webnovel

ปลุกเสก

-ท่านได้รับ ปลอกแขนหนัง จำนวน 1 ชิ้น-

เมื่อสิ้นเสียงของระบบ สิ่งที่อยู่ตรงหน้าของผมก็คือ ปลอกแขนที่ทำผมขึ้นจากวัสดุที่หาได้ในหมู่บ้าน กับหนังปลาเสือลายเมฆเป็นส่วนประกอบหลัก ซึ่งกว่าจะสำเร็จเป็นรูปร่างแบบนี้ ผมก็ทำเสียไปสามถึงสี่อันได้

แต่เมื่อเห็นความพยายามเป็นผลสำเร็จ ความหงุดหงิดกับความเหนื่อยล้าก็หายไปเป็นปลิดทิ้ง ก่อนที่ผมจะลองใส่อุปกรณ์ชิ้นแรกที่ทำขึ้นด้วยฝีมือตัวเอง เพื่อดูว่ามันให้พลังป้องกันแค่ไหน

ผู้ถูกเลือก เลเวล 24

ชื่อ ทวีโชค ใจงาม

สัญชาติ ไทย

พลังชีวิต 185 พลังเวท 10

ความแข็งแกร่ง 12 ความอดทน 55

ความว่องไว 10 ความแม่นยำ 10

พลังโจมตี 6 พลังป้องกัน 110 (+1)

แต้มทักษะ 30

ทักษะ​

- ฟื้นฟู​ขั้นกลาง

- ช่องเก็บของต่างมิติขั้นต้น

- ซ่อนเร้นขั้นต้น

- ยั่วยุขั้นต้น

- ฟื้นคืนสภาพสมบูรณ์

- หัตถกรรมขั้นต้น

ความสามารถ​พิเศษ​ - ควบคุมประจุไฟฟ้าในร่างกายและพลังงานไฟฟ้าในอากาศ​

แหม่ ค่าพลังป้องกันหนึ่ง แต่เอาเหอะ ของชิ้นแรกมันก็แบบนี้แหละ ค่อยหาทางปรับปรุงให้ดีขึ้นทีหลัง เพราะยังเหลือหนังปลาอีกเยอะแยะ แถมยังมีหนังนกเทศที่ได้มาจากมะลิด้วย

ซึ่งหนังนกเทศพวกนี้เป็นส่วนแบ่งที่ผมได้รับหลังจากชำแหละเรียบร้อยแล้ว ที่ตอนแรกผมไม่คิดจะขอแบ่งมา เนื่องจากต้องการตอบแทนคนในหมู่บ้าน แต่คุณกิรณาก็บอกว่าให้รับไว้

เนื่องจากความต้องการเครื่องหนังในหมู่บ้านค่อนข้างน้อย เพราะเครื่องนุ่งห่มของอัปสรสีหะจะเป็นผ้าที่ทอขึ้นเอง มากกว่าจะใช้หนังสัตว์ แล้วส่วนมากของที่ใช้หนังสัตว์มายาก็จะเป็นอุปกรณ์ป้องกันสำหรับนักรบมากกว่า

แต่นักรบของหมู่บ้านก็มีไม่มาก เนื่องจากหมู่บ้านได้รับความคุ้มครองจากอาณาเขตของพระเจ้า ทำให้ไม่ต้องห่วงเรื่องการรุกราน จะมีเพียงการออกไปนอกหมู่บ้านเพื่อหาวัตถุดิบเท่านั้น

อย่างเหตุการณ์ที่ละไมแยกไปคนเดียวนั้นเป็นเพราะประมาท ด้วยเห็นว่าแหล่งน้ำที่เหล่าอัปสรสีหะใช้ประจำนั้นปลอดภัยจากสัตว์มายา ทั้งที่ตามปกติแล้วจะต้องไปเป็นคู่เป็นอย่างน้อย และนี่เป็นสาเหตุหนึ่งที่ละไมถือเป็นหนี้บุญคุณอย่างมาก

"ชิ้นแรกสำเร็จแล้ว ที่นี้ก็ง่ายละ"

"ท่านวีมีความสามารถหลายด้านนะเจ้าคะ"

"นั่นสิ ข้าพเจ้าก็พึ่งเคยเห็นคนที่สร้างอุปกรณ์ได้ในการทำไม่กี่ครั้ง จนระบบยอมรับก็คราวนี้เอง"

ทั้งละไมและรายาต่างชื่นชมผม ซึ่งมันก็รู้สึกดีอยู่หรอก เพียงแต่ไม่รู้ทำไมพอผมเห็นทั้งสองคนแล้วกลับเกิดอารมณ์ทางเพศขึ้นมาเสียอย่างนั้น จนต้องรีบหันมาตั้งใจกับการสร้างปลอกแขนเพื่อสงบสติอารมณ์

แล้วผมก็สามารถสร้างปลอกแขนชิ้นที่สองได้ในเวลาที่น้อย เพราะมีประสบการณ์มาก่อนแล้วส่วนหนึ่ง กับสิ่งที่น่าจะเป็นความช่วยเหลือจากระบบ เพราะร่างกายของผมสามารถรู้ได้เองความควรทำยังไง ให้ได้ปลอกแขนที่ทนทานมากขึ้น

แต่น่าเสียดายที่ไม่ว่าจะทำให้ออกมาดูดีขนาดไหน หรือเปลี่ยนวัสดุยังไง พลังป้องกันของปลอกแขนก็ไม่มากไปกว่าหนึ่งหน่วย ทำให้คิดว่าอาจจะเกี่ยวข้องกับระดับของทักษะ

"ข้าพเจ้าคิดว่า พลังป้องกันที่ท่านวีกล่าวถึงนั้น น่าจะเกี่ยวข้องกับพลังเวทนะเจ้าคะ"

รายาออกความเห็นหลังจากได้ยินผมบ่นเรื่องพลังป้องกันของอุปกรณ์สวมใส่ เนื่องจากอัปสรสีหะไม่มีระบบค่อยช่วยเหลือ ทำให้ไม่สามารถเรียกหน้าต่างของระบบออกมาได้

แต่ความรู้ที่ได้รับมาจากพระเจ้าก็ทำให้พวกเธอรับรู้ได้ถึงความแตกต่าง ระหว่างอุปกรณ์สวมใส่ที่ผมทำขึ้นเอง กับอุปกรณ์ที่ได้จากระบบ ที่สิ่งที่ได้จากระบบนั้นสัมผัสได้ถึงพลังเวทนั่นเอง

"หมายความว่าผมต้องฝึกเวทมนตร์สินะครับ"

ผมพูดขึ้นอย่างเฉยชา เนื่องจากไม่ต้องการเสียเวลาไปกับเรื่องที่ตัวเองไม่สนใจ แถมยังมีพลังเวทน้อยมาก จนน่าจะต้องใช้เวลาหลายวันจนถึงหลายเดือน เพื่อที่จะให้ใช้เวทมนตร์ได้

แต่ดูเหมือนรายาจะไม่คิดแบบนั้น พร้อมกับนำปลอกแขนที่ผมทำขึ้นมาถือไว้ ก่อนจะพนมมือร่ายคาถาเหมือนกำลังปลุกเสกวัตถุมงคล แล้วแสงสีทองก็เปล่งออกมาจากมือของรายาราวกับใช้เทคนิคพิเศษ

"ท่านวีลองสวมดูเถิด ข้าพเจ้าคิดว่าน่าจะมีพลังป้องกันเพิ่มขึ้นสักเล็กน้อย"

ผมทำตามที่รายาบอก ก่อนจะเรียกหน้าต่างค่าสถานะออกมาดูว่าเป็นตามนั้นรึเปล่า และดูเหมือนอัปสรสีหะจะไม่ได้มีดีแค่การฟ้อนรำซะแล้ว

"ค่าพลังป้องกันเพิ่มเป็นสามหน่วย แบบนี้ผมขอให้รายาปลุกเสกให้ดีกว่า"

"ข้าพเจ้าก็ไม่ขัดข้องหรอกเจ้าค่ะ แต่ถ้าหากเป็นพวกผู้ฝึกสอนเวทมนตร์ ก็น่าจะทำให้พลังป้องกันสูงกว่าข้าพเจ้านะเจ้าคะ"

ด้วยเหตุนี้ผมก็ได้เหตุผลที่จะไปหาเหล่าผู้ฝึกสอนทักษะเกี่ยวกับเวทมนตร์ แต่จะให้ไปตอนนี้ก็คงไม่เหมาะ เพราะเป็นเวลาค่อนข้างดึกแล้ว แถมในหมู่บ้านก็ไม่มีไฟฟ้าหรือตะเกียงให้ใช้ ทำให้การเดินทางตอนกลางคืนไม่สะดวกนัก

ซึ่งรายาที่เป็นเจ้าของเรือนก็ออกปากชวนให้ผมค้างที่นี่ แถมไม่ต้องนอนพื้นด้วย เพราะมีห้องว่างเหลือให้ใช้ เพราะที่เรือนแห่งนี้เป็นที่ทำงานของพวกช่างฝีมือ ซึ่งบ้างครั้งก็ทำงานจนลืมเวลา เลยทำให้มีเครื่องนอนเตรียมไว้เสมอ

"เชิญท่านวีพักผ่อนตามสบายนะเจ้าคะ"

รายาพูดขึ้นหลังจากนำทางผมมาถึงห้องพัก แต่เมื่อสองสาวเข้ามาในห้องพร้อมกับผมแล้ว ก็เริ่มปลดผ้าแถบกับผ้าถุงจนเหลือแต่ร่างเปลือยเปล่า ซึ่งดูเหมือนรายาเองก็อยากได้รับเกียรติตามความเชื่อของอัปสรสีหะเหมือนกัน

แถมผมที่มีเพศสัมพันธ์กับละไมและมณีแล้ว จะออกปากปฏิเสธสาวสวยผมสีส้มอย่างรายาก็จะเป็นการทำร้ายจิตใจกันเกินไป และผมเองก็ต้องยอมรับความจริงว่า รายานั้นสวยมีเสน่ห์ไม่แพ้ใคร จนการได้มีเซ็กส์กับเธอมันเป็นเหมือนฝันที่เป็นจริง

หรือจะพูดให้ถูก ตั้งแต่ได้เข้ามาในหมู่บ้านแห่งนี้ ผมก็เหมือนกับอยู่ในความฝัน ที่มีสาวงามมากหน้าหลายตาต้องการจะหลับนอนด้วย จนแทบจะมาขออาศัยอยู่ที่หมู่บ้านแห่งนี้ถาวรเลยทีเดียว

แต่ผมก็รู้ตัวดีว่าสิ่งเหล่านี้น่าจะเป็นบททดสอบของพระเจ้าด้วย เพราะจากคำอธิบายของระบบ ได้บอกแต่แรกแล้วว่าทุกสิ่งในมิติปิดกั้นแห่งนี้ มีไว้เพื่อฝึกฝนและทดสอบความสามารถของผู้ถูกเลือก

"ท่านวี ได้โปรดให้เกียรติข้าพเจ้าได้ปรนนิบัติท่านเหมือนดั่งเช่นละไมและมณีด้วยเถอะเจ้าค่ะ"

รายาในร่างเปลือยที่ดูมีกล้ามเนื้อมากกว่าละไม แต่ก็ไม่บึกบึนเท่ามณีที่เป็นผู้ฝึกสอนการต่อสู้ ส่วนละไมเองที่เปลือยกายเช่นกันก็พยักหน้าเห็นด้วยกับรายา ทำให้ผมที่ความต้องการทางเพศพุ่งสูงปล่อยตัวเองไปตามสันดานดิบ แล้วในคืนนี้ผมก็ได้เล่นเซ็กส์หมู่เป็นครั้งแรก

*****

(มุมมองบุคคลที่สาม)

เมริสากำลังนั่งเล่นสมาร์ทโฟนอยู่ในห้องส่วนตัว โดยที่ยังหวังว่าชายหนุ่มที่เจอกันในมิติปิดกั้นจะติดต่อมาในเร็ววัน เพราะเธอรู้ดีว่าการอยู่ตัวคนเดียวนั้นมันน่าหวาดกลัวแค่ไหน

โดยเฉพาะในสถานที่อย่างมิติปิดกั้นที่มีอันตรายรอบด้าน การมีคนคอยช่วยเหลือในด้านต่างๆย่อมดีกว่าอยู่แล้ว เพียงแต่มันก็ต้องมีราคาที่ต้องจ่ายเพื่อแลกเปลี่ยน ซึ่งสำหรับเมริสาแล้ว อิสระภาพนั้นไม่สำคัญเท่าการมีที่อยู่อย่างปลอดภัยพร้อมอาหารสามมื้อ

"เห็นอีตาผู้พันบอกว่าจะมีผู้ถูกเลือกคนอื่นมาร่วมฝึกกับเราวันนี้สินะ"

แล้วในเวลาไม่นาน ชายวัยกลางคนไว้หนวดแลดูเข้มงวดก็ก้าวเข้ามาในห้องของเมริสา พร้อมกับเด็กชายคนหนึ่ง ที่มีท่าทางประหม่าอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งเมริสาคิดว่าเด็กคนนี้น่าจะเป็นผู้ถูกเลือกที่ว่า

"เมริสา ฝากดูแลเด็กคนนี้ในมิติปิดกั้นหน่อยนะ"

"นี่หนูกลายเป็นพี่เลี้ยงเด็กไปแล้วงั้นเหรอคะ"

"ก็ถือซะว่าเป็นค่าตอบแทนที่ฉันให้เธอมีที่ซุกหัวนอนกับข้าวสามมื้อแล้วกัน"

ชายคนดังกล่าวพูดเสร็จก็ออกจากห้องไป เหลือไว้เพียงเด็กสาววัยรุ่นกับเด็กชายที่น่าจะยังไม่ครบสิบขวบดี โดยทั้งสองต่างมองหน้ากันด้วยแววตาหลากหลายอารมณ์ ซึ่งสำหรับเมริสาแล้ว นี่เป็นการโยนภาระมาให้อย่างชัดเจน

"นี่เธอ มานั่งคุยกันหน่อยสิ ไหนๆก็ต้องฝึกด้วยกันอีกนานนะ"

"ครับ"

เด็กชายตอบห้วนๆก่อนจะเดินไปนั่งที่เก้าอี้รับแขก หรือถ้าพูดให้ถูกมันคือม้านั่งไม้ที่ทำหน้าที่แทนเก้าอี้ในห้อง ซึ่งภายในห้องก็ไม่ได้มีเครื่องอำนวยความสะดวกอะไรมากมาย มีแค่กาต้มน้ำร้อนกับโทรทัศน์ติดฝาผนัง แล้วก็โน๊ตบุ๊คกับสมาร์ทโฟนของเมริสาเท่านั้น

"ฉันชื่อ เมริสา จะเรียกพี่เมก็ได้นะ แล้วนายล่ะ"

"ผมชื่อ อภิรักษ์ ชื่อเล่น อาร์ท ครับ"

"แล้วอาร์ทอายุเท่าไหร่เหรอ"

"สิบสองครับ"

เมริสาแสดงสีหน้าแปลกใจอย่างไม่ปิดบัง เพราะคิดว่าเด็กชายน่าจะไม่ถึงสิบขวบ ด้วยรูปร่างที่ถือว่าเตี้ยสำหรับเด็กอายุสิบสอง และถ้าพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้ว เมริสาก็สรุปได้ว่าเด็กคนนี้คงเหมือนกับตน

ซึ่งนั้นไม่ผิด เพราะอาร์ทถูกพ่อกับแม่เลี้ยงนำมาขาย หรือถ้าเรียกอย่างเป็นทางการคือ การให้เป็นอาสาสมัครกับกองทัพ แลกกับเงินจำนวนมากที่สามารถใช้ชีวิตได้อย่างไม่ขัดสนอีกต่อไป

และความสุขสบายของพ่อกับแม่เลี้ยงก็แลกมากับอิสระภาพของเด็กอายุสิบสอง ที่ไม่เป็นที่ต้องการมาตั้งแต่แรกแล้ว และเรื่องแบบนี้ไม่ใช่เรื่องแปลกในยุคนี้ ที่วันพิพากษากำลังใกล้เข้ามาทุกที

"แล้วอาร์ทเคยเข้ามิติปิดกั้นรึยัง"

"ไม่เคยครับ"

เมริสาถอนหายใจ เพราะแบบนี้หน้าที่ของเธอไม่ใช่การฝึกร่วม แต่เป็นพี่เลี้ยงเด็กโดยสมบูรณ์ แถมเด็กแบบอาร์ทไม่น่าจะมีความกล้าพอจะกำจัดสัตว์มายาในมิติปิดกั้น ทำให้เมริสาต้องคิดหาทางให้อาร์ทเตรียมใจให้พร้อม

"แล้วรู้ไหมว่าต้องเข้าไปทำอะไร"

"ไปฝึกครับ"

"ดูท่าทาง อีตาผู้พันนั่นจะไม่ได้อธิบายอะไรให้ฟังเลยสินะ งั้นเดี๋ยวพี่สาวจะอธิบายให้ฟังก็แล้วกัน"

แล้วคู่หูต่างวัยก็ถือกำเนิดขึ้นด้วยเหตุนี้ แม้ว่าทั้งสองจะยังอ่อนแอและขี้ขลาด แต่เพื่อเอาชีวิตรอดมันก็ไม่มีทางเลือกมากนัก และอย่างน้อยในตอนนี้ ทั้งสองก็มีที่อยู่อาศัยพร้อมอาหารอย่างดีให้กินตลอดเวลา