอไม่ไหวที่จะได้เห็นด้วยตาตนเองว่าในโลกจริงขณะนี้อยู่ในปีที่เท่าไหร่
โจ๊กยังไม่ทันจะหมดหม้อ ทหารสองคนก็เดินเข้ามาในห้องพร้อมกับตะเบ๊ะอย่างพร้อมเพรียง
“สหายกู่ ดูเหมือนว่าข้างนอกจะมีปัญหา” จ้าวหลิวย่อตัวลงและกระซิบ
“ฉันจะออกไปดูเอง” กู่ฉิงซานกล่าวพร้อมกับคว้าธนูกองทัพและเดินออกไป
จากที่สังเกตทรายในนาฬิกา ดูเหมือนว่ากู่ฉิงซานจะเหลือเวลาอีกเพียงแค่สิบนาที ก่อนจะต้องกลับสู่โลกจริง…หวังว่าเรื่องที่เกิดขึ้นคงไม่เป็นปัญหาใหญ่นะ
ฉิงซานเดินออกจากประตูพร้อมดึงลูกศรออกมาแนบกับคันธนู สายตากวาดไปทั่วทุกทิศทาง
ตาทั้งสองกวาดผ่านทุกสิ่งปลูกสร้าง ไม่เว้นแม้แต่มุมเล็กๆ
กล่าวกันตามจริงแล้ว ข่ายอาคมอำพรางก็ยังคงทำงานอยู่ ดังนั้นพวกมารก็ไม่น่าจะเข้ามาได้ง่ายๆ
นี่มันเรื่องอะไรกันแน่?
ฟึ…เสียงบางอย่างดังขึ้นอีกครั้ง
ตำแหน่งนั้น อยู่ไม่ไกลกับประตูทางเข้าของค่ายทหาร
กู่ฉิงซานแนบลำตัวติดกำแพงแล้วค่อยๆ หเคลื่อนไหวอย่างเงียบๆ
และมารอสูรร่างใหญ่ก็ปรากฏสู่สายตาของกู่ฉิงซาน
ขณะนี้มารอสูรยืนอยู่บริเวณขอบของบ่อกักศพ หางของมันส่ายไปมาพร้อมกับหัวที่หันซ้ายแลขวา มองไปรอบด้านอย่างระแวดระวัง
แม้ว่าจะมีฝนตกชุกอย่างต่อเนื่อง แต่กลิ่นเลือดในหลุมกักศพก็รุนแรงพอที่จะดึงดูดมารอสูรให้เข้ามาได้
กู่ฉิงซานซ่อนกายภายใต้เงาของชายคาบ้าน เขาค่อยๆยกธนูกองทัพขึ้นมา และง้างมันอย่างช้าๆ
เขารู้จักเจ้ามอนสเตอร์สายพันธุ์นี้
มันเป็นมารอสูรระดับต่ำ แม้ว่าจะเงอะงะ แต่หากมันคลั่งเมื่อไหร่ ความสามารถในการปะทะและกัดกระชากจะเป็นอะไรที่น่าหวาดหวั่นยิ่ง ขนาดที่ว่าทหารสองถึงสามคนยังไม่อาจเข้าใกล้ตัวมันได้
กู่ฉิงซานถอนหายใจอย่างโล่งอกในเงามืด
โชคดีที่เขาเลือกอาวุธโจมตีระยะไกล ควบคู่ไปกับการมีข่ายอาคมอำพรางปกคลุมค่ายเอาไว้ ทำให้บางทีเขาอาจจะลอบโจมตีมันได้
มารอสูรวนไปรอบหลุมกักศพ และใช้เท้าเขี่ยศพที่นอนแน่นิ่งบนพื้นดินเป็นครั้งคราว
มันกำลังสงสัยว่าตนเองกำลังถูกล่อลวง มีกับดักอยู่รอบๆ หรือมีมารอสูรตนอื่นคอยดักซุ่มโจมตีอยู่หรือไม่
ทรายในนาฬิกาบ่งบอกว่าขณะนี้เหลือเวลาไม่ถึงสิบนาทีแล้ว
กู่ฉิงซานง้างคันธนูที่เสียบลูกศรขึ้นอย่างเงียบๆ
ฮึดฮัดๆ
ฮึดฮัดๆ
มารอสูรหยุดนิ่ง จมูกของมันส่งเสียงฮึดฮัด และหันหัวไปมองพื้นที่โดยรอบที่มีเพียงก้อนหิน
ขณะนี้เหลือเวลาอีกราวๆ ห้านาที
แต่กู่ฉิงซานกลับยังคงไม่ปล่อยลูกศรออกไป
ในที่สุดมารอสูรก็ค่อยๆลดหัวของมันลง เตรียมที่จะกินซากศพของทหาร
จมูกของมันสูดดมบนร่างกายของศพอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายมันก็ง้างปากใหญ่ที่เต็มไปด้วยคมเขี้ยวขึ้นมา
นี่แหละเวลาที่รอคอย!
กู่ฉิงซานง้างคันธนูสุดแรงและถ่ายโอนพลังวิญญาณไปยังลูกศรขนนก
คลื่นอากาศที่มองไม่เห็นแพร่กระจายออกมาอย่างช้าๆ
ศรที่แฝงไว้ด้วยพลังวิญญาณนั้นมีอานุภาพทำลายล้างมากกว่าศรธรรมดาๆถึงห้าเท่า!
ศรเหล่านี้มีเอกลักษณ์ที่พิเศษ แค่แฝงพลังวิญญาณเอาไว้อย่างเดียวก็เพียงพอแล้วที่จะใช้ฆ่าสังหาร และหากมันถูกแฝงไว้ด้วย ‘ธาตุทั้งห้า’ ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึง
เมื่อสายธนูถูกง้างจนสุด กู่ฉิงซานก็เกร็งมันไว้สองลมหายใจ และคลายนิ้วของเขาลง
บิซ!
ลูกศรเชือดเฉือนอากาศจนส่งเสียงหวีดหวิว พริบตาเดียวมันก็พุ่งเข้าปากของมารอสูรและจมลึกลงไป! ความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลัน ทำให้เจ้ามารอสูรลงไปดิ้นพล่านกับพื้น
ศรแรกเข้าเป้า แต่กู่ฉิงซานก็ไม่ลังเลที่จะดึงศรต่อไปออกมาและแนบมันลงกับคันธนู
เปิดใช้งานสกิล ยิงต่อเนื่อง!
ลูกศรพร่ามัวเป็นเงา และผละออกจากธนูกองทัพ
มารอสูรส่งเสียงคำรามก้องชนิดสะเทือนสวรรค์ พร้อมกับพุ่งไปยังทิศทางที่ลูกศรถูกยิงออกมา
แต่พุ่งมาได้เพียงไม่กี่ก้าว เจ้ามารอสูรกลับเปลี่ยนใจหันหลังหนีทันที
นั่นเพราะศรดอกแล้วดอกเล่าเริ่มปรากฏขึ้นตามร่างกายของมัน และทุกดอกล้วนมุ่งเน้นทำลายประสาทสัมผัสทั้งห้า ข้อต่อ และตำแหน่งสำคัญต่างๆ
อาการบาดเจ็บเริ่มรุนแรงขึ้นเป็นเท่าทวี เพิ่มสูงขึ้นจนความหวาดกลัวอันลึกล้ำเข้ามาข่มความโกรธเกรี้ยวในตอนแรก
หากมันเลือกที่จะหนีเต็มกำลังตั้งแต่ถูกโจมตีดอกแรก มันก็อาจจะยังสามารถหลบหนีได้ แต่มันกลับเลือกที่จะพุ่งเข้าไปโจมตีผู้ลอบทำร้ายโดยเผื่อกำลังไว้หลบหนีเพียงครึ่งเดียว ฉะนั้นเวลานี้จึงสายไปเสียแล้ว
ตลอดทั้งกระบวนการโจมตี สีหน้าของกู่ฉิงซานไม่มีแม้แต่จะเผยให้เห็นถึงอารมณ์ใดๆ มือที่ถือคันศรยังคงนิ่งราวกับหิน ส่วนอีกข้างก็คอยยิงศรออกไปดอกแล้วดอกเล่า
จนท้ายที่สุด
เจ้ามารอสูรก็ทิ้งตัวลงสู่พื้นดินและไร้ซึ่งการเคลื่อนไหวใดๆ
บนร่างของมันเต็มไปด้วยลูกศร เลือดหลั่งรินออกมาจากทั่วทุกมุมเป็นเส้นสาย ชุบผืนดินเบื้องล่างให้กลายเป็นสีแดงฉาน
ส่วนทางด้านกู่ฉิงซาน เขาได้ใช้พลังวิญญาณไปเพียงแค่หกสิบเปอร์เซ็นต์เท่านั้น
อย่างไรก็ตาม เขาก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุด ยังคงง้างคันศร ถ่ายเทพลังวิญญาณลงไป และยิงไปยังมารอสูรอย่างต่อเนื่อง
ดูจากท่าทีระแวดระวังของมันก่อนที่จะกินศพ ก็พอจะรู้ได้ว่าเจ้ามารอสูรตนนี้ได้เปิดภูมิปัญญาของมันแล้ว และพวกที่เปิดภูมิปัญญา เกือบทั้งหมดไม่ใช่ตัวโง่งม แถมบางตัวยังชาญฉลาดยิ่งกว่ามนุษย์เสียด้วยซ้ำ
มันกำลังหลอกว่าตนได้ตายไปแล้ว และล่อศัตรูที่ซุ่มโจมตีอยู่ให้ออกมา
หลังจากที่ถูกยิงซ้ำไปอีกเจ็ดถึงแปดดอก และไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลง มันก็ไม่สามารถแกล้งทนว่าตกตายได้อีกต่อไป เจ้ามารอสูรดีดตัวขึ้นจากพื้นดิน เพื่อเตรียมที่จะหนีอีกครั้ง
แต่มันก็ยังคงถูกต้อนรับโดยห่าลูกศรที่เทลงมาราวกับสายฝน
มารอสูรพุ่งหนีไปข้างหน้าอีกราวๆ ห้าถึงหกเมตร ก่อนที่จะกระแทกเข้ากับต้นไม้ใหญ่ และร่วงลงพื้นเสียงดัง
เวลานี้มันได้ตายลงจริงๆ แล้ว
ทันใดนั้นเอง เส้นแสงสีฟ้าอ่อนที่มีคำแจ้งเตือนสั้นๆ ก็พุ่งปรากฏสู่สายตาของกู่ฉิงซาน
‘พลังวิญญาณบวกหนึ่ง, แต้มพลังวิญญาณปัจจุบัน: หนึ่งส่วนห้า’
‘แต้มประสบการณ์เต็ม, แต้มปัจจุบันคือห้าส่วนห้า สามารถอัปเลเวลได้ ต้องการอัปหรือไม่?’
ก่อนหน้านี้เขาได้ฆ่าเปลือกมารลง และได้รับสี่แต้มประสบการณ์ มาตอนนี้ก็ได้รับอีกหนึ่งเติมเต็มเงื่อนไขที่จะใช้อัปเลเวลแล้ว
กู่ฉิงซานกล่าวออกไปอย่างไม่ลังเล “อัปเลเวล”
ช่วงเดียวกันกับที่เสียงถูกเปล่งออกไป เส้นข้อมูลก็เปลี่ยนจากห้าส่วนห้า ไปเป็นศูนย์ส่วนสิบ
ดูเหมือนว่าการที่จะเพิ่มระดับพลังปราณจากขั้นสองไปเป็นสามก็คงต้องการค่าประสบการณ์เป็นสองเท่าเช่นกัน
เวลานี้ ไอค่อนตัวละครของกู่ฉิงซานได้เปลี่ยนจาก ‘ปราณปรับแต่งขั้นหนึ่ง’ ไปสู่ ‘ปราณปรับแต่งขั้นสอง’ เรียบร้อยแล้ว
พร้อมกับแสงสดใสแพรวพราวให้ความรู้สึกอบอุ่นแทรกซึมเข้าสู่ร่างกายของกู่ฉิงซาน
กระแสอบอุ่นแผ่ขยายไปทั่วตัว ก่อนที่จะไปหลอมรวมกันตรงตันเถียน และเปลี่ยนรูปแบบเป็นพลังวิญญาณ
........................................