webnovel

ONMYOJI องเมียวจิ

แนะนำตัวละคร อวี้ อันฉี (อัลฟ่า) (184 ซม. / 74 กก.) นักเรียนแลกเปลี่ยนจากจีนที่ต้องมาอาศัยอยู่กับตระกูลอาคาวะ ถูกคุณปู่ (อาคาวะคนปู่บังคับให้เรียกเพื่อความสนิทสนม) ฝากฝังให้ต้องไปอยู่ภายใต้การดูแลของ ชิโนบุ และ แบล็ก อาคาวะ ชิโนบุ (182 ซม. / 67 กก.) ทายาทตระกูลอาคาวะที่มีชื่อเสียงเป็นตระกูลใหญ่อันดับต้น ๆ ในเกียวโต เพราะชีวิตผูกพันอยู่กับเรื่องภูตผีมาตั้งแต่เด็ก เลยไม่ค่อยจะกลัวอะไรเหมือนคนอื่นเขาสักเท่าไร อาคาวะ แบล็ก (179 ซม. / 72 กก.) เด็กหนุ่มขี้เล่นอารมณ์ดีที่ตัวติดกับชิโนบุตลอดเวลา เป็นคนที่ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ไหนก็ยังยิ้มได้ ยกเว้นเวลาที่โกรธมากจริง ๆ เจ้าตัวมักจะคอยอธิบายเรื่องต่าง ๆ ให้อัลฟ่าฟังอยู่เสมอ

LyLyAiAi · LGBT+
Not enough ratings
34 Chs

19(1) - พลังวิญญาณ

"เลิกหลงทางได้แล้ว"

น้ำเสียงดุ ๆ หากแต่แฝงไปด้วยความเอ็นดู ดังขึ้นจากคนที่กำลังเทน้ำใส่จานบนหัวของเจ้ากัปปะจอมหลงทางที่พอได้ยินแบบนั้นก็เงยหน้ามองกลับมาตาปริบ ๆ

"คราวหน้าถ้าเจอหลงทางอีกฉันไม่ช่วยแล้วนะ"

แม้จะพูดอย่างนั้นแต่ทุกครั้งที่เจอเจ้าตัวน้อยนอนแผ่อย่างหมดแรงเพราะหาทางกลับแม่น้ำไม่ถูก ชิโนบุก็จะต้องเข้าไปช่วยอย่างอดไม่ได้อยู่ตลอด ถ้ามีน้ำเหลือก็เติมน้ำให้ แต่ถ้าไม่มีก็ต้องพาอุ้มไปส่งที่แม่น้ำเอาเอง ถึงแม้จะเปลืองแรงและเสียเวลา แต่สุดท้ายก็ไม่เคยทำอะไรมากไปกว่าบ่นไปเรื่อยอย่างไม่จริงจังแค่นั้น

"อะไร"

ชิโนบุถามขึ้นอย่างแปลกใจเมื่อจู่ ๆ เจ้ากัปปะก็หันไปเด็ดดอกไม้ใกล้ ๆ แล้วยื่นมาให้ พอเห็นว่าเขาไม่ยอมรับไปสักทีเจ้าตัวน้อยก็เอียงคอลงนิด ๆ ก่อนจะกระพริบตาปริบ ๆ แล้วยื่นดอกไม้เข้ามาใกล้ขึ้น

"จะให้ฉันเพื่อขอบคุณหรือไง"

การพยักหน้ารับจนน้ำในจานแทบหกทำให้ชิโนบุต้องรีบยื่นมือไปดันคางให้เจ้าตัวเงยหน้าขึ้นอย่างตกใจ

เพิ่งจะเทน้ำเพิ่มให้ก็จะทำหกอีกแล้ว เดี๋ยวก็กลับไปไม่ถึงแม่น้ำกันพอดี เจ้าตัวน้อยนี่

"โอเค ฉันรับแล้ว แต่ไม่ต้องไปก้มหัวหรือพยักหน้าให้ใครเขาอีกนะ"

'อือ'

"ปัดโธ่ ก็บอกว่าไม่ต้องพยักหน้าไง"

ชิโนบุได้แต่บ่นขึ้นอย่างเหนื่อยใจ เอื้อมมือไปรับดอกไม้ที่เจ้ากัปปะจอมหลงจะส่งให้ แต่เหมือนเจ้าตัวน้อยจะกะแรงผิดไปหน่อย จึงส่งวืดจากมือเขาแล้วเลยมาชนเข้าที่ข้อมือข้างขวาแทน

".....!!"

เพราะอารามตกใจทำให้ชิโนบุรีบชักมือหลบทันที เมื่อกี้มือเจ้ากัปปะโดนกำไลของอัลฟ่าไปเต็ม ๆ เลย ไม่รู้ว่า...

เอ๊ะ?

"ยังไงเนี่ย"

ทั้งที่เมื่อกี้เขาตกใจแทบตายว่าเจ้ากัปปะจะเป็นอะไรหรือเปล่า แต่กลายเป็นว่าตอนนี้เจ้าตัวน้อยกำลังยืนเอียงคอมองกลับมาตาปริบ ๆ เหมือนกำลังงงกับท่าทีของเขาซะอย่างนั้น

ไม่ใช่ว่ามันจะกันไม่ให้พวกภูตตนอื่นเข้าใกล้เขาหรือไง

แปลก?

ดวงตาคู่สวยตวัดกลับไปมองคนที่ยืนอยู่ด้านหลังทันทีเมื่อมีเรื่องที่ไม่เข้าใจ ซึ่งคนโดนจ้องเองก็รับรู้ถึงความสงสัยที่ส่งผ่านมาได้ เลยตอบกลับมาโดยที่ไม่จำเป็นต้องเอ่ยปากถาม

"ไม่มีจิตมุ่งร้าย"

เป็นคำอธิบายง่าย ๆ ที่ทำให้ชิโนบุคลายข้อข้องใจได้ทั้งหมด หมายความว่าเขายังคงใช้ชีวิตได้อย่างปกติ ตราบใดที่ไม่มีใครคิดร้ายต่อเขากำไลนี้ก็จะเป็นเพียงกำไลธรรมดาไม่มีพิษสงอะไร แต่ถ้าคิดร้ายต่อเขาเมื่อไหร่ อาคมที่อัลฟ่าลงไว้ในกำไลก็จะทำงานทันที

ไม่น่าล่ะ ตลอดทั้งวันเขาถึงเห็นพวกภูตชั้นล่างยังแอบคุย แอบมองกันได้ตามปกติ ไม่มีท่าทีหวาดกลัวต่อกำไลเลยสักนิด ไม่สิ...ต้องบอกว่ากำไลเส้นนี้แทบไม่อยู่ในสายตาของเจ้าพวกนั้นด้วยซ้ำ กลายเป็นเพียงเครื่องประดับธรรมดาที่ถ้าไม่บอกก็คงไม่รู้ว่าทำมาจากขนหางและปลายเล็บของจิ้งจอกเก้าหาง

"แบบนี้ดีนะ ไม่มีใครรู้เลย"

คำพูดของแบล็กทำให้ชิโนบุพยักหน้ารับอย่างเห็นด้วย ก่อนจะลุกขึ้นแล้วเดินไปหาทั้งสองคนเพื่อมุ่งตรงกลับบ้าน เตรียมตัวให้ทั้งคู่ไปซ้อมพิเศษหลังเลิกเรียน ซึ่งวันนี้จะพิเศษกว่าทุกวันเพราะเขาเองก็จะตามไปด้วย

"ตอนแรกฉันกังวลมากเลย กลัวจะถูกหมายหัวเพื่อแย่งกำไลซะแล้ว"

"ถ้าอยากปกป้องแต่ดันทำให้นายต้องตกอยู่ในอันตรายยิ่งกว่าเดิม ฉันจะทำไปทำไม"

คำพูดจากคนข้าง ๆ ทำให้ชิโนบุหันไปมองเล็กน้อย รอยยิ้มผุดขึ้นที่มุมปากนิด ๆ ก่อนจะพยักหน้าหงึกหงักอย่างเห็นด้วย ซึ่งท่าทางแบบนั้นมองดูน่ารักมากในสายตาของอัลฟ่า

"นั่นสิ ๆ"

"ถ้าฉันไม่รู้มาก่อนก็คิดไม่ถึงเหมือนกันนะ สัมผัสได้แหละว่าต้องไม่ธรรมดา แต่คงคิดว่าเป็นแค่เครื่องรางชั้นดี ไม่ใช่สิ่งที่ทำมาจากตัวนาย"

อัลฟ่าพยักหน้าเบา ๆ ให้กับคำพูดของแบล็ก เพราะเขาเองก็ตั้งใจไว้แบบนั้นตั้งแต่แรก กำไลเส้นนี้ดูเผิน ๆ จะเหมือนกำไลธรรมดา พวกชั้นล่างหรือชั้นกลางจะดูไม่ออก ยกเว้นชั้นสูงขึ้นไปอย่างแบล็กจะรู้ว่ามันมีความพิเศษซ่อนอยู่ แต่ถึงอย่างนั้นก็จะไม่รู้อยู่ดีว่ามันทำมาจากอะไร

โดยปกติพวกองเมียวจิแต่ละคนต่างก็มีเครื่องรางพิเศษพกติดตัวตลอดเวลากันอยู่แล้ว การที่ชิโนบุใส่กำไลเส้นนี้จึงไม่แปลก เพราะเจ้าตัวเป็นถึงทายาทคนสำคัญของตระกูลอาคาวะ คนนอกจะรู้สึกว่าการหาเครื่องรางแบบนี้มาให้เจ้าตัวใส่สามารถทำได้โดยง่ายอยู่แล้ว ยิ่งเป็นของพิเศษที่ไม่รู้แน่ชัดว่าคืออะไร มีพลังอะไรแบบไหน ก็ยิ่งเป็นเรื่องปกติที่ตระกูลใหญ่อื่น ๆ ก็ทำกัน

แล้วข้อดีของมันก็อยู่ตรงนี้...

เพราะไม่มีใครรู้ว่าเครื่องรางนี้ทำมาจากอะไร ก็จะไม่มีใครกล้าลงมือสุ่มสี่สุ่มห้าเพราะกลัวผลสะท้อนกลับ

อัลฟ่าคิดเรื่องนี้ไว้อยู่แล้วว่าถ้าเป็นพวกภูตชั้นสูงที่สัมผัสถึงความผิดปกติได้ก็จะไม่กล้าลงมือผลีผลาม เพราะเกรงกลิ่นอายจาง ๆ ที่เขาทิ้งไว้ในกำไล ส่วนพวกองเมียวจิก็อย่างที่บอกไป เพราะฉะนั้นนี่จึงถือเป็นการปกป้องเจ้าตัวไปอีกทางด้วย

"แต่สวยดีนะ"

ประโยคที่ได้ยินทำให้อัลฟ่าที่กำลังคิดอะไรเพลิน ๆ ได้สติกลับมาอยู่กับเรื่องตรงหน้าอีกครั้ง ดวงตาคู่คมมองคนพูดที่ตอนนี้ยกมือขวาขึ้นมาดูกำไลที่สวมอยู่ ก่อนเจ้าตัวจะพูดขึ้นมาอีกครั้งด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ

"พวกฮารุอิก็ยังบอกว่าสวย ถามฉันใหญ่เลยว่าไปซื้อที่ไหนมา"

"แล้วนายบอกว่าอะไร"

"ความลับ"

ตอบเสร็จเจ้าตัวก็หัวเราะออกมาเบา ๆ ก่อนจะมุ่นหัวคิ้วเข้า แล้วเปลี่ยนสีหน้าทันทีเมื่อรู้สึกได้ถึงความผิดปกติ ในขณะที่อัลฟ่าและแบล็กชะงักฝีเท้าแล้วหันกลับไปมองข้างหลังทันที

เพียงพริบตาเดียวแบล็กก็ขยับมายืนขวางอยู่ด้านหน้า ในขณะที่อัลฟ่าถอยไปยืนขนาบข้างชิโนบุที่ตอนนี้กำแผ่นยันต์ในมือแน่นอย่างเตรียมพร้อม

ดวงตาสามคู่จ้องมองไปยังจุดกำเนิดความผิดปกติที่สัมผัสได้ แต่แล้วก็ต้องพากันชะงัก เมื่อเห็นว่าเป็นอะไรที่กำลังเคลื่อนตัวเข้ามา

"อะไรกันเนี่ย"

เป็นชิโนบุที่ถามขึ้นมาอย่างแปลกใจ เมื่อเห็นภูตระดับล่างที่คุ้นหน้าคุ้นตากันดี 2-3 ตัว กำลังวิ่งกระโจนมาทางพวกเขาทั้งสามแบบหน้าตั้งเหมือนหนีอะไรสักอย่างมา

"เกิดอะไรขึ้น"

พอเห็นว่าไม่มีอันตรายอะไรแบล็กจึงถอยไปยืนข้าง ๆ แล้วปล่อยให้ชิโนบุย่อตัวลงไปคุยกับภูตระดับล่างที่มีลักษณะเหมือนตัวเม่น แต่กลับมีสีเขียวเข้มทั่วทั้งตัว ยกเว้นดวงตาที่เป็นสีเหลืองใส

'มีคน..แปลก ๆ...'

เพราะเป็นเพียงภูตระดับล่างการสื่อสารกับมนุษย์จึงเป็นไปได้ค่อนข้างยาก เจ้าตัวน้อยพวกนี้พูดได้เป็นคำ ๆ ไม่สามารถพูดยาว ๆ เป็นประโยคได้ แต่ถึงอย่างนั้นด้วยความคลุกคลีกับภูตผีมาตั้งแต่เด็ก เรื่องนี้จึงไม่เป็นปัญหากับชิโนบุ

"เยอะไหม"

'สาม'

"ตรงไหน"

เจ้าภูตตัวเม่นยืดตัวขึ้นยืนสองขา แล้วหันไปทางที่ต้องการบอกทันที ตัวมันสั่นน้อย ๆ ขณะมองไปยังทิศทางที่มุ่งหน้าไปยังแม่น้ำ ก่อนจะหันกลับมามองชิโนบุแล้วพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่สู้ดีนัก

'เพื่อน..ทำร้าย...'

"....."

'ช่วยด้วย..'

ได้ยินแค่นั้นองเมียวจิแห่งตระกูลอาคาวะก็ขมวดคิ้วแน่นทันที แน่นอนว่าเขาได้รับการสั่งสอนมาว่าให้กำจัดภูตผีที่เป็นอันตรายต่อมนุษย์ โดยคำนึงถึงความปลอดภัยของผู้คนเป็นหลัก...

แต่ไม่ใช่ภูตผีทุกตนที่เป็นอันตราย

เจ้าตัวน้อยพวกนี้จะไปทำอะไรใครเขาได้ แล้วทำไมคนพวกนั้นถึงต้องทำร้ายพวกมัน!

'มีเสือ..ตัวใหญ่...น่ากลัวมาก...'

อีกเสียงที่มาจากภูตระดับล่างรูปร่างเหมือนกระรอก ทำให้ชิโนบุต้องเลิกคิดถึงเรื่องอื่นแล้วหันไปให้ความสนใจ ดวงตาคู่สวยมองตามขาหน้าเล็ก ๆ ที่ชี้ไปยังอีกทางที่อยู่ห่างจากทางไปแม่น้ำแบบตรงข้ามกันเลย

'แพะด้วย..หลายตัว...น่ากลัว...'

"มีคนไหม"

'ไม่เห็น...ไม่กล้า ไปใกล้ ๆ'

ชิโนบุพยักหน้ารับอย่างรับรู้ ก่อนจะก้มลงมองเจ้ากัปปะที่ตอนนี้เดินมาดึงขากางเกงเขาเบา ๆ สีหน้าดูเคร่งเครียดแตกต่างจากเวลาปกติที่จะมึน ๆ น่ารัก ๆ เวลาเจอกับเขา

'ในน้ำ แปลก ๆ...'

"มีอะไร"

'เพิ่งรู้สึก..เมื่อกี้...แต่ไม่ดี ไม่ ดี...'

ท่าทางแปลก ๆ ของเจ้ากัปปะทำให้ชิโนบุหันไปสบตากับอัลฟ่าและแบล็กอย่างเข้าใจกัน ร่างสูงโปร่งลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ก่อนจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างเข้มกว่าปกติกับเจ้าพวกตัวเล็กตัวน้อยที่ยังวนเวียนอยู่ตรงขาไม่เลิก

"กลับไปกันได้แล้ว แล้วห้ามออกมาเผ่นพล่านด้วย"

'ช่วย..ช่วย...'

"ฉันไม่ได้จะช่วย เงียบแล้วไปได้แล้ว"

แม้ปากจะปฏิเสธแบบนั้นแต่พอเจ้าพวกตัวน้อยเผ่นหายไปจนหมด ชิโนบุก็เดินเข้าไปหาอัลฟ่าและแบล็กด้วยสีหน้าที่ดูก็รู้ว่ากำลังหงุดหงิดและติดจะโมโหอยู่ไม่น้อย

"พ่อกับแม่ยังทำภารกิจไม่เสร็จ ปู่ก็เพิ่งออกไปเมื่อเช้า"

"เลือกเวลากันเหมาะดีนะ"

ทางด้านแบล็กเองก็พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงประชดประชันไม่แพ้กัน ถึงที่ผ่านมาเขาจะกำจัดพวกภูตที่ถือว่าเป็นเผ่าพันธุ์เดียวกันไปมากมาย แต่ทุกตนที่ตายด้วยมือเขาล้วนก่อความวุ่นวายให้กับผู้คนและภูตผีด้วยกันทั้งนั้น ไม่เคยลงมือกับเจ้าตัวเล็กที่ไม่มีพิษมีภัยพวกนี้

อันที่จริงแล้ว...เขาออกจะเอ็นดูเจ้าตัวน้อยพวกนี้ด้วยซ้ำไป

"ฉันรับมือกับคนได้ดีกว่าพวกนาย เดี๋ยวจะจัดการทางนั้นเอง"

ขณะที่พูดก็พยักเพยิดหน้าไปทางที่เจ้าภูตเม่นบอกว่ามีคนแปลก ๆ อยู่สามคน แบล็กหันไปสบตากับอัลฟ่าครู่สั้น ๆ ก่อนจะหันมาฉีกยิ้มกว้างให้ชิโนบุ พร้อมกับที่ไอพลังสีดำเริ่มแผ่ออกมาปกคลุมไปทั่วร่าง

"ไปนะ โนบุจัง"

สิ้นคำนั้นไอพลังสีดำก็เลือนหายไป พร้อมกับร่างกายของแบล็กที่ค่อนข้างแตกต่างไปจากปกติ ใบหูทั้งสองข้างแหลมขึ้นกว่าเดิม สีดำในดวงตาขยายขึ้นจนมองไม่เห็นตาขาว เขี้ยวทั้งสองข้างยาวจนโผล่ออกมาจากริมฝีปากเล็กน้อย ทั้งหมดนี้เป็นลักษณะของร่างกึ่งภูตที่จะเคลื่อนไหวได้ดีกว่าร่างมนุษย์ แบล็กมักเลือกใช้ร่างนี้เวลาที่ต้องการไปไหนมาไหนอย่างรวดเร็วแต่ไม่อยากคืนร่างเดิม

เพียงพริบตาเจ้าตัวก็กระโจนพรวดขึ้นไปอยู่บนยอดไม้ต้นใกล้ ๆ ก่อนจะเห็นเป็นเพียงเงาดำลาง ๆ เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วไปตามต้นไม้แต่ละต้นจนกระทั่งหายลับตาไป

"เราก็ไปกันเถอะ"

ชิโนบุหันกลับมามองอัลฟ่า ซึ่งเป็นตอนที่ไอพลังสีแดงค่อย ๆ เลือนหายไปจากร่างกายของเจ้าตัวพอดี อัลฟ่าในตอนนี้อยู่ในร่างกึ่งภูตเหมือนกับแบล็ก จะแตกต่างกันหน่อยตรงที่ดวงตาของเจ้าตัวเป็นสีแดงใส และมีริ้วสีแดงสองเส้นปรากฎขึ้นที่ใต้ดวงตาทั้งสองข้าง

"หวั่นใจนะเนี่ย"

"ไม่ปล่อยให้ตกหรอก"

พูดจบอัลฟ่าก็ช้อนร่างเจ้าตัวขึ้นอุ้มอย่างง่ายดาย ในขณะที่ชิโนบุเองก็รีบคว้าคออีกฝ่ายไว้เพราะกลัวตก ใจจริงเขาอยากให้อัลฟ่ากลับร่างเดิมแล้วขี่หลังไปมากกว่า แต่ก็อย่างที่แบล็กเคยเตือนไว้ตั้งแต่ช่วงแรก ๆ แล้วว่า ตอนนี้ยังไม่มีใครรู้ว่าอัลฟ่าคือใคร เพราะฉะนั้นก็ไม่ควรจะแปลงร่างพร่ำเพรื่อเป็นดีที่สุด

"ฉันตัวใหญ่อะ"

"ไม่เกินกำลังภูตอย่างฉันหรอก"

ว่าจบอัลฟ่าก็พาเจ้าตัวกระโจนขึ้นต้นไม้ใกล้ ๆ ได้อย่างไม่ยากเย็นนัก แม้ความสูงของเราสองคนจะไล่เลี่ยกัน แต่ความจริงแล้วชิโนบุผอมกว่าเขามาก ต่อให้จะเป็นตอนที่เป็นคนธรรมดาไม่มีพลังของภูต เขาก็ยังมั่นใจว่าจะสามารถอุ้มเจ้าตัวได้สบาย ๆ

"ไปกัน"

สิ้นคำนั้นสองแขนก็กระชับให้ร่างของคนในอ้อมกอดแนบชิดกับตัวเองยิ่งขึ้น ก่อนจะกระโจนไปยังต้นไม้อีกต้น แล้วพุ่งตัวไปยังทิศทางตรงข้ามกับแบล็กทันที

๐ ๐ ๐ ๐ ๐ ๐ ๐ ๐ ๐

"เป็นอะไรกันกับบ้านร้าง"

เสียงบ่นที่ดังขึ้นเบา ๆ จากคนข้าง ๆ ทำให้อัลฟ่าเหลือบตาไปมองเล็กน้อย ตอนนี้พวกเขาสองคนมาหยุดอยู่ตรงทางเข้าบ้านร้างหลังหนึ่งที่รู้สึกว่ามีกลิ่นอายของพวกภูตผีแผ่กระจายออกมาเข้มข้นกว่าบริเวณอื่น

"เจ้าตัวข้างในไม่ธรรมดา มันไม่ปกปิดกลิ่นอายของตัวเองเลย"

ชิโนบุพยักหน้ารับเบา ๆ เมื่อได้ยินแบบนั้นเพราะเขาเองก็รู้สึกได้อยู่เหมือนกัน สองเท้าก้าวเดินไปอย่างระมัดระวังก่อนจะเหลือบมองไปทางด้านขวาของตัวเองเมื่อรับรู้ได้ถึงสิ่งผิดปกติ ดวงตาตวัดมองภูตตนหนึ่งที่กำลังพุ่งตัวเข้ามาหา ยันต์ในมือเตรียมซัดออกไป หากแต่ยังช้ากว่าคนข้าง ๆ ที่ตอนนี้มายืนซ้อนหลังกันตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้

อัลฟ่ายื่นมือขวาผ่านไหล่ของคนด้านหน้าไปคว้าเข้าที่ลำคอของภูตตนนั้น ก่อนจะเหวี่ยงมันไปกระแทกเข้ากับต้นไม้ใกล้ ๆ ไอพลังสีแดงของเจ้าตัวกระจายออกมาจากภายในตัวของภูตตนนั้น ก่อนที่มันจะระเบิดออกแล้วกลายเป็นละอองแสงสลายไปทันที

"นายทำอะไร"

ชิโนบุยังไม่ทันได้คำตอบจากสิ่งที่ถามเสียงหวีดร้องก็ดังลั่นมาจากทางตัวบ้านจนต้องหันกลับไปมอง เห็นภูตชั้นกลางลักษณะคล้ายลิงแสมสองตัวกำลังกระโจนมาทางนี้

ยันต์ในมือถูกซัดเข้าใส่ภูตทางฝั่งขวา ก่อนเจ้าตัวจะยกมือขึ้นมาระดับอกแล้วท่องคาถาสลายวิญญาณ เพียงอึดใจเดียวภูตตนนั้นก็สลายกลายเป็นละอองแสงแล้วเลือนหายไป

ทางด้านอัลฟ่าเพียงแค่ขยับมือเล็กน้อย ไอพลังก็ทะยานออกไปในรูปของกรงเล็บสีแดง ตวัดเข้ากลางลำตัวของภูตตนนั้นจนขาดเป็นสองท่อน เลือดสีสดสาดกระจายก่อนที่มันจะกลายเป็นละอองแสงแล้วหายไปอีกตน

"เลอะ"

คำบ่นที่ดังขึ้นทำให้อัลฟ่าหัวเราะออกมาเบา ๆ ก่อนจะแผ่ไอพลังออกมาเข้มข้นขึ้นเมื่อมีภูตนับสิบกระโจนเข้าหาพวกเขาทั้งคู่พร้อมกัน

ชิโนบุเหลือบมองคนข้าง ๆ ทันทีเมื่อได้ยินเสียงคำรามต่ำ ๆ ในลำคอ เขาสังเกตเห็นว่าดวงตาของเจ้าตัวเรืองแสงสีแดงขึ้นมาวูบหนึ่ง ก่อนที่...

"นี่มัน..."

ละอองแสงจากวิญญาณภูตเกิดขึ้นรอบ ๆ ตัวของชิโนบุ เมื่อพวกภูตชั้นล่างนับสิบที่กระโจนเข้ามาอยู่ ๆ ก็ขาดใจตายทันทีที่สัมผัสเข้ากับไอพลังของอัลฟ่า...พวกมันตายโดยที่ไม่ทันได้กรีดร้องแสดงความเจ็บปวดออกมาด้วยซ้ำ

นี่มันอะไรกัน?

แม้จะสงสัยแค่ไหนแต่ก็ยังไม่ใช่เวลาจะถามอะไร เมื่อมีภูตลักษณะคล้ายแพะภูเขาสองตัวกระโดดมาขวางหน้าพวกเขาไว้อีกครั้ง ซึ่งเจ้าสองตัวนี้มีระดับต่างจากพวกที่เจอมาตามรายทางลิบลับ ถึงแม้เขาจะไม่มีความรู้เกี่ยวกับภูตตนนี้ แต่จากกลิ่นอายที่แผ่ออกมาน่าจะเป็นภูตระดับสูง...

แต่ถึงยังไงระดับกลิ่นอายก็ยังสู้ภูตที่อยู่ข้างกายเขาไม่ได้อยู่ดี

ทางนั้นเป็นเพียงปลายแถวของระดับสูง แต่ข้างกายเขานี่เป็นยิ่งกว่าหัวแถวซะอีกนะ

ชิโนบุไม่ได้พูดอะไรเขาทำเพียงถอยไปข้างหลังสามก้าวเป็นการบอกว่าจะไม่เข้ามายุ่งแล้วปล่อยให้อัลฟ่าเป็นคนจัดการ ซึ่งอันที่จริงถามว่าเขาสามารถจัดการได้ไหม มันก็ได้แหละ แต่ดูท่าแล้วสถานการณ์แบบนี้ควรปล่อยให้อัลฟ่าลงมือเองจะดีกว่า

ที่สำคัญ...

เขาอยากเห็นรูปแบบการต่อสู้และพลังของอัลฟ่ามาก ๆ เลย

ยอมรับว่าจิ้งจอกเก้าหางเป็นภูตที่เขาเคยศึกษามาบ้างเหมือนกัน แต่ว่าข้อมูลที่มีก็น้อยมากเหลือเกิน เพราะหลังจากที่ ทามาโมะ โนะ มาเอะ ถูกผนึก หลังจากนั้นก็ไม่เคยมีจิ้งจอกเก้าหางปรากฎตัวขึ้นอีก เพราะฉะนั้นทั้งทักษะและพลังที่ใช้จึงเป็นปริศนา มีเพียงแค่ความเป็นไปได้ที่องเมียวอาวุโสบางคนเคยวิเคราะห์และคาดการณ์ไว้เท่านั้น ไม่มีใครเคยเห็นกับตาตัวเอง หรือสัมผัสพลังของนางด้วยตัวเองเหมือนกับ...

อาเบะ โนะ เซย์เมย์

ดวงตาคู่สวยจับจ้องอยู่ที่อัลฟ่าอย่างตั้งใจ เขาเห็นเจ้าตัวขยับเพียงเล็กน้อยเพื่อหลบเขาของภูตแพะตัวหนึ่งที่เปิดฉากกระโจนเข้ามา อัลฟ่าใช้มือหนึ่งคว้าเข้าที่หลังคอของมัน แล้วกดปลายนิ้วตรึงแรงบังคับให้อยู่กับที่ ดวงตาคู่คมปรายมองภูตแพะอีกตนที่ยังคงจด ๆ จ้อง ๆ มองดูท่าทีไม่ยอมพุ่งตัวเข้ามา มุมปากทั้งสองข้างกระตุกขึ้นเป็นรอยยิ้มร้าย ก่อนจะหันกลับมายังภูตแพะตัวที่ยังอยู่ในเงื้อมมือตนเอง

ปลายเล็บจิกลงบนผิวหนังของมันจนเลือดทะลักออกมาเปรอะเปื้อนตามนิ้วมือ ภูตแพะกรีดร้องลั่นด้วยความเจ็บปวด พยายามจะดิ้นให้หลุด หากแต่ยิ่งดิ้นความเจ็บปวดกลับยิ่งเพิ่มขึ้น ร่างแพะภูเขาดิ้นพล่านอย่างทุรนทุราย ก่อนตัวมันจะถูกกดกระแทกลงกับพื้นอย่างแรง จนรู้สึกได้ถึงแรงสั่นสะเทือนที่พื้น ไม่ต่างจากมวลเลือดในตัวที่ซัดโหมราวเกลียวคลื่น ไหลทะลักออกมาตามปากและจมูกอย่างไร้การควบคุม

ร่างภูตที่เคยเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ ในตอนนี้ทำได้เพียงนอนนิ่งไม่อาจขยับได้อีก ลมหายใจรวยรินจนแทบจับสัมผัสไม่ได้ ขณะที่ดวงตาเหลือบมองผู้มอบความตายที่ยืนอยู่ตรงหน้า สิ่งสุดท้ายที่ปรากฏขึ้นในกรอบตา คือภาพของดวงตาเรืองแสงสีแดงคู่นั้น และรอยยิ้มที่ชวนให้หนาวเยือกไปทั้งไขสันหลัง ก่อนที่ความเจ็บปวดเจียนขาดใจจะถูกมอบให้จากกรงเล็บที่กรีดผ่านร่างของมันเป็นครั้งสุดท้าย

สีแดงเลือดสาดกระจายไปทั่วบริเวณ ก่อนที่ร่างของแพะภูเขาจะแตกกระจายกลายเป็นละอองแสงแล้วสลายหายไป

"....."

ชิโนบุมองภาพที่เกิดขึ้นตรงหน้าตาไม่กระพริบ ยอมรับว่าวิธีต่อสู้ของอัลฟ่าไม่ค่อยต่างจากแบล็กเท่าไร อาจจะเป็นเพราะถูกแบล็กฝึกให้ด้วยนั่นแหละเลยได้รับอิทธิพลมา แต่ถึงอย่างนั้น...

เขากลับรู้สึกว่าของอัลฟ่าดูมีอะไรมากกว่า

การโจมตีไม่ได้รุนแรงเหมือนแบล็ก ออกจะดูเบาบางเกินไปด้วยซ้ำ หากแต่สามารถจัดการเจ้าแพะนี่ได้ในเวลาไม่กี่นาที ทั้งที่ดูแล้วไม่น่าจะทำแบบนั้นได้...น่าสงสัยชะมัด

"มานี่สิ"

เห็นอีกฝ่ายยืนขมวดคิ้วแน่นเหมือนกำลังมีเรื่องสงสัยอยู่ในหัวเต็มไปหมด อัลฟ่าเลยกวักมือเรียกให้เข้ามาหาด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ

"แล้วนั่นล่ะ"

"สงสัยไม่ใช่เหรอ ก็จะเรียกให้มาดูนี่ไง"

ชิโนบุไม่รู้ว่าอัลฟ่าทำอะไร แต่เขาเห็นเจ้าแพะนั่นไม่ขยับมาตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว ตอนแรกก็คิดว่ามันคงอยากลองเชิงอยู่ไกล ๆ แต่จนเจ้าแพะอีกตัวโดนจัดการไปแล้วมันก็ยังไม่ยอมขยับเหมือนเดิม

"ดูที่ตัวมันสิ"

พอเดินมาถึง อัลฟ่าก็พยักเพยิดหน้าไปทางเจ้าแพะภูเขาอีกตัวที่ยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม ดวงตาคู่สวยมองดูอย่างสำรวจ ก่อนจะเลิกคิ้วขึ้นนิด ๆ เมื่อเห็นว่ามีไอพลังสีแดงของอัลฟ่ากำลังกระจายออกมาจากตัวของเจ้าแพะตนนั้น...เหมือนกับเจ้าภูตตัวแรกไม่มีผิดเลย

"นายทำอะไร"

"เป็นความสามารถทางด้านวิญญาณของฉัน"

"เหมือนแบล็ก?"

"คล้าย ๆ แต่ไม่ใช่"

ได้ยินแบบนั้นชิโนบุก็หันไปมองหน้าเจ้าตัวตรง ๆ ซึ่งอัลฟ่าเองก็ละสายตาจากเจ้าภูตแพะตนนั้นมาสบตาด้วย

"รู้ใช่ไหมว่าแบล็กสามารถส่งพลังเข้าไปทำลายวิญญาณของศัตรูโดยตรงได้"

"อือ"

"ของฉันก็คล้ายกัน แต่พลังวิญญาณของฉันไม่รุนแรงเท่าแบล็ก จึงต้องอาศัยการพลิกแพลงมากกว่าการใช้พลังชนกันตรง ๆ"

ชิโนบุพยักหน้ารับเมื่อได้ยินแบบนั้น ก่อนจะมองตามสายตาของอัลฟ่าไปยังเจ้าภูตแพะที่ตอนนี้เริ่มส่งเสียงร้องออกมาอย่างเจ็บปวด ไอพลังสีแดงของอัลฟ่าที่แผ่ออกมาจากตัวของมันยิ่งดูเข้มข้นขึ้นเรื่อย ๆ พร้อมกับท่าทีทุรนทุรายของมันที่เริ่มเพิ่มมากขึ้นเช่นกัน

"พลังวิญญาณของอินุงามิรุนแรงมาก แต่ก็เพราะมันรุนแรง เวลาส่งเข้าไปในร่างศัตรูจึงทำให้อีกฝ่ายรู้ตัวได้ทันที ถ้าไม่ใช่เพราะแบล็กแข็งแกร่งมากจริง ๆ คงโดนสะท้อนกลับมาแทน"

เรื่องนี้ชิโนบุก็รู้ การใช้พลังวิญญาณเข้าไปทำลายศัตรูโดยตรงถือเป็นเรื่องที่เสี่ยงมาก ยิ่งภูตที่มีพลังวิญญาณเข้มข้นเหมือนแบล็กก็จะถูกจับและสะท้อนคืนกลับได้ง่าย แต่ว่า...

ก็นั่นแหละ...

เพราะคนที่ใช้คือแบล็ก

พลังวิญญาณของเจ้าตัวแข็งแกร่งมาก จนไม่ต้องคอยห่วงว่าจะถูกสะท้อนกลับ

"พลังวิญญาณของฉันมีไม่น้อยถ้าเทียบกับภูตตนอื่น เพียงแต่มันคงรูปแบบในการทำลายได้ไม่เท่าแบล็ก เพราะฉะนั้นเลยส่งเข้าไปทำลายศัตรูโดยตรงแบบแบล็กไม่ได้ แต่ข้อดีของฉันคือศัตรูจะไม่รู้ตัว"

เสียงกรีดร้องอย่างทรมานของเจ้าภูตแพะยิ่งดังขึ้น เลือดค่อย ๆ ทะลักออกตามทวารทั้งเจ็ด เป็นภาพที่มองดูน่าสยดสยองอยู่ไม่น้อยเลย

"วิญญาณของภูตพวกนั้นจะโดนพลังวิญญาณของฉันกัดกินไปเรื่อย ๆ โดยไม่รู้ตัว แต่ถึงอย่างนั้นมันก็มีข้อจำกัดอยู่ ถ้ายิ่งภูตตนนั้นระดับวิญญาณสูงเท่าไร ฉันก็จะกัดกินวิญญาณของพวกมันได้ยากขึ้นเท่านั้น"

"หมายความว่า ก็มีภูตที่นายใช้วิธีนี้ไม่ได้ผลอยู่ด้วย"

"อืม"

"ระดับไหน"

"ระดับแบล็ก"

คำตอบที่ได้รับกลับมาทำให้ชิโนบุชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะฟาดมือลงบนต้นแขนของอีกฝ่ายเต็มแรงข้อหาพูดเล่นไม่รู้เวลา

อย่างแบล็กน่ะ เรียกว่าระดับสูงลิบเกินไปจนเอามาใช้เป็นเกณฑ์ปกติกับคนอื่นเขาไม่ได้แล้ว

"ตีทำไม"

"เล่นไม่รู้เวลา"

"ไม่ได้เล่นสักหน่อย ก็ฉันใช้วิธีนี้กับแบล็กไม่ได้จริง ๆ"

"อย่างแบล็กเอามาเทียบกับภูตตนอื่นได้หรือไง"

นั่นน่ะ แข็งแกร่งจนภูตพิทักษ์ตระกูลอื่นยังไม่อยากยุ่งด้วยเลย อย่าว่าแต่ภูตพิทักษ์ด้วยกัน ทั้งภูตเล็ก ภูตน้อย ภูตระดับสูง องเมียวจิ ก็ไม่มีใครอยากยุ่งด้วยทั้งนั้น เจ้าตัวถึงขั้นเคยชนตรง ๆ กับพวกผู้นำตระกูลอื่นมาแล้วด้วยเถอะ

"ก็ฉันฝึกกับแบล็กแค่สองคน ไม่ให้เอาแบล็กมาเป็นมาตรฐานแล้วจะให้ฉันไปเทียบกับอะไรล่ะ"

ชิโนบุได้แต่เบ้ปากใส่อย่างหมั่นไส้คนที่พูดขึ้นด้วยรอยยิ้มขำ ๆ ก่อนจะหันไปมองเจ้าภูตแพะตนนั้นเมื่อได้ยินเสียงกรีดร้องของมันดังขึ้นกว่าเดิม

"ฉันลองวิธีนี้กับแบล็กดู ถึงจะไม่ได้ผลแต่แบล็กยังบอกเองเลยว่าเจ็บเอาเรื่องอยู่"

"แค่บอกว่าเจ็บอะนะ"

"อืม แต่นั่นแบล็กไง...ส่วนนี่ไม่ใช่"

สิ้นคำนั้นร่างของภูตแพะก็ระเบิดออกกลายเป็นละอองแสงสลายหายไป ทิ้งไว้เพียงคราบเลือดที่เปรอะเปื้อนเต็มพื้นไปหมด ซึ่งอีกไม่นานรอยเลอะพวกนั้นมันก็จะค่อย ๆ จางหายไปเอง

ชิโนบุได้แต่เบะปากมองคราบเลือดพวกนั้นแล้วบ่นออกมาเบา ๆ

"เลอะเทอะ"

อัลฟ่าหัวเราะในลำคอเบา ๆ ก่อนจะใช้มือข้างที่ไม่เลอะแตะหลังเจ้าตัวเป็นเชิงให้ออกเดิน เพื่อมุ่งหน้าเข้าไปหาเจ้าตัวอันตรายที่ปล่อยกลิ่นอายออกมาข่มขวัญกันอยู่ตลอดเวลา

ดวงตาคู่คมมองเข้าไปในตัวบ้าน ไอพลังสีแดงรอบตัวอัลฟ่าเข้มข้นขึ้นชั่วขณะหนึ่ง ก่อนที่เวลาต่อมาจะกลายเป็นสายลมเบาบางพัดกระจายออกไปทั่วบริเวณ โดยมีอัลฟ่าเป็นจุดศูนย์กลาง

ชิโนบุเหลือบตามองคนข้าง ๆ เล็กน้อย เมื่อรู้สึกถึงสายลมเบาที่ไล้ผ่านตัวไป ก่อนที่กลิ่นอายกดหนักของเจ้าตัวในบ้านจะเลือนหาย แล้วถูกแทนที่ด้วยกลิ่นอายที่ชวนให้กดดันกว่าของอัลฟ่า

โฮกกกกกกก

เสียงคำรามดังลั่นมาจากภายในบ้านร้างจนชิโนบุต้องหันขวับไปมอง ในขณะที่อัลฟ่าทำเพียงยกมุมปากขึ้นเป็นรอยยิ้มบาง ๆ อย่างค่อนข้างพอใจ

"นายท้าสู้?"

"อืม"

"เพื่อ?"

"มันเริ่มก่อนนะ ตั้งแต่เรามาถึงก็ใช้กลิ่นอายข่มเราอยู่ตลอดเลย"

คำตอบที่ได้รับทำให้ชิโนบุได้แต่ถอนหายใจออกมา รู้สึกปวดหัวตุ้บ ๆ จนแทบจะยกมือขึ้นมากุมขมับ ปากก็บ่นพึมพำเป็นประโยคที่ทำให้คนโดนบ่นหัวเราะรับเบา ๆ ก่อนจะก้าวเท้าเดินเข้าไปภายในตัวบ้านที่ไม่รู้เหมือนกันว่าจะมีตัวอะไรรออยู่

"ลูกศิษย์แบล็กจริง ๆ นะนาย หาเรื่องพอกัน"

"โดนแบล็กเคี่ยวมาเกือบตาย จะได้อาละวาดทั้งทีก็ตามใจฉันหน่อยเถอะ"

๐ ๐ ๐ ๐ ๐ ๐ ๐ ๐ ๐