[อาเบล]
"โปรดอภัยให้อัลฟ่าฝึกหัดที่ไร้มารยาทของข้าด้วย ที่ออกมาพบไม่ได้"
"ไม่เป็นไร เด็กๆก็แบบนี้แหละ"
สองผู้เฒ่าอัลฟ่าคุยกันอย่างมากมารยาทในวันสุดท้ายของการเจรจา อาเบลจำตัวเองในตอนนั้นได้ดี เขาเดินทางไปกับพ่อ หรือจักรพรรดิอาเบลรุ่นก่อนเพื่อเยี่ยมเยือนดาวต่างๆในฐานะอัลฟ่าฝึกหัดอันดับสี่
ตอนนั้นพ่อต้องทำใจกว้างพูดดีกับอัลฟ่าดาวอื่นๆ ทั้งที่ต้อยต่ำกว่า ก็เพื่อจะขึ้นเป็นผู้นำสมาพันธ์ เขากำลังเดินสายหาเสียงสนับสนุนก็ว่าได้ และการที่เลือกพาเขามาด้วยก็ไม่ใช่ว่ารัก หรือเข้าข้างเขาเป็นพิเศษแต่อย่างใด แต่อัลฟ่าฝึกหัดทุกคนต้องเวียนกันติดตามจักรพรรดิอยู่แล้วเพื่อเรียนรู้ด้านการทูต
ครั้งนี้ก็เหมือนเขาแค่จับฉลากได้มาดาวห่วยๆไกลโพ้น ที่ด้อยทั้งเทคโนโลยี และกองทัพสนับสนุน แต่อย่างไรข้อห้ามของจักรพรรดิก็คือห้ามมีการติดต่อเรื่องพันธมิตรในสงครามชิงบัลลังก์ขณะเดินทางไปกับท่านอยู่แล้ว อาเบลก็เลยยิ่งไม่อยากสนใจอัลฟ่าของดาวเฟลม่า
ยิ่งวันนี้เขายิ่งกำลังหงุดหงิดมากเป็นพิเศษ เพราะเมื่อวันก่อนนั้นหลังจากการเจรจาช่วงบ่ายเสร็จ เขากลับไปก็พบว่าของเล่นที่ถูกใจได้หายไปแล้ว ในห้องต้อนรับอาคันตุกะว่างเปล่า มันหนีไปได้ยังไง? เขาจัดการเบต้าของตัวเอง และเหล่าทหารที่เฝ้าเรือนพักของเขา แต่ก็ไม่มีใครให้คำตอบได้
เขารู้ว่ามันบอบบางและน่าเย้ายวนมาก เขาก็พยายามระวังไม่ให้มันตายอย่างเต็มที่แล้วแท้ๆ ไม่อย่างนั้นคงต้องไปขอให้อัลฟ่าดาวเฟลม่าซ่อมมันให้ ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องสมควรเลย
มันหนีไปได้ หรือไม่ก็ตายไปแล้ว มีอยู่แค่สองทางเท่านั้น และอันดับสี่ที่อารมณ์ขุ่นมัวก็กำลังครุ่นคิดมาทางเอามันกลับมาเงียบๆ
จนกระทั่งนามิกเอ่ยขอโทษที่อัลฟ่าของตนไม่ได้ออกมาแสดงตัวทำความเคารพจักรพรรดิอย่างสมควร เขาจึงนึกอะไรขึ้นมาได้
"งั้นเราขออะไรเป็นการชดเชยที่ไม่ได้เจออัลฟ่าฝึกหัดของท่านได้มั้ย ท่านนามิก"
ขอแค่ไม่ใช่เรื่องเกี่ยวกับการเจรจาพันธมิตร จักรพรรดิก็ไม่ได้สนใจจะว่ากล่าวอะไรเขาทั้งนั้น ดังนั้นอันดับสี่จึงกล้าเอ่ยปากแทรกตรงๆ
อัลฟ่าดาวเฟลม่าเองก็ประหลาดใจ
"อะไรหรือ ถ้าเป็นสิ่งที่ข้าพอให้ได้"
"แน่นอนว่าเป็นสิ่งที่ท่านให้ได้ ระหว่างเยี่ยมชมดาวของท่าน เราถูกใจโอเมก้าคนหนึ่ง ขอเป็นของฝากกลับไปด้วยได้หรือไม่"
"ได้สิ ถ้าโอเมก้าของดาวเฟลม่าสามารถทำให้ท่านพอใจได้ นับเป็นเกียรติของมันแล้ว" นามิกว่าจบก็แบกมือออก ลูกกลมปรากฎขึ้นบนมือ อาเบลแย้มยิ้มทำความเคารพนามิกตามมารยาททีหนึ่ง ก่อนเข้าไปวางมือบนลูกกลมทันที
มันเป็นระบบตามหาและระบุตำแหน่งทุกสิ่งบนดวงดาวที่อัลฟ่าต้องการ นามิกอนุญาตให้เขาใช้ตามหาโอเมก้าตนหนึ่ง นับว่าแสดงความใจกว้างไม่ถือสาเรื่องเล็กน้อย แต่ทั้งหมดนั้นเป็นเกมการเมืองที่เขาไม่สนใจ
เพราะอย่างไรเขารู้ดีว่าเขาย่อมได้ทุกอย่างที่เขาต้องการเสมอ...
ทว่าครั้งนี้...
ลูกกลมกลับไม่ปรากฎสัญญาณใดๆตอบกลับมา อันดับสี่เอียงคอฉงน แล้วเงยหน้าถามอัลฟ่าดาวเฟลม่าด้วยสายตา แต่ตัวราชาเองก็ฉายแววแปลกใจขึ้นมาแวบหนึ่งก่อนจะเปลี่ยนเป็นราบเรียบเย็นชาอย่างที่สุด และเอ่ยออกมาเรียบๆ
"การที่ระบบตรวจหาไม่พบสิ่งที่ท่านระบุ หนึ่งเป็นเพราะข้อมูลไม่ชัดเจนเพียงพอ
"เราคิดว่าเราระบุข้อมูลได้ชัดเจนแล้วนะ" แน่นอนว่าเขาต้องมั่นใจ เพราะข้อมูลทั้งหมดของโอเมก้าตัวนั้นเขาศึกษามาทุกซอกทุกมุมแล้ว
"ถ้าเช่นนั้นก็เป็นข้อสอง เป้าหมายที่ท่านระบุเป็นประชากรที่ไม่ปรากฎในแผนอยู่แล้ว ซึ่งมีแค่สองกรณี คือ ดำรงตำแหน่งอัลฟ่า หรือไม่ก็ได้ตายไปแล้ว..." เสียงของนามิกเยือกเย็นคล้ายจะตำหนิ แต่อันดับหาได้สนใจไม่
"อ๊อ" เขาแค่เลิกคิ้วแล้วพยักหน้าอย่างเบื่อหน่าย ที่ต้องยอมรับว่าแผนทั้งหมดที่อุตสาห์คิดไว้สำหรับมัน...คงต้องหาอย่างอื่นมาแทนที่เสียแล้ว
"ตายไปแล้วงั้นเรอะ น่าเสียดาย..."
น่าเสียดาย...
คำๆนี้ ยังคงก้องอยู่ในหัวเขา
อาเบลอยากจะดึงมันออกไปโยนทิ้งลงหลุมดำไปพร้อมๆกับความทรงจำในอดีตทั้งหมด
เพราะวันนั้นเขาลืมคิดไป ไม่ใช่แค่อัลฟ่าที่ไม่ปรากฎ แต่...
อัลฟ่าฝึกหัดก็ไม่ปรากฎเช่นกัน
วันนั้นหลังหมดธุระ จักรพรรดิก็ขอตัวลา พวกเขาเดินทางกลับดาว Abell001 และไม่เคยไปเยือนดาวเฟลม่าอีกเลย
หลายสิบปีผ่านไป คนคนนั้นถึงมาปรากฎตรงหน้าเขาอีกครั้ง ด้วยรูปลักษณ์ที่แตกต่างจนจดจำไม่ได้
"ไนท์..."
"หึหึหึ" เสียงหัวเราะดังมาจากภาพโฮโลแกรมสื่อสาร
"ไนท์น่ะรสชาติดีมั้ย? ดูเหมือนท่านจักรพรรดิจะทรงโปรดเขามากนิ น่าจะถือเป็นโชคดีของเขาล่ะมั้งที่มีวาสนาได้รับรองท่านด้วยตัวเอง"
"หุบปาก!"
ในเมื่อไนท์ไม่ยอมบอกเขาสักที อาเบลจึงกัดฟันติดต่อตัวแทนปีกสันติภาพที่เขาเหม็นขี้หน้าเตรียมอดทนกับแววตาถากถาง และรอยยิ้มเย้ยหยันของเวอร์ชูว บุรุษสันติภาพหัวเราะเยาะเขาที่ไม่เคยรู้อะไรเลย แต่ก็ยินดีบอกใบ้ให้เขาฟัง จนเขาสามารถค้นเจอความทรงจำที่เชื่อมต่อกันได้
"แกโกหก ไม่เคยมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น แก..."
"อืมๆ ผมโกหก งั้นท่านก็ไม่ต้องเชื่ออะไรทั้งนั้นท่านจักรพรรดิ ผมขอตัว" ปีกสันติภาพตัดการสื่อสารไป
อาเบลเม้มปากแน่น เขาพูดไม่ออก เถียงเจ้าปรสิตนั่นไม่ได้เลย เพราะทั้งหมดคือความจริง ร่างกายเขารู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น เขาทำเรื่องเลวร้ายอะไรไปบ้าง...กับไนท์
ตอนนั้นเขาไม่สนใจหรือใส่ใจอะไร แค่เสียดายที่ของเล่นชิ้นนี้พังเร็วเกินไป เสียดายรสชาติของมันที่เขายังลิ้มรสไม่พอ คิดอยู่ว่าถ้าโอเมก้าคนนั้นไม่ได้ตายไป เขาจะกลับไปทำอะไรกับมันบ้าง
ตายไปแล้วงั้นเรอะ น่าเสียดาย...
เขาเอ่ยแค่นั้นแล้วก็ลืมทั้งหมดร่วมเกือบร้อยปีแล้ว ทั้งที่พูดคุยกัน ทั้งที่ใกล้ชิดสนิทกันมากแค่ไหน เขากลับไม่มีโอกาสได้รู้
ว่าโอเมก้าคนนั้นก็คืออัลฟ่าฝึกหัดที่พ่ายแพ้เขา เป็นคนที่เขารักมากที่สุด และได้ทำร้ายอย่างเจ็บปวดที่สุด
สะพานข้ามดาราเปิดออกด้านหลัง ร่างสูงในชุดดำสนิทไปจนถึงเส้นผมก้าวออกมา
ไนท์...
บรรยากาศนิ่งสนิทเมื่อไม่มีใครเอ่ยสิ่งใดออกมา สถานที่ที่เหมือนตายไปแล้ว
อิกไนท์เมื่อเห็นจักรพรรดิเงียบ ไม่เอะอะโวยวายหรือด่าทอเขาอย่างปกติ เขาก็เดาได้แล้วว่าเพื่อนตัวดีเอาอะไรมาบอกคนของเขา
"รู้แล้วเรอะครับ อาเบล"
อาเบลสะท้าน เงยหน้าขึ้นมองก็เห็นแต่รอยยิ้มอ่อนโยนที่เขาไม่อาจรับไว้
เราขอโทษ เราไม่ได้...ตั้งใจ
อาเบลพูดไม่ออก ทั้งๆที่อยากเอ่ยอะไรอีกมากมาย นี่เป็นรอยยิ้มที่ซ่อนความเครียดแค้นเขาไว้ หรือยิ้มที่ขมขื่นกับโชคชะตา
"อาเบล ผมขอโทษ อย่าโกรธเลยนะที่ผมไม่ได้บอก"
ไนท์เอ่ยออกมาก่อนด้วยความนุ่มนวล เขาหมายความว่าอย่างนั้นจริงๆ แววตาไม่ได้โกหก แต่คนที่ขอโทษไม่ควรจะเป็นเขา
"ทำไมไม่บอกเรา ไนท์..."
อาเบลพยายามบังคับเสียงไม่ให้สั่นเครือ มันจึงกลายเป็นเสียงตะคอกแทนที่ ทำให้คนฟังคิดว่าเขาโกรธเกรี้ยวรุนแรง
"เพราะผมไม่อยากให้อาเบลเป็นแบบนี้ไง" อิกไนท์เอ่ยอ่อนโยนยิ่งกว่าเดิม และก้าวเข้ามาช้าๆจนหยุดอยู่ตรงหน้าเขา ดวงตาสีดำที่ซ่อนประกายเขียวมรกตไว้ลึกๆ เหมือนจะบอกให้เขารู้ว่า อิกไนท์เองก็พยายามอย่างยิ่งที่จะซ่อนความลับนี้เอาไว้จากเขา
"ผมอยากให้อาเบลยอมรับผมด้วยความรู้สึกจริงๆของอาเบล ไม่ใช่เพราะความรู้สึกผิด หรือเรื่องของเราในอดีต"
"แล้วทำไม...ถึงมาช่วยเรา"
อาเบลหมายถึงในศึกชิงอำนาจจักรพรรดิ อิกไนท์เลือกเขาเพราะอะไร
"…ตอนนั้นผมก็ไม่แน่ใจหรอก อาเบล ผมคิดว่าผมอยากแสดงให้นายเห็นถึงอำนาจของผม ให้นายได้หวาดกลัวผมบ้าง ให้นายหวาดระแวงว่าผมสามารถเป็นฝันร้ายของนายได้เช่นกัน"
อาเบลพยุงตัวเองให้ยืนรับฟังโดยไม่เอ่ยแทรกอะไร เพราะลำพังแค่บังคับให้สองเท้าค้ำร่างตัวเองให้ยังยืนอยู่ได้โดยไม่หันหลังหนีก็ลำบากมากแล้ว ไนท์เอ่ยต่อไปช้าๆ
"แต่ผมเข้าใจตัวเองผิดไป ทุกการกระทำของผมต้องการให้นายมองมาที่ผมคนเดียวเท่านั้น ผมคงตกหลุมรักอาเบลไปแล้วล่ะตั้งแต่ตอนนั้น"
"…"
อะไรบางอย่างปะทุขึ้นกลางอก มันบอกอาเบลให้ก้าวเข้าไปคว้าเอาไว้ สองมือเขาต้องคว้าไนท์ที่ยืนอยู่ตรงนี้เอาไว้ จับไว้ให้แน่น โดยที่ไม่ต้องสนใจตัวตนในอดีต หรือ อิกไนท์ คลอร์ว ที่เคยเคียดแค้นเขาอีกแล้ว เพราะทั้งหมดไม่มีอยู่ตรงนี้เลย
มีแค่ไนท์ที่เป็นของเขา
"และแม้ว่าผมจะเปลี่ยนแปลงอดีตได้ แต่ผมก็ไม่คิดจะทำ เพราะผมคงไม่ได้เจอกับอาเบล และคงไม่มีวันนี้ที่อาเบลจะกอดผมเสียแนบแน่นแบบนี้ ใช่มั้ยครับ"
อาเบลทำเป็นไม่ได้ยิน แล้วกอดอีกฝ่ายแน่นกว่าเดิม ซุกใบหน้างามที่เคล้าน้ำตาไว้ไม่ให้ใครเห็น ต่อให้จะเป็นคนบ้าที่กวนประสาททุกถ้อยคำ แต่ก็เป็นคนบ้าที่ไม่เคยโกรธเขาเลยไม่ว่าเขาจะทำอะไร เป็นคนบ้าที่พูดออกมาว่า...รักเขา ทั้งที่เขายังไม่เคยพูดออกไปเลย
"ยัง...เจ็บอยู่มั้ย?" เสียงเบาๆกระซิบถาม
ไนท์พยักหน้า
"บางครั้ง เวลาที่คิดถึงอาเบลมากๆ"
"ไม่ต้องมาพูดดี" อาเบลกระทืบเท้าแรงๆทีหนึ่ง และทำเป็นไม่สนใจเสียงร้องโอดโอยเกินพอดีของคน แล้วแนบศีรษะตัวเองเอาไว้ในอ้อมกอดอุ่นๆ ฟังเสียงหัวใจอีกคนเต้นอยู่ข้างหู ทำให้ความรู้สึกมากมายที่กดทับเบาบางลงอย่างเหลือเชื่อ
อาเบลสะกดทิฐิ และศักดิ์ศรีทั้งหมดลง ในวันนี้เขาจะต้องเอ่ยมันออกไป คำที่เขาควรจะเอ่ยตั้งแต่แรก
"เรา...ขอโทษ" เสียงกระซิบเบาๆที่แทนความรู้สึกทั้งหมดที่ผ่านมา คำเรียบง่ายที่วิงวอนร้องขอคนตรงหน้าว่าอย่าได้โกรธเขา อย่าไปจากเขา ถ้าอิกไนท์ยอมให้อภัย ไม่ว่าต้องการสิ่งใดเขาก็จะชดเชยให้ทั้งหมด แต่คำตอบที่ได้รับกลับเป็น...
"อะไรนะ? ผมไม่ได้ยินเลยอาเบล"
อารมณ์ที่สงบพุ่งปรี๊ดกลับขึ้นมาทันที อาเบลขยี้ปลายเท้าซ้ำอีกรอย จากที่สองมือกำลังโอบกอดกลายเป็นจิกเล็บที่หลังคนไร้มารยาท แล้วคำรามเสียงต่ำ
"อย่ามากวน...อิกไนท์"
ไนท์หัวเราะร่วน เขาดูมีความสุขมาก แล้วยังกระฉับวงแขนแน่นกว่าเดิมอีก เพราะโอกาสงามๆที่จะกอดองค์จักรพรรดิไม่ได้หาได้ง่ายๆ นานทีปีหนที่เจ้าตัวจะเป็นฝ่ายโผเข้ากอดเขาแบบนี้ แถมซุกหน้าออดอ้อนเขาอีก แต่แปปเดียวก็เปลี่ยนเป็นเตรียมอาระวาดแล้ว เพราะปากเจ้ากรรมเขามันไม่รักดี ชอบแหย่อีกฝ่ายจนได้เรื่องตลอด แต่เขาก็ยังชอบหยอกเล่นแบบนี้ เพราะเห็นใบหน้างามโกรธขึ้งก็ดีกว่าเห็นน้ำตา
"ไหนๆอาเบลก็รู้แล้ว...งั้นเป็นของผมเลยได้มั้ยคืนนี้?"
ไอ้คนหน้าด้านนี่
จักรพรรดิพยายามห้ามตัวเองไม่ให้หน้าแดง เขากระทืบเท้าเป็นคำรบสามแล้วผลักผู้มาเยือนออกไป ทำตาขวางสะกดให้มันอยู่นิ่งๆ แล้วสำนึกถ้อยคำล่วงเกินเหล่านี้เสียบ้าง
"จริงๆแกก็แค่อยากแก้แค้นใช่มั้ย ไม่ก็เอาประโยชน์ที่เราเป็นจักรพรรดิ เพื่อเรื่องเพ้อฝันงี่เง่านั่น"
"ผลประโยชน์กับความรักจะมาด้วยกันไม่ได้หรอ? งั้นถ้าอาเบลไร้ประโยชน์เมื่อไร ผมก็จะทิ้งอาเบล แบบนั้นชัดเจนดีมั้ยครับ?"
อาเบลชะงัก ไม่คิดว่ามันจะพูดออกมาตรงๆขนาดนี้ สองมือเขากำแน่น
"แล้วถ้าผมไร้ค่าเมื่อไร อาเบลก็แค่ทิ้งผมไปเหมือนกันตกลงมั้ย? หรือถ้าไม่ชอบแบบนั้น งั้นเอาอย่างนี้ เพราะถ้าเมื่อไรที่ผมหรือนายไร้อำนาจ ก็เหมือนกับคนที่ตายไปแล้วนั่นเอง ผมจะเอานายมาทำโอเมก้า ใช้ประโยขน์เดียวที่นายจะมีให้ผมได้ และถ้านายพังผมก็จะซ่อมนายไม่ว่ากี่ครั้งก็ตามเพราะถึงนายจะไร้ประโยชน์ นายก็ยังเป็นโอเมก้าที่ทำให้ผมพอใจได้มากที่สุด"
เจ้าบ้ากล้าพูดได้ตรงมากจนน่าตบปากเสียหลายๆที
"ในทางตรงกันข้าม ถ้าผมหมดประโยชน์นายก็ทำได้แบบเดียวกันดีมั้ย"
ข้อเสนอนี้ จะบอกว่าดีก็ไม่ใช่ จะบอกว่าแย่ก็ไม่เชิง มันเหมือนการเสี่ยงพนันเอามากกว่า ว่าในท้ายที่สุดมันจะออกหัวหรือก้อย ใครจะเป็นคนที่ยืนอยู่เป็นคนสุดท้าย
"แต่ถ้าเส้นทางนี้พวกเราไม่มีใครสักคนที่แพ้ พวกเราก็จะเดินหน้าไปด้วยกัน...ก็เท่านั้นเอง" ไนท์ส่งยิ้มละมุ่นมาให้
อาเบลแค่นเสียงเฮอะ สะบัดหน้าไปอีกทาง เส้นผมสีเงินยวลโบกสะบัดตามใบหน้าที่เชิดขึ้นมองท้องฟ้า
"จำไว้ว่าเราจะไม่ให้แกกับใครทั้งนั้น และถ้าแกกล้าไปยุ่งกับคนอื่น อย่าหาว่าเราโหดเหี้ยมล่ะ" โดยเฉพาะกับเจ้าปีกนั่น อาเบลคาดโทษไว้ในใจ ส่วนไนท์ก็ยังฉีกยิ้มกว้างอย่างไม่สะท้านกับคำขู่
"ผมจะเป็นของอาเบลคนเดียวไม่ว่าจะเมื่อไรก็ตาม อยากทดลองสินค้าก่อนเซ็นสัญญาซื้อมั้ย?" ไนท์เลิกคิ้วถาม
"แกมันหน้าด้านจริงๆ" อาเบลส่ายหน้าอย่างเหลืออด
"ถ้านายยังไม่พร้อมลองสินค้า งั้นสิทธิของนายไว้คราวหน้า แต่ผมขอทดลองครั้งนี้เลยก็แล้วกัน"
ลูกล่อลูกชนร้ายกาจ ได้คืบจะเอาศอกตลอด จนอาเบลหน้าแดงไปถึงใบหู
"ไม่!"
มันจงใจกวนเขา วนเวียนกวนไม่เลิก ไม่ยอมไปให้พ้นหน้า ไม่ยอมออกไปจากสายตาเขาสักทีจนกว่าเขาจะตอบรับ เขาเกลียดนิสัยน่ารำคาญนี้ที่สุด มันแค่คนนิสัยเสีย หรือจะบอกว่าให้เกียรติจนน่าเชือดทิ้ง เพราะตราบเท่าที่เขาไม่เอ่ยปากตกลง มันก็จะไม่ลงมือ และครั้งนี้อย่าหวังว่าเขาจะใจอ่อน
"ไสหัวไปซะ!!" อาเบลสะบัดหน้าไปทางอื่น สร้างกำแพงน้ำขึ้นรอบตัว
"อาเบลน่ะ..."
ไนท์ยิ้มละไม เท้าคางส่งสายตากรุ้มกริ่มผ่านม่านน้ำที่พร่าเลือน และโจมตีด้วยถ้อยคำน่าเชือดทิ้ง
"ชอบให้ผมปล้ำเรอะ?"
อาเบลแทบสำลัก
อะไรนะ!! การที่เขาไม่ตอบตกลงแปลยังไงว่าอยากให้ปล้ำ!
"ก็นายไม่ปฏิเสธนี่หน่า ยอมรับเถอะนะ อาเบล"
"แล้วที่เราตะโกนตั้งหลายรอบว่า ไม่ นี่คืออะไร!?"
"ฟังดูเหมือนกำลังเขินเลยนะ"
มันคือการไล่ต่างหาก! ไปเอาพจนานุกรมจักรวาลมาใส่สมองเดี๋ยวนี้ เจ้าอัลฟ่าตัญหากลับ
"อืม หรือว่าผมต้องเร้าโรมนายก่อน นายถึงจะตกลง? หรือว่าจะให้ผมถอนเสื้อผ้าออกก่อน?" ไนท์ถามความเห็นเหมือนกำลังวางแผนบนโต๊ะประชุม ถ้าเขาดูสีหน้าผู้ร่วมประชุมสักนิด จะเห็นว่ามันแดงก่ำและบิดเบี้ยวจนน่ากลัวไปตั้งนานแล้ว
"หรือผมต้องเป็นฝ่ายเริ่มยั่วนายก่อนดีล่ะ"
อาเบลสูดหายใจเข้าลึกที่สุดในชีวิต และดวงตาทับทิมก็ลุกวาวพร้อมจะลงมือเข่นฆ่า
"ได้ๆ" อาเบลเอ่ยรอดไรฟัน โบกมือเรียกอาวุธจากคลังสมบัติออกมา "นายเรียกร้องเองนะ"
อาวุธนับสิบลอยอยู่เหนือหัว แต่ละอันมีประวัติความเป็นมา และอนุภาพล้นเหลือเกินกว่าจะใช้บดขยี้ศัตรูพืชน่ารำคาญตัวเดียวแน่ๆ
"ถ้านายยังไม่ไสหัวไป ก็หลั่งเลือดไว้ที่นี่แล้วกัน!"
จักรพรรดิตอนนี้น่าหวาดกลัวยิ่งกว่าอันดับสี่ตอนนั้นมากมายนัก น่ากลัวจนต้องร้องขอชีวิต แต่ไนท์กลับไม่รู้สึกกลัวเลยสักนิด ตรงกันข้ามกับสามารถยิ้มอย่างอ่อนโยนออกมาได้
"งั้นตกลงว่าผมจะให้อาเบลเฆี่ยนไปพลางๆก่อนนะครับ" เขาเอ่ย พลางก้าวเข้าไปประชิดจนลมหายใจแทบสัมผัสกันได้
"แล้วเมื่อไรที่อาเบลเหนื่อย ผมจะเป็นฝ่ายเคี่ยวกรำอาเบลบ้างดีมั้ย?"
อุ๊ก แต่ละคำมันน่าตายนัก อาเบลคำราม
"ถ้าแกรอดมาได้ก็ค่อยพูดถึงตอนนั้นแล้วกัน!"
"และถ้าอาเบลยังไม่ยอมให้ผมเข้าไป ผมจะทำให้อาเบลหลั่งน้ำไว้ที่นี่แล้วกัน"
ตายซะเถอะ
อาวุธทั้งสิบดิ่งลงมาหมายฟาดศัตรูพืชหน้าด้านนี่ให้ตายคาที่ ไม่ให้โอกาสได้ผุดได้เกิด เพราะถ้าเขาเผลอใจอ่อนล่ะก็ อาเบลสังหรณ์ใจว่าคืนนี้จะเป็นเขานี่แหละที่จะตกที่นั่งลำบาก ถูกวัชพืชร้ายกาจรุกลานเข้ามายึดครองไปจนถึงปมรากและท่อน้ำเลี้ยง
เพราะงั้นให้มันตายคาที่ตรงนี้แหละ!