ตอนที่ 3 หน้าต่างระบบเทพสงคราม
ในสายตาของกู่ฉิงซานหน้าต่างตัวละครสีน้ำเงินจางๆ เบื้องหน้านี้ ไม่แตกต่างไปจากในยุคเดิมของเขามากมายนัก เว้นก็เสียแต่ว่ามันมีปุ่มพิเศษหลายปุ่มที่อยู่ด้านล่างเพิ่มเข้ามา
ปุ่มเหล่านี้ดูราวกับเป็นหลุมดำที่ปล่อยหมอกสีหมึกออกมาเป็นครั้งคราว
เหนือปุ่ม ปรากฏเส้นแสงสีน้ำเงินที่มีตัวอักษรเขียนเอาไว้ว่า
“เปิดใช้งานหน้าต่างระบบเทพสงครามเสร็จสมบูรณ์ สามารถใช้งานฟังก์ชันแรกได้แล้ว”
“ต้องการเปิดใช้งานเลยหรือไม่?”
“ใช่”
เมื่อได้รับการยืนยันจากฉิงซาน ปุ่มๆ หนึ่งในท่ามกลางหมอกสีดำหมึกก็ค่อยๆ เผยชื่อของมันออกมาอย่างช้าๆ
“วิชายุทธเทพสงคราม?”
กู่ฉิงซานมองลงไปยังชื่อที่ปรากฏขึ้น และอ่านมันอย่างรวดเร็ว
หลังจากนั้นไม่นาน
ฉิงซานก็ถูกส่งไปยังชั้นวางอาวุธ เขาแหงนมองชั้นวางที่มีเพียงอาวุธไม่กี่ชนิดวางอยู่
เคียวที่อยู่ในสภาพเสียหาย, หอกสนิมเขรอะ และธนูกองทัพที่อยู่ใต้ฝุ่นหนาเตอะ
ช่างน่าเสียดายที่บนชั้นวางไม่มีดาบ
ในยุคของฉิงซาน เหล่าผู้ฝึกยุทธชั้นนำกว่าสิบล้านคนต่างก็เลือกที่จะใช้ดาบเป็นอาวุธ และกู่ฉิงซานก็เป็นหนึ่งในนั้น นอกจากนี้เขายังเป็นผู้ฝึกวรยุทธดาบที่ติดหนึ่งในสิบอันดับของ ‘นักดาบนิรันดร์’ อีกด้วย
เพียงแค่ชื่อ ไม่ต้องบอกก็พอจะรู้แล้วว่านั่นคือยอดยุทธระดับสูง
นอกจากนี้ กู่ฉิงซานยังเป็นผู้บัญชาการรบประจำสหพันธ์แห่งชาติอีกด้วย นั่นทำให้ทุกๆ วันเขาต้องรับผิดชอบในทุกๆ ด้านหลังจากสงครามเริ่มต้นขึ้นจนแทบจะไม่มีเวลาพักผ่อน
แม้ในโลกจริง เขาจะยังต้องคอยก้มหัวให้กับผู้นำของรัฐต่างๆ อยู่ก็ตาม แต่ฉิงซานก็ยังเต็มใจร่วมมือกันวางกลยุทธ และแลกเปลี่ยนธุรกิจที่มีความซับซ้อนสูงกับเหล่าประเทศต่างๆ
จนเหล่ายอดยุทธระดับสูงหลายคนต่างพากันสงสารกู่ฉิงซานและกล่าวว่าเขามัวแต่ทุ่มกำลังไปกับสิ่งที่กล่าวมามากเกินไป หากมุ่งสนใจแต่เพียงวิถีดาบ ฉิงซานคงไม่หยุดอยู่แค่สิบอันดับดาบบนิรันดร์ แต่คงก้าวเข้าสู่ ‘ดาบแห่งเต๋า’ ไปแล้วก็เป็นได้
เนื่องจากบนชั้นวางไม่มีดาบ กู่ฉิงซานจึงทำได้เพียงส่ายหัวและหยิบเคียวขึ้นมา
ในหน้าต่างระบบเทพสงคราม มีข้อมูลเพิ่มเติมขึ้นมาทันที
“เคียวรุ่นมาตรฐานของกองทัพ เสียหาย หากเลือกใช้งานจะได้รับสกิลดังต่อไปนี้ :”
“สกิลแรก : กวาดทำลายล้าง, แสดงผล: ท่าพิฆาต”
“สกิลสอง : สะบั้นไล่ล่า, แสดงผล: ระยะกว้าง”
“การเรียนรู้สกิลทั้งสอง แต่ละสกิลต้องการหนึ่งแต้มพลังวิญญาณ”
เมื่อเห็นข้อมูลตรงหน้า แม้กระทั่งคนจากอนาคตอย่างกู่ฉิงซานก็ยังรู้สึกทึ่ง
สามารถเรียนรู้สกิลได้โดยตรง นี่น่ะหรือคือวิชายุทธเทพสงคราม?
นอกจากนี้ นี่ยังเป็นเพียงฟังก์ชันแรกของระบบเทพสงครามเท่านั้น ฟังก์ชันอื่นยังคงถูกปกคลุมด้วยหมอกสีดำหมึก ไม่อาจเปิดใช้งานได้
ทว่า แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว เพราะถ้าหากคุณสามารถเรียนรู้สกิลต่างๆ ของผู้ฝึกยุทธได้ทั้งหมดตั้งแต่ต้น แล้วอย่างนั้นจะมีพวกผู้ฝึกยุทธชั้นสูง หรือสกิลลับไปทำไมเล่า?
กู่ฉิงซานสูดหายใจลึก และรอจนกระทั่งอารมณ์สงบลงเล็กน้อย จึงค่อยเอ่ยว่า “แต้มพลังวิญญาณคืออะไร”
และแทบจะในทันที ก็ปรากฏตัวอักษรเล็กๆ ขึ้นบนหน้าต่างตัวละคร
“การฆ่าสิ่งมีชีวิตจะทำให้ได้รับแต้มพลังวิญญาณ ส่วนการฆ่าเปลือกมารเมื่อครู่ ทำให้คุณได้รับ พลังวิญญาณสี่แต้ม , ปัจจุบันมีแต้มพลังวิญญาณสี่ส่วนห้า”
ฆ่าเปลือกมารในไม่กี่ลมหายใจ แต่กลับได้มาถึงสี่แต้มพลังวิญญาณ!
แต่ทว่า เปลือกมารนั้นมิใช่พวกมารธรรมดาๆ ความแข็งแกร่งของมันห่างไกลจากพวกมารปกติและผู้ฝึกวรยุทธ อย่างไรก็ตาม ก็นับว่ายังดีที่มนุษย์นั้นชาญฉลาด สามารถใช้กลวิธีแอบซ่อนตัวและลอบสังหารมันได้
และโชคดีที่กู่ฉิงซานสามารถคว้าโอกาสนั้น อาศัยจังหวะสังหารมารลงได้ในคราวเดียว
ไม่อย่างนั้นล่ะก็ กู่ฉิงซานที่เป็นเพียงผู้ฝึกวรยุทธขั้นต้นคงพ่ายแพ้แก่มันโดยสมบูรณ์ และไม่จบแค่เพียงมานั่งพันแผลอยู่ที่นี่ ส่วนทางฝั่งเปลือกมารคงไม่แม้แต่จะมีเลือดออกด้วยซ้ำ
กู่ฉิงซานพยักหน้า เพราะอย่างไรเสีย ในกรณีนี้ แต้มพลังวิญญาณดูเหมือนจะมีแค่สี่ส่วนหน้า หรือนี่จะหมายความว่าแต้มพลังวิญญาณมีขีดจำกัดสูงสุดแค่ห้าแต้มเท่านั้น?
นี่มันน้อยเกินไป
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ หน้าต่างตัวละครก็ปรากฏตัวอักษรเล็กๆ เพิ่มขึ้นอีกบรรทัด
“ยิ่งรากฐานการฝึกวรยุทธสูงขึ้นเท่าไหร่ ขีดจำกัดของพลังวิญญาณก็ยิ่งเพิ่มสูงขึ้นเป็นเงาตามตัว”
หมายความว่าแต้มพลังวิญญาณเชื่อมโยงกับรากฐานการฝึกวรยุทธ?
กู่ฉิงซานอดไม่ได้ที่เหลือบมองไปยังระดับตัวละครของตนที่ลอยเด่นเป็นเครื่องหมายดูสะดุดตา “ปราณปรับแต่งขั้นหนึ่ง”
นี่คือระดับเริ่มต้นของผู้ฝึกยุทธสำหรับมนุษย์ทุกคนในต่างโลก แสดงให้เห็นว่าระดับของกู่ฉิงซานในอดีตได้ถูกรีเซตไปแล้ว
กู่ฉิงซานถอนหายใจ เขาวางอาวุธเคียวลงอย่างเงียบๆ จากนั้นก็หันไปหยิบหอกสนิมเขรอะขึ้นมา
สำหรับตัวหอก มีสกิลที่สามารถเรียนรู้ได้เพียงสกิลเดียวเท่านั้น
กู่ฉิงซานส่ายหัวอีกรอบ เขาวางหอกลงแล้วเอื้อมไปหยิบอาวุธชิ้นสุดท้าย
“ธนูรุ่นมาตรฐานของกองทัพ แสดงผลสกิลที่สามารถใช้ได้ดังต่อไปนี้”
“สกิลแรก ทรงตัว แสดงผล: ระยะไกล”
“สกิลสอง ยิงต่อเนื่อง แสดงผล: ระยะไกล”
“สกิลสาม แม่นยำ แสดงผล:ระยะไกล”
“สกิลสี่ คู่นางแอ่นเหิน แสดงผล: ระยะไกล”
“เรียนรู้ ทรงตัวกับยิงต่อเนื่อง ต้องใช้อย่างละสองแต้มพลังวิญญาณ”
“เรียนรู้ แม่นยำ ต้องใช้สี่แต้มพลังวิญญาณ”
“เรียนรู้คู่นางแอ่นเหิน ต้องใช้หกแต้มพลังวิญญาณ”
ตามข้อมูลความทรงจำ การโจมตีระยะไกลมีไว้ให้สำหรับคนทั่วไปในกองทัพใช้ปกป้องค่ายทหาร หัวและท้ายของธนูจะมีมีดปลายแหลมติดเอาไว้ เพื่อไว้ใช้โจมตีและป้องกันเผื่อศัตรูเข้ามาในระยะประชิด แต่สุดท้ายพวกเขาก็ตายด้วยน้ำมือของ ‘มารกระหายเลือด’ อยู่ดี
สายตาของกู่ฉิงซานกวาดผ่านสกิลทั้งสี่ และหยุดนิ่งตรง ‘คู่นางแอ่นเหิน’
สกิลนี้ต้องการถึงหกแต้มวิญญาณในการเรียนรู้ ซึ่งอยู่เหนือขีดจำกัดแต้มวิญญาณของกู่ฉิงซาน
“น่าเสียดาย ดูเหมือนว่าปราณปรับแต่งขั้นแรกจะยังไม่สามารถเรียนรู้ได้ ฉันควรจะเริ่มต้นฝึกวรยุทธเพื่อเพิ่มขีดจำกัดแต้มวิญญาณให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ซะแล้ว”
กู่ฉิงซานส่ายหัว
สิ่งที่เรียกว่าระดับปราณปรับแต่งนี้เป็นขอบเขตขั้นต่ำสุดของผู้ฝึกยุทธ
เหนือจากขั้นปราณปรับแต่ง ก็จะเป็น ซูจี ขั้นก่อตั้ง จินตัน ขั้นแก่นทองคำ หยวนหยิง ขั้นก่อกำเนิด ฮั่วเฉิน ขั้นก้าวสู่เทพ และขอบเขตอื่นๆ ที่จะกล่าวในภายหลัง
ข่าวดีก็คือ แม้ว่ากู่ฉิงซานจะยังเป็นเพียงผู้เล่นชั้นพื้นฐานของผู้ฝึกยุทธ แต่ความสามารถดังกล่าวนี้ก็ยังติดตัวกลับไปยังโลกจริงด้วย
ปราณปรับแต่งขั้นแรก สามารถรับรู้ถึงพลังวิญญาณและใช้งานมันได้!
หากเขาได้ถูกส่งข้ามเวลาย้อนอดีตมาจริงๆ ต่อให้ทั้งตัวของเขาจะไม่สวมใส่อุปกรณ์ใดๆ สูญเสียสกิลทั้งหมดที่เคยมีมา กู่ฉิงซานก็ยังยินดีเต็มหนึ่งหมื่นส่วน
หลังจากทั้งหมดนี้ มนุษย์ทุกคนนั้นมีเรื่องที่ทำให้เกิดความรู้สึกเสียใจและไม่ยินยอม เมื่อใดก็ตามที่ต้องออกจากห้วงความฝันหวานในยามค่ำคืน กู่ฉิงซานเองก็ไม่เป็นข้อยกเว้น เขาทำได้เพียงเลียบาดแผลที่ร้าวลึกในหัวใจ รอยแผลที่ไม่อาจรักษาได้อย่างเงียบๆ
ถ้าเขาถูกส่งย้อนกลับมาอีกครั้งจริงๆ…
กู่ฉิงซานส่ายหัว ก่อนที่จะพยายามควบคุมอารมณ์ แล้วคว้าธนูกองทัพขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
สิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้คือการเอาชีวิตรอด
ด้วยระดับปราณปรับแต่งขั้นแหนึ่งในเวลานี้ หากบังเอิญต้องปะทะกับมารตรงๆ แม้จะวิ่งหนีก็ยังทำไม่ได้เลยด้วยซ้ำ
ดาบ กระบี่ และหอกนั้นเป็นอาวุธต่อสู้ระยะประชิด แต่หากเป็นผู้ฝึกยุทธขั้นต่ำสุดต่อสู้กับมารเพียงลำพังล่ะก็ เขาคงทำได้เพียงสร้างรอยขีดข่วนเล็กๆ แก่มัน ส่วนเรื่องเรียกเลือดมารในการต่อสู้ตัวต่อตัวน่ะหรือ คงไม่ต้องพูดถึงหรอกกระมัง?
เมื่อเผชิญหน้ากับมาร ความประมาทเพียงนิดก็อาจตกตายได้
ตัวกู่ฉิงซานในเวลานี้ มิได้เป็นถึงนักดาบนิรันดร์มิได้เป็นตัวตนในตำนานที่คอยนำทัพปกป้องประเทศดังแต่ก่อนอีกแล้ว
ขณะนี้ เขาเป็นเพียงทหารธรรมดาๆ ดังเช่นทหารคนอื่นๆ ในค่าย แตกต่างกันเพียงทหารคนอื่นๆ มิได้เป็นผู้ฝึกยุทธ ดังนั้นนี่จึงเป็นเรื่องยากมากสำหรับกู่ฉิงซานที่มีระดับเพียงปราณปรับแต่งขั้นแรกที่จะสามารถปกป้องที่แห่งนี้ได้
เหลือเวลาอีกไม่นาน ข่ายอาคมอำพรางคงหมดสภาพลง อย่างน้อยก็หนึ่งถึงสองวัน หรืออาจมากกว่านั้นเล็กน้อย เมื่อถึงเวลานั้นศิลาวิญญาณก็จะหยุดทำงาน
เมื่อข่ายอาคมหยุดลง มารทุกชนิดก็จะมารวมกัน
กู่ฉิงซานจู่ๆ ก็พบว่าเวลานี้ตัวเขาเองอยู่ในสถานการณ์ที่ค่อนข้างอันตราย
ดูเหมือนว่าจะเกิดการต่อสู้ขึ้นในระยะเวลาอันใกล้ แทนที่จะรอป้องกันค่ายโดยอาศัยการโจมตีระยะไกล สู้อาศัยช่วงเวลาที่ข่ายอาคมอำพรางยังทำงานอยู่ เร่งยกระดับตัวละครให้สูงขึ้นที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ดีกว่า
เมื่อคิดถึงจุดนี้ กู่ฉิงซานก็ตัดสินใจได้ในที่สุด
“ฉันขอเลือกเรียนรู้สกิล ทรงตัว และยิงต่อเนื่อง”
ในวินาทีนั้นเอง กระแสความร้อนจากธนูกองทัพก็หลั่งไหลเข้าสู่ร่างของกู่ฉิงซาน ก่อนที่จะหมุนคว้างเป็นวงกลม และแพร่กระจายไปในทะเลแห่งความรู้
กู่ฉิงซานจ้องมองฉากนี้อย่างโง่งม ก่อนที่จู่ๆ ก็ยกคันธนูขึ้น และยิงลูกศรขนนกออกไป
ซิบ!
ลูกศรจมลึกเข้าไปในแผ่นไม้แผ่นหนึ่งในตัวบ้าน
แต่เขายังไม่หยุดมือเพียงเท่านั้น จู่ๆ ศรขนนกก็เปล่งแสงออกมาราวกับสายน้ำ ก่อนที่มันจะถูกยิงออกไปอย่างต่อเนื่อง
ซิบ ซิบ ซิบ ซิบ!
สิบสองดอกในหนึ่งลมหายใจ แต่มือที่กำคันธนูของกู่ฉิงซานกลับยังแข็งเป็นหิน ไม่ขยับและสั่นไหวเลยแม้แต่น้อย
‘นี่ก็คือผลของสกิล ยิงต่อเนื่องกับทรงตัว อย่างนั้นสินะ’ เลือดลมของกู่ฉิงซานอดไม่ได้ที่จะเดือดพล่าน
‘วิชายุทธเทพสงคราม’ ช่างทรงพลังอย่างแท้จริง!
ตราบใดที่มีแต้มพลังวิญญาณเพียงพอ เขาก็จะสามารถเรียนรู้สกิลจากอาวุธได้ในทันที แบบนี้มันไม่ได้หมายความว่า เขาจะสามารถนำสกิลเหล่านั้นไปใช้ในโลกจริงได้หรอกหรือ?
........................................