webnovel

Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ

เขาตื่นขึ้นมาอีกครั้งในร่างของเจ้าชายโรแลนด์พร้อมภารกิจแย่งชิงราชบัลลังก์ในยุคกลาง เจ้าชายต้องฟันฝ่าอุปสรรคมากมายเพื่อพาเมืองเล็กๆ แถบชายแดนไปสู่ความเจริญมั่งคั่ง ทว่าในโลกที่ยังต้องการการพัฒนาทั้งทางวัตถุและความคิดของผู้คน เขาจะสร้างความยิ่งใหญ่เกรียงไกรได้อย่างไร แน่นอนว่าหนึ่งในกำลังสำคัญของเขาก็คือแม่มด ผู้ซึ่งถูกล่าอย่างเอาเป็นเอาตายภายใต้ศาสนจักร พวกเธอเป็นสิ่งชั่วร้ายจริงๆ หรือเป็นเพียงเหยื่อของศาสนา เป็นสิ่งที่ควรล่า หรือควรพิทักษ์ และหากเขาจะเริ่มต้นก้าวแรกนับแต่บัดนี้ เขาจะต้องพบเจออะไรบ้าง

เอ้อร์มู่ · แฟนตาซี
Not enough ratings
1119 Chs

เดือนแห่งปีศาจ (1)

บทที่ 8 เดือนแห่งปีศาจ (1เริ่ม)

หากคิดจะพัฒนาเมืองก็ต้องวางรากฐานให้มั่นคง ดินไม่ดียังปรับปรุงได้ พื้นที่เล็กเกินไปยังขยายได้ แต่หากไม่มีคนอยู่อาศัย ทุกอย่างก็เป็นได้แค่ความฝัน

หากดินแดนแห่งหนึ่งพร้อมจะถูกสละทิ้งได้ทุกเมื่อแล้ว อย่างนั้นใครยังจะตั้งรกรากที่นี่ ใครยังจะทำมาหากินที่นี่ได้อย่างสบายใจ

หลังจากผู้ช่วยเจ้ากรมออกไปแล้ว โรแลนด์ก็เรียกคาร์เตอร์ หัวหน้าอัศวินของเขาเข้ามา

“พาคนของเจ้าไปหาพวกทหาร นายพราน หรือชาวไร่มาพบข้า พวกเขาจะต้องอยู่ที่นี่มาไม่ต่ำกว่าห้าปี แล้วต้องเคยอยู่ถึงเดือนแห่งปีศาจด้วย หากมีคนที่เคยสู้กับสัตว์อสูรได้ยิ่งดี”

หัวหน้าอัศวินจากไปแล้ว โรแลนด์นวดขมับพลางพลิกดูรายงานพวกนั้นต่อ

สินค้าส่งออกสำคัญๆ ของเมืองชายแดนคือแร่และขนสัตว์ สินค้านำเข้าส่วนมากคืออาหาร โดยขนส่งผ่านแม่น้ำแดงไปยังป้อมปราการลองซองหรือเมืองวิลโลว์ แร่ที่ส่งออกมีมากมายหลายชนิด ทั้งเหล็ก ทองแดง กำมะถัน คริสตัล ทับทิม ไพลิน...นับว่าเหมืองที่นี่มีแร่หลากหลายมาก เขาคิดถึงคำพูดของอันนาที่ว่า เคยมีคนเล่าว่าเมื่อก่อนนี้เหมืองเนินเขาทิศเหนือเคยเป็นรังสัตว์ประหลาดใต้ดินไม่ทราบชนิดมาก่อน จนกระทั่งตอนนี้ก็ยังไม่รู้ว่าลึกลงไปในอุโมงค์นั้นมีทางแยกมากน้อยเพียงไร

เมื่อพลิกมาดูหน้าเสบียงอาหาร โรแลนด์ถึงกับขมวดคิ้ว แร่ส่วนใหญ่ถูกขายให้ป้อมปราการลองซอง แต่อีกฝ่ายกลับจ่ายค่าสินค้าด้วยอาหาร ไม่ใช่ด้วยเงินที่ใช้กันในอาณาจักร ว่ากันตามหลักแล้ว อย่างไรเสียอัญมณีก็นับเป็นสินค้ามีราคา ก็น่าจะแลกเป็นอาหารได้จำนวนมาก ทว่าจากการค้าขายตลอดหลายปีมานี้ เมืองชายแดนกลับไม่มีเสบียงสะสมมากเท่าไร ฐานะทางการเงินก็ไม่ได้ร่ำรวย

หรือหากจะพูดอีกอย่างก็คือ ผลิตผลแร่ทั้งปีของเมืองชายแดนแลกมาได้เพียงเสบียงอาหารสำหรับพอเลี้ยงชาวเมืองสองพันคนได้หนึ่งปีเท่านั้น ก่อนหน้าที่เจ้าชายจะมาที่นี่ ผู้ปกครองที่่นี่ก็คือคนพวกเดียวกับป้อมปราการลองซอง พวกเขาผลิตเองขายเองก็เข้าใจได้อยู่ อย่างไรเสียในสายตาพวกเขา ต่อให้ที่นี่ตุนเสบียงมากแค่ไหนก็ต้องกลายเป็นของสัตว์อสูรอยู่ดี

ส่วนการค้าขนสัตว์นั้นเป็นกิจการของชาวเมืองท้องถิ่นเอง พวกเขาจะเข้าไปล่าสัตว์นานาชนิดในป่าเร้นลับทางตะวันตก แล้วขายให้ผู้รับซื้อจากป้อมปราการลองซองหรือชาวเมืองวิลโลว์ เมืองชายแดนไม่ได้เก็บภาษีจากการค้าเหล่านี้ เพราะไม่สามารถควบคุมติดตามได้ตลอด

โรแลนด์ครุ่นคิดอยู่ครู่ใหญ่ ในเมื่อเขามาอยู่ที่นี่แล้ว เขาก็จะไม่ยอมให้ทางป้อมจ่ายค่าแร่ด้วยอาหารอีก แม่น้ำแดงแตกสาขาเชื่อมโยงไปเกือบทั่วอาณาจักร การคมนาคมขนส่งไม่ถือว่าติดขัด เมื่อมีเส้นทางหลักสำหรับขนส่งสินค้าแบบนี้ ต่อให้ป้อมปราการลองซองไม่ส่งอาหาร เขาก็ยังไปซื้อจากที่อื่นได้อยู่ดี

เขาบอกแล้วว่าเขาสามารถอยู่สู้กับสัตว์ประหลาดบ้าๆ ที่เมืองชายแดนแห่งนี้ได้

คาร์เตอร์ทำงานอย่างว่องไว วันรุ่งขึ้นก็พาทหารสองคนกับนายพรานอีกหนึ่งคนมาพบเขา “สองคนนี้คือหัวหน้ากองลาดตระเวนของเมืองชายแดน มีหน้าที่จุดสัญญาณไฟเตือนภัยทุกปี ส่วนนายพรานคนนี้บอกว่าเขาเคยสู้กับสัตว์อสูรมาก่อน และเคยตัดหัวสัตว์อสูรกับมือตัวเองพ่ะย่ะค่ะ”

คนทั้งสามโค้งตัวแสดงความเคารพพร้อมกัน

โรแลนด์พยักหน้า สั่งให้พวกเขาถอยไปอีกด้าน แล้วเรียกเข้ามาซักถามทีละคน

“ทูลจะ...เจ้าชายทิ...ที่เคารพ...” ทหารคนแรกที่ถูกเรียกตื่นเต้นจนพูดไม่เป็นภาษา “กระหม่อมกับไบรอันปะ...เป็นคนที่นี่ ง่า...พอหิมะตกแล้ว พวกเราก็จะ...จะมุ่งหน้าไปที่หะ...หอส่งสัญญาณไฟที่เหมืองเนินเขาทิศเหนือ ที่นั่นสะ...สามารถมองเห็นความเคลื่อนไหวของสัตว์อสูรได้ตั้งแต่เนิ่นๆ หากพวกมันขะ...ข้ามป่าเร้นลับมาเมื่อไร พวกเราก็จะจุ...จุดไฟสัญญาณ แล้วถอยไปทางถะ...ถนนเส้นเล็กๆ เพื่อหนีขึ้นเรือที่เตรียมไว้ล่วงนะ...หน้าพ่ะย่ะค่ะ”

“ในเมื่อพวกเจ้ามาด้วยกันก็เรียกคู่หูเจ้ามาตอบแทนดีกว่า” โรแลนด์ปิดหน้าส่ายหัว “สัตว์อสูรรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร พวกเราฆ่ามันได้หรือไม่”

ทหารอีกคนก็ตื่นเต้นมากเหมือนกัน แต่ยังไม่ถึงกับติดอ่าง “ทูลเจ้าชาย น่าจะได้พ่ะย่ะค่ะ เมื่อก่อนพวกมันก็เป็นสัตว์ป่าธรรมดาๆ ทั่วไป แม้จะถูกอำนาจปีศาจกระตุ้นจนดุร้ายบ้าคลั่ง แต่ก็ยังสังหารได้พ่ะย่ะค่ะ ทุกๆ ปีหลังจากพ้นเดือนแห่งปีศาจไปแล้ว ป้อมปราการลองซองจะส่งทหารม้ามาเก็บกวาดซากสัตว์ระหว่างทางจากป้อมไปเมืองชายแดนพ่ะย่ะค่ะ”

“แล้วเดือนแห่งปีศาจกินเวลานานเท่าไร”

“โดยปกติก็ประมาณสองถึงสามเดือนพ่ะย่ะค่ะ...แต่หากจะให้แน่นอนต้องดูพระอาทิตย์” ไบรอันตอบ

“ดูพระอาทิตย์หรือ” โรแลนด์ถามอย่างสงสัย

“พ่ะย่ะค่ะ” ทหารอธิบาย “ฝ่าบาทเพิ่งเสด็จมาที่นี่ได้ไม่นานจึงไม่ทรงรู้ เมืองชายแดนแห่งนี้หากหิมะเริ่มตกแล้วก็จะตกอย่างต่อเนื่องไปตลอด จนกระทั่งพระอาทิตย์กลับมาสว่างอีกครั้ง หิมะถึงได้ละลายไป”

“เมื่อหิมะละลายแล้วจึงถือว่าสิ้นสุดเดือนแห่งปีศาจหรือ” โรแลนด์ค้นความทรงจำ อย่างน้อยหิมะในอาณาจักรก็ไม่เป็นอย่างนั้น ปกติแค่วันรุ่งขึ้นก็ละลายแล้ว พระอาทิตย์ก็ไม่เคยมีความเปลี่ยนแปลงอะไร

“ใช่แล้วพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเคยเจอเดือนแห่งปีศาจที่กินเวลานานที่สุดเมื่อสองปีก่อน มันกินเวลาถึงเกือบสี่เดือน มีคนอดตายไปจำนวนไม่น้อยเลยพ่ะย่ะค่ะ”

“แล้วเหตุใดป้อมปราการลองซองจึงไม่มีอาหารเหลือเลยเล่า” โรแลนด์ถาม

สีหน้าของไบรอันดูย่ำแย่เต็มที “พวกเขามีพ่ะย่ะค่ะ แต่ตอนนั้น เจ้าหน้าที่เทศบาลเฟอร์เรโนที่รับผิดชอบการจ่ายเสบียงบอกว่า ปริมาณแร่ที่พวกเราผลิตได้ในฤดูใบไม้ร่วงแลกอาหารได้เพียงสามเดือนเท่านั้น หากต้องการส่วนของเดือนที่สี่ก็ต้องส่งแร่ชุดใหม่ให้เขาก่อน แต่เดือนแห่งปีศาจยังไม่สิ้นสุด พวกเราออกไปจากป้อมไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ”

“ที่แท้ก็เช่นนี้เอง...ข้าเข้าใจแล้ว”

ขุนนางใจทรามพวกนี้ทอดทิ้งประชาชนแท้ๆ หากป้อมปราการลองซองปฏิบัติต่อชาวเมืองชายแดนกลุ่มนี้อย่างอบอุ่นราวกับลมฤดูใบไม้ผลิแล้ว เขาก็คงรั้งชาวเมืองให้อยู่ที่นี่ต่อลำบากเหมือนกัน แต่ตอนนี้ดูท่าแล้ว พวกเต่าหดหัวหลังกำแพงเมืองพวกนั้นก็ไม่ได้เก่งกาจอะไร โรแลนด์เรียกคนสุดท้ายมาซักถามด้วยสีหน้าเรียบเฉย ทว่าในใจกลับจดจำชื่อนั้นไว้

คนสุดท้ายเป็นชายรูปร่างสูงใหญ่กำยำ เวลายืนตรงสูงเกือบหกฟุต ทำเอาโรแลนด์รู้สึกอึดอัดมาก โชคดีที่พอเขาเดินเข้ามาก็คุกเข่าลงข้างหนึ่ง

“เจ้าบอกว่าเจ้าเคยฆ่าสัตว์อสูรหรือ”

“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท” เสียงของเขาทุ้มต่ำและแหบห้าว “กระหม่อมเคยฆ่าพันธุ์หมูป่าหนึ่งตัว พันธุ์หมาป่าหนึ่งตัว”

“ ‘พันธุ์’ หรือ” โรแลนด์ทวนคำพูดเขา “หมายความว่าอย่างไร”

“เป็นคำที่พวกพรานใช้เรียกสัตว์อสูรพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท สัตว์ป่าที่ดุร้ายอยู่แล้วเมื่อกลายพันธุ์ไปแล้วจะยิ่งรับมือยากกว่าเดิม ซ้ำร้ายพวกมันยังพัฒนาจุดแข็งของตัวเองจนดีขึ้นจากเดิมอีกหลายเท่า อย่างเช่นพันธุ์หมูป่า ขนที่หลังของมันจะแข็งขึ้นมาก ขนาดยิงหน้าไม้ในระยะห้าสิบก้าวยังยิงไม่เข้า ส่วนพันธุ์หมาป่าก็จะยิ่งเจ้าเล่ห์และวิ่งเร็วจนน่าตกใจ หากคิดจะฆ่ามันต้องเตรียมกับดักไว้ล่วงหน้าพ่ะย่ะค่ะ”

“ที่แกร่งอยู่แล้วก็จะยิ่งแกร่ง ที่เร็วอยู่แล้วก็จะยิ่งเร็ว” โรแลนด์พยักหน้า “แต่อย่างไรเสียก็ยังเป็นสัตว์อยู่ดี”

“พ่ะย่ะค่ะ พวกมันยังไม่ใช่ศัตรูที่น่ากลัวที่สุด” นายพรานพูดถึงตรงนี้ก็กลืนน้่ำลาย “ศัตรูที่น่ากลัวที่สุดคือพันธุ์ผสมพ่ะย่ะค่ะ”

“พวกมันคือร่างจำแลงของปีศาจตัวจริง มีเพียงนรกเท่านั้นที่จะสร้างสัตว์ประหลาดน่ากลัวเช่นนี้ได้ กระหม่อมเคยเจอพันธุ์ผสมอยู่ตัวหนึ่ง มันมีร่างกายที่แข็งแกร่งและมีปีกขนาดใหญ่ที่หลังอีกหนึ่งคู่ สามารถบินในระยะใกล้ๆ ได้ มิหนำซ้ำยังดูเหมือนมันจะรู้ว่ากระหม่อมอยู่ที่ไหน ไม่ว่ากระหม่อมจะหลบอย่างไร มันก็จะต้อนให้กระหม่อมออกมาจนได้ มันไม่ได้ตั้งใจจะกินกระหม่อม ฝ่าบาท มันเพียงแต่เล่นกับเหยื่อของมันเท่านั้น” นายพรานฉีกเสื้อตัวเองออก เผยให้เห็นรอยแผลเป็นขนาดใหญ่ซึ่งลากจากท้องไปถึงทรวงอก “กระหม่อมชิงกระโดดลงแม่น้ำแดงก่อนที่จะสลบไป ถึงได้รอดชีวิตมาได้พ่ะย่ะค่ะ”

“มีสัตว์ประหลาดเช่นนี้ด้วยหรือนี่” โรแลนด์รู้สึกว่าโลกนี้มหัศจรรย์ขึ้นทุกที กำแพงเมืองที่มั่นคงแข็งแรงอาจขวางกั้นสัตว์อสูรพันธุ์ปกติได้ ทว่าพันธุ์ที่บินได้ล่ะ “พันธุ์ผสมคงมีไม่มากใช่ไหม”

........................................