บทที่ 26 บทเรียนจากประวัติศาสตร์
“ฝ่าบาท ฝ่าบาททรงกำลังทำอะไรพ่ะย่ะค่ะ” ก่อนหน้านี้คาร์เตอร์รู้สึกว่าเจ้าชายแค่ทำอะไรตามอำเภอใจไปบ้าง แต่ตอนนี้ถึงขั้นเพ้อเจ้อเหลวไหลเสียแล้ว
ไม่ว่าอย่างไร หัวหน้าอัศวินก็ยังรู้สึกว่าไม่มีใครเชี่ยวชาญการฝึกนักรบไปมากกว่าตัวเอง ตระกูลของเขามีแบบแผนการฝึกที่สมบูรณ์แบบ โดยเริ่มตั้งแต่อายุสิบปีถึงสิบห้าปี พวกเขาใช้เวลาเพียงห้าปีในการปั้นนักรบที่เชี่ยวชาญอาวุธชนิดต่างๆ และหากฝึกต่อไปอีกห้าปีก็จะได้อัศวินฝีมือฉกาจอย่างที่รู้จักกันดี...แต่แน่นอนว่าที่กล่าวมาทั้งหมดนั้น ผู้ที่จะได้รับการฝึกจะต้องไม่ใช่สามัญชนคนธรรมดา
แล้วดูพวกโง่เง่าตรงหน้านี่สิ ในสมองคิดแต่เรื่องกิน! มิหนำซ้ำ...ไข่ไก่ก็แพงมากเสียด้วย!
โรแลนด์แคะหู “เจ้าแค่ดูเฉยๆ ก็พอ จำไว้ การฝึกวันต่อๆ ไปก็ต้องปฏิบัติตามนี้ แน่นอนว่าอาจต้องเปลี่ยนแปลงรายละเอียดบางอย่างด้วย แล้วข้าจะจดใส่กระดาษไว้ให้”
ในยุคอาวุธเย็นแบบนี้ โรแลนด์ไม่มีความคิดจะสร้างกองกำลังที่ได้มาตรฐานขึ้นมาภายในเวลาสองสามเดือนเลย และเขาก็ไม่ได้ต้องการนักรบสปาร์ตาที่สวมแค่กางเกงในตัวเดียวก็ฉีกร่างสัตว์อสูรได้ด้วย กองทัพอาจจะไม่ต้องรบเก่งมากก็ได้ แต่จะต้องมีวินัยที่ดี และปฏิบัติตามคำสั่งอย่างเคร่งครัด
ในสถานการณ์ส่วนใหญ่ พลังของหมู่คณะแข็งแกร่งกว่าพลังของคนคนเดียว นี่คือสิ่งที่ถูกกำหนดโดยสังคมมนุษย์ หากต้องการไปให้ถึงจุดนั้นโดยไว เขาคิดว่าการนำวิธีฝึกทหารมาใช้โดยปรับเปลี่ยนให้เหมาะกับสถานการณ์ปัจจุบันก็น่าจะเป็นวิธีที่ไม่เลวเลย จากประสบการณ์ตรงของเขา วิธีฝึกทหารสามารถทำให้ผู้คนจากเมืองต่างๆ ทั่วประเทศกลายเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้ภายเวลาเพียงครึ่งเดือน ไม่ว่ากระบวนการจะเป็นอย่างไร ผลลัพธ์ที่ได้ก็ชัดเจนมาก
หลังจากที่คนพวกนี้เข้าใจแล้วว่าวินัยคืออะไร โรแลนด์จึงจะดำเนินตามแผนการต่อไป
ในที่สุดแวนนาก็ไม่ได้กินไข่ไก่ฟองที่สอง
ครั้งนี้พวกเขายืนนานกว่าครั้งก่อนถึงสองเท่า จนกระทั่งมีคนแข้งขาอ่อน ทนไม่ไหวโยกตัวไปมา การฝึกจึงสิ้นสุดลง
เจ้าชายก็บังเอิญสั่งพักในเวลานี้พอดี และยังสั่งแจกอาหารเที่ยงด้วย พฤติกรรมนี้ทำให้ทุกคนเบนความขุ่นเคืองจากคนผิดไปที่อาหารอย่างได้ผล แต่ก็ทำให้แวนนาอดสงสัยไม่ว่าเจ้าชายจงใจแกล้งพวกเขาให้อดกินไข่ไก่ฟองที่สอง
อาหารเที่ยงบรรจุอยู่ในโอ่งดินเผาขนาดใหญ่สี่โอ่ง โดยให้รถม้าสองสามคันบรรทุกมาส่งจากในเมือง นอกจากอาหารเที่ยงแล้ว บนรถม้ายังมีช้อนและชามไม้อีกจำนวนมาก
แวนนาเลียริมฝีปากเตรียมกระโจนเข้าใส่ หัวหน้าอัศวินรีบเข้ามาขวางหน้าทุกคน
เจ้าชายสั่งให้ทุกคนเรียงแถวตามยาวสี่แถวเพื่อรับอุปกรณ์กินอาหารทีละคน คนที่ทำให้เสียระเบียบจะถูกลงโทษโดยการรับอาหารเป็นคนสุดท้าย
ผู้คนทั้งหลายรีบจัดแถวเรียงสี่อย่างวุ่นวาย ดวงเขาไม่แย่นัก ได้อยู่ตำแหน่งหน้าๆ ของแถวนอกสุด แน่นอนว่าย่อมมีคนแสดงความไม่พอใจอย่างรุนแรง เสียงต่อยตีกันดังมาจากในกอง อัศวินและทหารอีกสองสามคนพุ่งเข้าไปกลางฝูงชน แล้วแยกตัวคนก่อเหตุออกมาอย่างรวดเร็ว
โง่เอ๊ย แวนนาปรายตามองตัวต้นเรื่อง ‘หมัดบ้า’ ผู้ก้าวร้าวเกเรที่สุดในเมือง คนที่เวลาปกติเที่ยวท้าตีท้าต่อยไปทั่วเพราะถือตัวว่าแรงเยอะ เวลานี้กลับนั่งยองๆ ถูกคนใช้ดาบชี้หน้าอยู่อีกข้าง ดูท่าทางน่าสงสารของเขาสิ!
เขารู้สึกว่าตัวเองเริ่มเข้าใจความชอบของเจ้าชายแล้ว
นั่นก็คือความเป็นระเบียบเรียบร้อย
เวลายืนต้องยืนตัวตรง ขบวนแถวต้องอยู่ในแนวเดียวกัน กินข้าวก็ต้องเข้าแถว ระเบียบวินัยต้องรักษาไว้อย่างเคร่งครัด...แวนนาเคยได้ยินพ่อค้าผู้มีประสบการณ์ในเมืองใหญ่ๆ เล่าว่า พวกชนชั้นสูงมีนิสัยประหลาดอยู่อย่างหนึ่ง นั่นคือข้าวของทุกอย่างต้องวางอย่างเป็นระเบียบ หากมีอะไรผิดแปลกไปแม้แต่นิดเดียว ก็จะต้องแก้ไขจนกว่าจะพอใจ
ในสายตาของแวนนา คนประเภทนี้จะต้องว่างจนเบื่อ ว่างจนไม่รู้จะทำอะไร จนกระทั่งต้องหาเรื่องวุ่นวายมาทรมานตัวเอง
ไม่คิดเลยว่าเจ้าชายก็จะเป็นคนประเภทนี้ด้วย
ตอนที่ฝาโอ่งถูกเปิดออกนั้น แวนนาได้กลิ่นหอมเตะจมูก
กลิ่นหอมยั่วน้ำลายที่กระจายไปทุกทิศทำเอาเขาแทบเคลิ้มไป ฝูงชนพลันกระสับกระส่าย ขณะเดียวกันเสียงตวาดของอัศวินก็ลอยมาจากข้างหน้า สงสัยต้องเข้าแถวอีกแล้วสิ เขาคิด
แล้วก็เป็นไปตามคาด เจ้าชายให้ทุกคนเข้าแถวรอรับอาหารตามลำดับเหมือนตอนที่รับช้อนและชามไม้
แม้ทุกคนจะกำลังกลืนน้ำลาย ท้องร้องโครกคราก แต่เนื่องจากเห็นหมัดบ้าเป็นตัวอย่าง จึงรีบเข้าแถวอย่างว่าง่าย
ภายในโอ่งคือข้าวต้มข้าวสาลีร้อนๆ แวนนาตกใจเมื่อเจอเนื้อแห้งในข้าวต้ม! แม้ว่าตักใส่ชามไม้แล้วจะเหลือเพียงเส้นบางๆ แต่ก็นับว่าเป็นเนื้อเชียวนะ! พอตักข้าวต้มเสร็จแล้ว เขายังได้ไข่ไก่เพิ่มสมใจด้วย
แวนนากินอาหารเที่ยงอย่างตะกละตะกลาม แม้แต่ก้นชามก็เลียจนเกลี้ยง เขากลืนไข่ไก่ลงท้องไปรวดเดียวทั้งที่ยังไม่ทันเคี้ยว ซ้ำยังเผลอทำอาหารลวกลิ้นเพราะกินเร็วเกินไปอีก
แวนนาวางชามไม้ลงก่อนจะตบท้องเรอออกมา เขาไม่ได้ลิ้มรสอาหารอร่อยๆ แบบนี้มานานมากแล้ว และที่เหลือเชื่อยิ่งกว่านั้นก็คือ เขารู้สึกอิ่ม ความหอมอร่อยของข้าวต้มเนื้อแตกต่างจากขนมปังไรย์ราวฟ้ากับดิน เขาคิดถึงกระทั่งว่า หากได้กินอาหารแบบนี้ทุกวันล่ะก็ ต่อให้ต้องไปรบกับสัตว์อสูรอยู่แนวหน้าก็ไม่กลัว
หลังจากมื้อเที่ยงก็เป็นเวลาพักใหญ่ คนทั้งหมดถูกพากลับเข้ากำแพงเมือง แล้วเดินเท้าไปยังค่ายทหารลาดตระเวนภายในเมือง ชายต่างเผ่ารูปร่างสูงใหญ่คนหนึ่งเดินออกมาจากข้างใน แล้วเริ่มสอนทุกคนตั้งกระโจม
แวนนารู้จักเขา...คนที่อาศัยอยู่เขตถนนเก่าส่วนใหญ่ก็รู้จักขวานเหล็กทั้งนั้น แม้แต่นายพรานอาวุโสซึ่งมีประสบการณ์ที่สุดในเมืองก็ยังชื่นชมฝีมือยิงธนูอันร้ายกาจของเขามาก แต่ช้าก่อน ตอนนี้ขวานเหล็กทำงานรับใช้เจ้าชายหรือ ดูเหมือนว่าก่อนหน้านี้ก็เคยเห็นเขาอยู่กับอัศวินเหมือนกัน แวนนาขมวดคิ้ว เจ้าชายกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่ เขาเป็นชาวทะเลทรายแท้ๆ
“ฝ่าบาทตั้งพระทัยจะให้ชาวทะเลทรายมาเป็นหัวหน้ากองจริงๆ หรือพ่ะย่ะค่ะ” คาร์เตอร์เองก็สงสัยเช่นเดียวกัน “เขาไม่ใช่ชาวเกรย์คาสเซิล ไม่แม้แต่จะเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรใดๆ”
“แม่มดก็ไม่ได้เป็นชาวเกรย์คาสเซิลเช่นเดียวกัน” โรแลนด์พูดอย่างไม่เห็นด้วย “แต่พวกเขาเป็นคนของเมืองชายแดน นอกจากนี้ เจ้าก็อยู่ที่นี่ีทั้งคนมิใช่หรือ”
“แต่ว่าฝ่าบาท...”
“อย่ากังวลไปเลย” โรแลนด์ตบบ่าอัศวิน “เมืองชายแดนไม่ถือเรื่องชาติกำเนิด ตราบใดที่พวกเขาไม่เคยทำเรื่องผิดกฎหมาย พวกเขาก็ยังเป็นประชาชนของข้า หากเจ้าไม่สบายใจจริงๆ จะเลือกคนเก่งๆ อีกสักสองคนมาเป็นหัวหน้ากองก็ได้ เพราะถึงอย่างไร ต่อไปกองทัพก็ต้องขยายใหญ่ขึ้น ฝึกคนเก่งๆ ไว้ตั้งแต่ตอนนี้ก็ดีเหมือนกัน จริงสิ ข้าเขียนรายละเอียดการฝึกเสร็จแล้ว แทนที่จะมัวสนใจเรื่องชาวทะเลทราย ข้าว่าเจ้าสนใจเรื่องนี้ดีกว่า”
คาร์เตอร์รับม้วนกระดาษหนังแกะจากมือโรแลนด์ กวาดตามองคร่าวๆ แล้วก็ตะลึงงัน วิธีฝึกแบบนี้เขาไม่เคยพบเคยเห็นที่ไหนมาก่อน...อย่างเช่น ตอนบ่ายพาทุกคนไปวิ่งรอบเมืองชายแดน ตั้งแต่เวลากวาง ( บ่ายสองโมง ) จนพระอาทิตย์ตกดิน ข้อบังคับคือทุกคนจะต้องฝึกรายการนี้ ระหว่างทางอนุญาตให้ช่วยเหลือกันได้ หากไม่มีใครยอมแพ้กลางคัน มื้อเย็นจะเพิ่มไข่ไก่ให้คนละหนึ่งฟอง หรือ หลังจากผ่านเวลาหมาป่าตอนเย็นไปแล้วให้เป่านกหวีดเรียกรวมพล ให้ทุกคนแต่งตัวมารวมกันให้เร็วที่สุด วิธีฝึกแบบนี้ทำได้ไม่กี่วันกองกำลังก็คงแตกกระเจิงหมดแล้ว
แต่หากข้อบังคับพวกนี้ยังพอทำความเข้าใจได้ล่ะก็ ข้อสุดท้ายก็ทำให้คาร์เตอร์มึนหนัก
‘ทุกๆ วันหลังจากกินอาหารเย็นเสร็จแล้ว ให้ทุกคนไปรับการอบรมวัฒนธรรมที่โรงเรียนของคาร์ล’
“ฝ่าบาท...การอบรบวัฒนธรรมหมายความว่าอย่างไรพ่ะย่ะค่ะ หรือว่าฝ่าบาททรงประสงค์ให้พวกเขาหัดเขียนอ่านหนังสือ”
“ใจจริงข้าก็หวังให้เป็นเช่นนั้น แต่ว่าเวลาน้อยเกินไป อย่างมากคงเรียนได้แค่คำศัพท์กับตัวเลขง่ายๆ เอาแค่พออ่านเขียนคำสั่งได้ก็พอ เดี๋ยวเนื้อหาส่วนนี้ข้าจะไปคุยกับคาร์ลเอง เจ้าแค่พาพวกเขาไปเรียนก็พอแล้ว”
“แต่ เหตุใดฝ่าบาททรงทำเช่นนี้พ่ะย่ะค่ะ เรื่องพวกนี้ไม่มีประโยชน์ในการรับมือสัตว์อสูรแม้แต่น้อย!”
“ใครว่า” โรแลนด์หาว “กองทัพที่ทรงอานุภาพก็คือกองทัพที่มีวัฒนธรรม นี่ล่ะบทเรียนที่สรุปได้จากประวัติศาสตร์”
........................................